Series Full ReviewJUVENILE JUSTICE : หญิงเหล็กศาลเยาวชนเข้มข้นขึงขัง กับการตีแผ่ปัญหาจากรากเง้าไปถึงโครงสร้าง ทำให้ถึงใจถึงอารมณ์ แต่ก็เห็นเจตนาเร่งเร้าจนชัด จนต้องแยกระหว่างอารมณ์กับความสมบูรณ์แบบให้ออกNETFLIX : 1 Season 10 Episodes (2022)ขึ้นชื่อว่าซีรีส์เกาหลี เท่าที่ผู้เขียนดูมาและดูมากในระยะหลัง สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับว่างานด้านการเขียนบทของทางเกาหลียังทำได้ดีเสมอคือการแฝงแง่มุมต่างๆ ทั้งทางการใช้ชีวิต สังคม จนกระทั่งปัญหาที่ถูกหมางเมินหรือละเลยจากผู้คนทั่วไป อันสืบเนื่องมาจากความยากลำบากในการดำรงชีวิตที่รีบเร่ง จึงมีงานหนังหรือซีรีส์เกาหลีทุกเรื่องจะมีเรื่องประมาณนี้แฝงไว้เสมอมา และมันคล้ายกับเป็นกระบอกเสียงให้สังคมได้รับรู้ถึงปัญหาที่มีอยู่ แต่อาจไม่เคยถูกหยิบยกมาเล่าซึ่งงานละครที่เรียกกันเก๋ๆว่าซีรีส์ก็คือสื่อที่เข้าถึงง่ายสำหรับประชากรที่เป็นผู้ชม เพราะสามารถส่งตรงถึงในห้องนอนได้ การหยิบยกปัญหาที่มีในสังคมหรือข้อถกเถียงใดๆผ่านงานละครที่สามารถจับใจผู้ชมได้ เข้าถึงใจผู้ชมได้ สิ่งที่จะตามมาก็คือการมีปากเสียงต่อแง่มุมนั้นๆ และถ้ามันเข้มแข็งพอหรือผู้ชมมองเห็นภาพของผลกระทบ เสียงสะท้อนก็จะออกมาไม่มากก็น้อย และอาจเป็นความหวังที่จะได้มองถึงรากเหง้าของปัญหาที่บางครั้งก็บานปลายไปถึงระดับโครงสร้าง ที่ต้องมองให้ละเอียดเช่นเดียวกับงานซีรีส์เกาหลีเรื่องล่าสุดที่เป็นงาน NETFLIX Original ที่ได้หยิบสิ่งที่มีจริงในสังคมมาบอกเล่าอีกครั้ง เพียงแต่บางครั้งภาวการณ์ “ไม่เจอกับตัวไม่รู้” ก็ทำให้ปัญหานั้นไม่ได้ถูกมองอย่างพินิจว่า แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ที่เป็นจุดสีดำบนผืนผ้าสีขาว นั่นคือเรื่องอาชญากรรมที่มาจากเยาวชนที่กฎหมายถูกตราไว้เพื่อให้โอกาส แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ การถกถึงด้านทั้งสองของเหรียญจึงออกมาในรูปแบบงานซีรีส์ที่เข้มจัด ตรึงอารมณ์ผู้ชมอยู่ และชี้ให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง Juvenile Justiceเรื่องย่อชิมอึนซอก (คิมฮเยซู)ได้เข้ามาเป็นผู้พิพากษาในศาลเยาวชน โดยต้องร่วมทีมกับผู้พิพากษาชาแทจู (คิมมูยอล) โดยมีหัวหน้าทีมที่มีชื่อเสียงเพราะมีงานทางโทรทัศน์ผู้พิพากษาคังวอนจุง (อีซองมิน) และเรื่องก็เปิดหน้าออกมาเลยว่าชิมอึนซอกมีทัศนคติที่ชัดเจนคือเธอ “รังเกียจอาชญากรเด็ก” แต่เธอต้องมาทำงานร่วมกับชาแทจูที่อ่อนโยนและมองโลกในแง่ดีในการให้โอกาสเด็กที่พลั้งผิดไปจนเป็นการก่ออาชญากรรม จนกลายเป็นสองด้านของเหรียญในกระบวนการยุติธรรมและทัศนคติที่ต่างกันของทั้งสอง ก็เหมือนสร้างรอยแยกและระยะห่างในการทำคดีและการทำงานร่วมกัน เมื่อทั้งสองด้านของเหรียญต้องออกหน้าใดหน้าหนึ่งเสมอ จนกระทั่งคดีแรกเข้ามาก็กลายเป็นความท้าทายที่หนักหน่วง เมื่อเป็นคดีฆาตกรรมต่อเด็กประถมอย่างโหดร้าย โดยเยาวชนที่รู้ดีว่าอาชญากรรมใดก็ตามที่เกิดจากเยาวชนจะไม่ได้กับโทษสูงสุดดังเช่นผู้ใหญ่ คดีสะเทือนขวัญครั้งนี้จึงเป็นภาพสะท้อนชั้นดีในการมองเหรียญทั้งสองด้านโดยพินิจพิเคราะห์ ว่าแท้จริงแล้วโอกาสคู่ควรกับทุกคนหรือไม่แต่เมื่อข้อกฎหมายมันบัญญัติไว้เช่นนั้นในเรื่องของโอกาสที่ผู้เยาว์พึงได้รับในการปรับปรุงตัว คดีที่สอง คดีที่สาม คดีที่สี่ คดีที่ห้า และคดีที่หกก็ตามมาเพื่อพิสูจน์ว่า ความดุดันในแบบของชิมอึนซอก กับความโลกสวยประนีประนอมของชาแทจูอันไหนคือเสาค้ำยันความยุติธรรมตามข้อกฎหมาย เมื่อมีทั้งผู้กระทำที่คืออาชญากรและยังมีอีกมุมก็คือเหยื่อผู้บริสุทธิ์ ซึ่งมันคือน้ำหนักของโอกาสกับชีวิตหลังความสูญเสียทางใดทางหนึ่ง ซึ่งแม้จะเหมือนกับดุดันรุนแรงแต่วิธีของชิมอึนซอกก็ดูเหมือนจะได้ใจกว่าแล้วก็นำมาซึ่งการปะทะของทัศนคติระหว่างชิมอึนซอกกับหัวหน้าแผนกคังวอนจุงจนกระทั่งมีคดีหนึ่งมาพาดทับกับหัวหน้าแผนก แต่คนเถรตรงอย่างชิมอึนซอกก็เลือกที่จะดับเครื่องชน ทำให้ต้องมีหัวหน้าแผนกคนใหม่คือผู้พิพากษานากึนฮี (อีจองอึน) ที่เหมือนมีมิติด้านตรงข้ามกับชิมอึนซอกในทางเส้นตรงของกฎหมาย และเหมือนกับชะตาลิขิตเมื่อผู้พิพากษานากึนฮีกับชิมอึนซอกมีความเกี่ยวพันกับอะไรบางอย่าง ที่ติดอยู่ข้างในที่หล่อหลอมความเป็นชิมอึนซอกที่จะปลดเปลื้องทุกอย่างในคดีสุดท้ายบทที่ดีแค่ยังไม่สมบูรณ์แบบเพราะดูจงใจเร่งเร้าแบบงานตามสูตรที่ไม่มีพลิกผัน แต่บางครั้งความสนุกก็ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบถ้าว่ากันตามตรงแบบไม่เกรงใจงานด้านบทของเรื่องนี้มองเห็นเจตนาชัดเกินไป นั่นคือเจตนาที่จะทะลุกลางใจผู้ชม เจตนาที่จะให้ตอกตรึงหัวใจผู้ชมกับทุกคดีที่เล่ามาทั้งหกคดีที่มีบริบทต่างกันแต่มีรากเหง้าเดียวกัน และมีโครงสร้างทางกฎหมายที่คลุมไว้เหมือนกัน จนเหมือนดูจงใจที่จะให้อารมณ์ร่วมของผู้ชมพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เดาว่าต้องการให้สะท้อนออกมาให้เห็นได้ชัด ถึงผลกระทบทั้งความเป็นปัจเจกคือมุมของความสูญเสีย และผลกระทบเชิงโครงสร้างที่พึงควรถูกสังคายนาเพราะอะไรก็ตามที่เข้าถึงใจผู้ชมจะถูกบอกเล่าและพูดถึงในวงกว้าง ดังเช่นเรื่องนี้ที่มองกันที่ปลายเหตุคือบทลงโทษที่ไม่สมเหตุสมผลในบางคดี จนทำให้มีช่องว่าทางกฎหมายให้เล็ดลอด ส่งผลให้อาชญากรที่เป็นเยาวชนไม่ได้รู้สึกผิดและปรับปรุงตัวตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่กระนั้นบทก็ยังเจาะจงลงไปให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของปัญหา รากเหง้าของความรู้สึกของเด็กนั่นคือครอบครัว เพราะทุกคดีล้วนแล้วมาจากสภาพครอบครัวที่บูดเบี้ยว และแน่นอนมันมาจากสภาพสังคมก็มีส่วนดังนั้นเมื่อว่ากันที่ปลายเหตุและต้นเหตุ บทก็เล่ากระบวนการระหว่างทางซึ่งมันก็คือกระบวนการยุติธรรม ที่ต้องยอมรับว่าเยี่ยมมากที่เสนอในทุกแง่มุม ทั้งตบหัว ทั้งลูบหลัง ทั้งตะคอก ทั้งปลอบโยน ทั้งให้รางวัล ทั้งหักหาญหัวใจ และมันทำให้อารมณ์ผู้ชมพัฒนาไปไกล รู้สึกร่วมกับทุกคดี และมีบทเรียนชีวิตในการมองเข้าไปในคดีนั้นๆในหลากหลายแง่มุม ซึ่งก็สุดแท้แต่ประสบการณ์ชีวิตของผู้ชมแต่ละคนจะมองในมุมไหน และสิ่งที่มองเห็นก็จะนำพาอารมณ์ร่วมในระดับสูงสุดมาให้ จนทำให้หนังขึ้นโรงขึ้นศาลแบบนี้มีทำให้หลายคนหลั่งน้ำตาแต่ทว่าสิ่งที่เป็นเหล่านั้นที่ว่ามามันยังเห็นเป็นความจงใจชัดเจนให้เป็นเช่นนั้น เพราะอย่างที่บอกคืออาจมีเจตนาให้เรื่องแบบนี้เป็นที่กล่าวขาน เลยเร่งดราม่าอย่างหนักหน่วงจัดจ้านจนรู้สึกได้ว่าจงใจขยี้ และอีกส่วนที่มันทำให้อารมณ์เตลิดไปก็คือบทวางตัวให้หัวใจผู้ชมไม่ทีทางแยก เพราะผู้ชมจะมองเหมือนชิมอึนซอกไปเลยไม่มีทางอื่นให้เลือก นอกจากความ “รังเกียจอาชญากรเด็ก” เพราะไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด “อาชญากรรมก็คืออาชญากรรม”และมันกลายเป็นทำให้งานด้านบทดูเป็นความจงใจยัดอยู่บ้าง ไปไม่ถึงความสมบูรณ์แบบถ้าว่ากันที่มิติตัวละครที่ให้มา แต่กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเร่งครั้งนี้ได้ผลเลิศเพราะตรึงอารมณ์ผู้ชมอยู่ ผู้ชมรู้สึกอย่างที่บทต้องการให้รู้สึก คิดอย่างที่บทต้องการให้คิด นั่นคือรากเหง้าของทุกปัญหาอาชญากรรมที่พัฒนาไปสู่ปัญหาทางสังคมในภาพรวมล้วนมาจากครอบครัว รวมไปถึงทัศนคติของผู้ใหญ่ที่มองเข้าไปในโลกของเยาวชน และแน่นอนตัวบทกฎหมายที่พึงควรต้องปรับให้เป็นไปตามโลกและความเหมาะสม และมันอาจไม่สมบูรณ์แบบแต่มันทำให้งานออกมาสนุก ใครจะทำไมการแสดงที่เหมือนแบกโลกไว้ได้แบกเรื่องไปพร้อมองค์ประกอบชั้นเลิศที่มารายล้อมที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งคือสารตั้งต้นคือตัวบทไม่ได้ให้ทางเลือกกับผู้ชมนัก หากแต่ก็วางตัวละครออกมาสองด้านอย่างที่กล่าวมา แต่ทั้งนี้บทก็วางตัวเองให้ผู้ชมรู้สึกในมุมของชิมอึนซอกเต็มที่ในทุกมิติไม่มีบิดเบี้ยวแม้แต่น้อย และบทก็เปิดหัวตั้งแต่เริ่มว่าชิมอึนซอกมีทัศนคติที่ “รังเกียจอาชญากรเด็ก” ทำให้ตัวละครชิมอึนซอกมีมิติที่ชัดเจน แถมด้วยความน่าสงสัยในตัวว่า ทำไม เพราะอะไรที่ทำให้เธอคิดและเป็นเช่นนั้น และสิ่งเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาดั่งคนแบกโลกไว้ทั้งใบของคิมฮเยซูและเพราะนี่คือคิมฮเยซูที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วทุกบทบาท จึงจัดการมิติตัวละครได้ดังที่ปรารถนา เพราในตัวละครที่ฉากหน้ามีมิติเดียวแต่ซ่อนไว้ซึ่งความซับซ้อน และที่สำคัญต้องซ่อนไว้ให้เป็นปริศนาที่มิดชิด แข็งนอกอ่อนใน เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แม้จะมีความรังเกียจในทัศนคติหากแต่ก็ไม่ได้ข้ามเส้นความชอบธรรมทางกฎหมาย ซึ่งคิมฮเยซูทำให้ผู้ชมรู้สึกได้เหมือนตัวละครชิมอึนซอก และแน่นอนความคิดและทัศนคติของผู้ชมที่มองเข้าในมิติเชิงลึกของแต่ละคดี ก็เป็นไปอย่างที่ชิมอึนซอกมอง และนั่นคือการถ่ายทอดออกมาอย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งของคิมฮเยซูอีกคนที่ไม่ยกย่องคงไม่ได้คือคิมมูยอลในบทผู้พิพากษาชาแทจูผู้แสนดี ที่เอาแค่สีหน้าแววตาที่แสดงออกมาก็เชื่อหมดใจแล้วว่านี่คือคนจิตใจดีที่มองโลกในมุมสวยงามโดยแท้จริง ซึ่งหากเคยผ่านตางานแสดงของเขามาบ้างก็จะพอเห็นว่า นี่คือการแสดงที่ไร้ที่ติในมิติที่ตัวละครต้องเป็น (ไม่เชื่อลองไปหาดู Forgotten (2017) หรือ The Gangster,The Cop,The Devil (2019) ดู) เพียงแต่แม้บทของเขาจะมีความซับซ้อนอยู่ข้างในที่เคยผ่านเรื่องราวบางอย่างมา แต่ด้วยเจตนารมณ์ของบทไม่ได้ทิ้งน้ำหนักมาทางทัศนคติของชาแทจูเลยเป็นได้เพียงบทสมทบที่มากระตุกความคิดผู้ชมเป็นพักๆ แต่ก็ไม่แรงพอที่จะเปลี่ยนอะไรและกับเรื่องยาวแต่ซอยย่อยแบบนี้ ต้องมีตัวละครสมทบที่หลากหลายที่จะมาเป็นมิติให้เรื่อง และด้วยความที่เรื่องนี้จัดหนักในเรื่องการเร่งอารมณ์ ผู้ชมจึงได้เห็นนักแสดงสมทบได้ปล่อยของออกมาเพื่อทำให้เข้าถึงมิติทางใจของผู้ชม และทุกคนที่มาเล่นต้องยอมรับอีกอย่างว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่นักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่การรับผิดชอบบททั้งสองด้านทั้งตัวอาชญากรและทางฝั่งเหยื่อและครอบครัว ได้ถ่ายทอดให้ผู้ชมรับรู้ความรู้สึกนั้นได้จริงแม้บางครั้งบางคนอาจดูล้นไปบ้าง แต่นั่นเพราะบทถูกวางตัวให้ผู้ชมต้องรู้สึกแบบนั้น และนี่คือมาตรฐานการแสดงที่ยากจะไปให้ถึง แต่เกาหลีไปถึงกระทั่งบทเล็กบทน้อยพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็เนียนตาดีเหลือเกินนี่คือตัวอย่างของความสนุกที่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เพราะบางครั้งความสมบูรณ์แบบก็ไม่สนุก และนี่คืองานที่สนุกมาก แต่ด้วยความที่เรื่องนี้มีเพียงสิบตอนมีเวลาให้เล่าเรื่องน้อยกว่าซีรีส์เกาหลีทั่วไปอยู่พอสมควร จึงมองเห็นเจตนาดีที่ดูเร่งรีบ บางครั้งก็เหมือนความบังเอิญจนน่าประหลาดใจ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ถูกละเลยจนกระทั่งอะไรก็ง่ายไปหมด หรืออะไรมันจะยากเย็นมากมายจนกลายเป็นทำร้ายความรู้สึกผู้ชมจนอึดอัดไปมากกว่านี้แต่เท่าที่เป็นคือความเร้าใจสูงสุดตามสูตร เพราะไม่ว่าจะเป็นอย่างไรผู้ชมจะเชื่อว่าผู้พิพากษาชิมอึนซอกจะพบทางออกและจัดการเด็กพวกนี้ได้เอง ซึ่งมันทำให้เรื่องมันเป็นสูตรเกินไปและไม่มีอะไรพลิกผันยากต่อการคาดเดา และด้วยความที่เวลาน้อยแต่ต้องการกะเทาะเปลือกหัวใจผู้ชมให้ได้ เลยมองเห็นความเร่งเร้าจนดูรีบไป ก็ใช่ที่มันไม่ได้รีบจนหลุดหรือเป็นรูโหว่ เพียงแค่มันมองเห็นจนเป็นริ้วรอยเล็กๆบ้างเท่านั้นอีกสิ่งที่น่าเสียดายคือเรื่องเปิดหัวแรงมาก ด้วยการเล่นเรื่องของคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่มีความซับซ้อนในคดีที่น่าสนใจ มีการปะทะกันระหว่างทัศนคติของตัวละครทำให้เรื่องเปิดหัวมาอย่างแรงสูง เป็นงานคอร์ทรูมดราม่าชั้นเยี่ยมได้ แต่พอเริ่มคดีต่อๆมากลายเป็นงานตามสูตรที่ชี้ให้เห็นปัญหาทางรากเหง้าที่กระทบโครงสร้างอย่างที่ว่า จนเหมือนลดระดับความแรงลง จนกระทั่งมาคดีสุดท้ายที่คดีพัวพันกับตัวชิมอึนซอกเองจึงกลับมาสูงลิบอีกครั้ง แต่ก็นะเมื่อรีบก็มีลืมบ้างเช่นเรื่องการเข้ารับการบำบัดของชิมอึนซอกที่กล่าวถึงแล้วก็ลืมไปแต่ไม่ว่าอย่างไรนี่คืองานที่สนุกมาก เข้มข้นมาก เร้าใจมาก เพราะจัดการอารมณ์ผู้ชมอยู่ด้วยเจตนาอย่างที่ว่ามาข้างต้น เพราะ Juvenile Justice ที่แปลตรงตัวว่า “ความยุติธรรมของเยาวชน” ที่บางทีเรื่องนี้อาจต้องการการถกเถียงกันในสังคม ที่แม้จะพัฒนาแล้วทางเศรษฐกิจแต่รากฐานกับโครงสร้างที่ควบคุมยังไม่สมดุลกัน จึงต้องมีเสียงเรียกร้องดังๆให้มีการพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งก็เห็นมาแล้วมากมายในงานซีรีส์เกาหลีที่สามารถเปิดประเด็นบางอย่างได้ และการนำเสนอที่เข้มจัดนี้ผู้เขียนมองว่า ทำหน้าที่ร้องดังๆให้สังคมได้ยินได้สมบูรณ์แล้วดูไปบ่นไป NETFLIXขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 จาก Twitter Netflix Korea ภาพที่ 10 จาก Instagram hs_kim_95ภาพที่ 11 จาก Facebook Netflixเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !