[Movie Review] Beirut เบรุตนรกแตก ปฏิบัติการเจรจาแค้นแดนสงครามกลางเมือง

Beirut เบรุตนรกแตก เรื่องราวเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1982 ณ. กรุงเบรุต เมืองหลวงของประเทศเลบานอน ซึ่งเป็นช่วงต้นของสงครามกลาง เมสัน ไกลส์ (จอน แฮมม์) นักการทูตสหรัฐฯประจำกรุงเบรุตก็ต้องพบกับโศกนาฏกรรมในชีวิต เพราะต้องเสียภรรยาที่เขารัก จากการถูกผู้ก่อการร้ายบุกเข้ามาชิงคารีมเด็กชาวปาเลสไตน์ที่เขารับอุปการะ เมสันมารู้ความจริงว่าคารีมแท้จริงนั้นเป็นน้องชายแท้ๆของ ราฟิด อาบู ราจัล แก่นนำผู้ก่อการร้ายผู้ก่อเหตุจลาจลในเบรุต…

10 ปีต่อมา เมสันต้องถูกเรียกตัวแกมบังคับให้กลับมาที่กรุงเบรุตอีกครั้ง เพื่อทำภารกิจเจรจาช่วยเหลือ คาล ไรลีย์ (มาร์ก เพลเลอกริโน) หัวหน้าหน่วยงานปฏิบัติการในตะวันออกกลางเพื่อนเก่าของเขาที่ถูกผู้ก่อการร้ายจับตัวไป และข้อเสนอของพวกมันก็คือการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกันระหว่าง คาล กับ ราฟิด อาบู ราจัล โดยมีเส้นตายอยู่เขาต้องทำให้สำเร็จภายใน 6 ชั่วโมง

นี่ไม่ใช่หนังแนวเจรจาสายลับบู๊ล้างผลาญชิงตัวประกัน เพราะนี่คือหนังสายลับดราม่าการเมือง ที่มีการหักเหลี่ยมเฉือนคม โดยไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรูที่แท้จริงของเรา เพราะหักหลังกันได้ทุกเมื่อ

ในด้านตัวเอกของเรื่อง เมสัน ไกลส์ ถูกนำเสนอให้เห็นตั้งแต่ต้นเรื่องว่าเป็นนักการทูตที่มีความสามารถในการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ แต่ในหลายๆฉากไม่ได้นำเสนอในเรื่องนี้มากพอ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเข้าไปคุยแล้วก็จบ ทำให้ดูแล้วไม่ค่อยเคร่งเครียดและจริงจังเท่าที่ควร จนบางช่วงทำให้ผู้ชมอาจง่วงได้ง่ายๆ

Beirut เบรุตนรกแตก ถ่ายทอดบรรยาการความสวยงามของเบรุตช่วงก่อนเกิดสงครามออกมาได้อย่างสวยงาม และช่วงเกิดสงครามกลางเมืองก็ทำบรรยากาศออกมาได้อีกสมจริง ใครที่ชอบภาพยนตร์แนวสายลับ ดราม่าการเมืองที่สมจริง แต่ไม่หนักจนเกินไป นี่คือหนังดีในระดับที่น่าพอใจที่น่าดูเรื่องหนึ่ง เอาคะแนนไป 7/10 คะแนน

**อย่าเชื่อจนกว่าจะได้สัมผัสด้วยตาของตัวคุณเอง Beirut เบรุตนรกแตก เข้าฉายวันที่ 10 พฤษภาคม 2018 ในโรงภาพยนตร์