4 เหตุผลที่ว่า ทำไมถึงต้องไปดู "The Dark Knight Trilogy" ซ้ำบนจอยักษ์ IMAX
ข่าวสารวงการหนัง The Dark Knight Trilogy
เชื่อว่าหลายคนคงเห็นข่าวแล้วว่า The Dark Knight Trilogy หนังแบทแมนเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในตำนานดีซี คอมิกส์ ได้ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง หลังจากการฟื้นตัวของสถานการณ์โควิด-19 แต่คาดว่าบางคนยังคงเกิดความลังเลสงสัยอยู่ว่า "ควรค่าแก่การกลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกหรือไม่?" วันนี้ทาง Movie.TrueID จึงได้อาสาสรุปถึงความพิเศษในการกลับมาครั้งนี้ของอัศวินรัตติกาล แยกย่อยมาได้ 4 เหตุผลที่ว่าทำไมถึงควรกลับไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงหนังอีกครั้ง
เหตุผลที่ 1 ฉายบนจอใหญ่ยักษ์ของโรงหนัง IMAX
การกลับมาครั้งนี้ของ The Dark Knight Trilogy เฉพาะโรงหนังในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ นอกจากจะนำกลับมาฉายในโรงหนังปกติแล้ว พิเศษสุดๆ และควรค่าแก่การตีตั๋วไปดูที่สุดก็คือการเข้าฉายในโรงหนัง IMAX ชั้นนำทั่วประเทศ เพราะย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 10 ปีก่อน ตอนที่ชุดนี้ออกฉาย เมืองไทยยังรู้จักเทคโนโลยีล้ำเลิศของ IMAX น้อยมาก จอใหญ่ๆ ของโรงหนัง IMAX ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย อีกทั้งราคาก็ยังคงเอื้อมถึงได้ยาก แต่พอมาในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน สมควรต้องดูบนจอโรงหนัง IMAX และราคาตั๋วก็มีส่วนต่างไม่ห่างจากตั๋วที่นั่งในโรงปกติทั่วไปด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุที่สมควรดูหนังชุดนี้บนจอยักษ์ IMAX ให้ฟิน!
เหตุผลที่ 2 ระบบเสียงสั่นสะท้าน สะเทือนไปถึงอวัยวะภายใน
จากประสบการณ์ตรงที่มีโอกาสได้เข้าชมรอบพิเศษที่ทางวอร์เนอร์ บราเธอร์สฯ จัดขึ้นมา ต้องยอมรับว่าการดูหนัง The Dark Knight Trilogy ในโรงหนัง IMAX ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ของการดูหนังเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่เคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง ดูมาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน แต่กลับไม่ได้ประสบการณ์แบบที่ได้ระหว่างนั่งอยู่กลางโรงหนัง IMAX สิ่งหนึ่งที๋โดดเด่นมากๆ ก็คงจะเป็นระบบเสียง ที่บอกได้คำเดียวว่า "สุดยอด" ทั้งซาวน์เอ็กเฟค เพลงประกอบ เสียงระเบิดตูมตาม ถูกยิงใส่แบบรอบทิศทาง ซ้ายขาว-หน้าหลัง-บนล่าง เสียงและแรงสั่นสะเทือนมาทุกด้าน นี่จึงกลายเป็นการนั่งดูหนังที่รู้สึกอิ่มเอมและฟินแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังทำให้มุมมองที่ต่อตัวหนังยิ่งประทับใจไปมากกว่าเดิม
เหตุผลที่ 3 ไตรภาคที่ดีที่สุดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน
คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่คือหนังไตรภาคแรกและไตรภาพเดียว ที่ดีที่สุดของผู้กำกับ "คริสโตเฟอร์ โนแลน" แค่การนำเอาตัวละครแบทแมนมาตีความใหม่เป็นรูปแบบหนังอาชญากรรมสุดล้ำ แนวคิดเบื้องหลังก็ถือชัยชนะเอาไว้ในมือได้ The Dark Knight Trilogy อาจจะถูกจัดอยู่ในโหมดหนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่เนื้อแท้แล้วมันคือหนังแอคชั่นเชือดเฉือนที่แฝงเอาไว้ด้วยภารกิจโจรกรรมของวายร้ายต่างๆ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างคมคาย หนังชุดนี้จึงกลายเป็นต้นแบบหนังอาชญากรรมต่างๆ ในยุคหลัง แต่ก็ยังไม่มีเรื่องไหนทำได้ขึ้นหึ้งเท่ากับเรื่องนี้ และ คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ยังต่อยอดแนวคิดนี้ไปใส่ในผลงานใหม่ๆ ของเขาด้วย
เหตุผลที่ 4 คริสเตียน เบล และ ฮีธ เลดเจอร์
น่าจะพูดได้เต็มปากแล้วว่า บทบาทแบบนี้เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็น "คริสเตียน เบล" กลับมาสวมชุดแบทแมนอีกแล้วแน่ๆ นั่นจึงกลายเป็นอีกเหตุผลที่ควรมาดูหนังเรื่องนี้ หนึ่งในมนุษย์ค้างดาวเวอร์ชั่นที่มีความมนุษย์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา การถ่ายทำอารมณ์ในตัวละครของเขา ทำให้เกิดมิติของคาแรกเตอร์ขึ้นมาอย่างชัดเจน เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เขาได้รับบทบาทที่อยากจะมอบรางวัลให้จริงๆ
ในขณะที่นักแสดงอีกคนที่เราไม่มีโอกาสได้เห็นเขาเฉิดฉายอีกต่อไปแล้ว ก็คือ "ฮีธ เลดเจอร์" ผู้ล่วงลับ เขาทิ้งท้ายเอาไว้ผลงานระดับมาสเตอร์พีชใน The Dark Knight กับบทบาท โจ๊กเกอร์ ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์วงการหนังซูเปอร์ฮีโร่ แม้จะเป็นวายร้าย แต่ถึงร้ายก็ยังรัก เมื่อได้ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็อดนึกเสียดายกับทักษะและความสามารถชั้นครูของเขา ที่เป็นส่วนเติมเต็มให้หนังชุดนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า The Dark Knight Trilogy ที่กลับมาเข้าฉายบนจอยักษ์ไอแม็กซ์ ควรค่าแก่การตีตั๋วไปดูซ้ำอีกครั้ง เพิ่มเติมประสบการณ์ที่คุณน่าจะยังไม่ได้สัมผัสเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว เข้าฉายแล้วตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 16 กรกฎาคม 2563 เพื่อเป็นการต้อนรับการมาของหนังใหม่ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน อย่าง "Tenet" หากถ้าใครได้เข้าโรงหนัง IMAX ในระยะนี้ ก็จะได้ชมฟุตเทจแรกกว่า 6 นาที ของ Tenet ฉายปะหน้าหนังด้วย
----------------------------------------------------