"The Voice Thailand" เป็นรายการประกวดร้องเพลงที่เฟ้นหานักร้องในคอนเซ็ปต์ “เสียงจริง ตัวจริง” มาตั้งแต่ปี 2012 กระทั่งปัจจุบัน รวมจำนวนครั้งในการประกวด 10 ซีซั่นด้วยกัน ซีซั่นที่ 9 (ปี 2023) เป็นฤดูกาลพิเศษ ใช้ชื่อในการประกวดว่า "The Voice All Stars Thailand" ผู้ที่เข้ามาแข่งขันในซีซั่นที่ผ่าน ๆ มา กลับมาแข่งขันกันอีกครั้ง ยกเว้นผู้ชนะเลิศในแต่ละฤดูกาล และในปีนี้ "The Voice 2024" กลับมาอีกครั้ง ในการแข่งขันด้วยกติกาเดิม เพิ่มเติมกติกาใหม่ ๆ เข้าไป เพื่อทำให้การแข่งขันสนุกและความท้าทายโชว์ศักยภาพของผู้เข้าแข่งขัน หรือแม้แต่โค้ช ในฐานะผู้นำทีมสู่ชัยชนะ ซึ่งในปีนี้โค้ชยังคงมี 4 คน ซึ่งก็คือ 2 โค้ชสุดเก๋า "โค้ชพี่ก้อง สหรัถ" และ "โค้ชคิ้ม" เพิ่มเติม 2 โค้ชใหม่สุดฮอทเข้ามา ซึ่งก็คือ "โค้ชโอ๊ต ปราโมทย์" และ "โค้ชจ๋าย ไททศมิตร" ซึ่งก่อนที่จะติดตามชมการแข่งขัน เรามาทำความรู้จักกับ 4 โค้ช เพื่อเพิ่มอรรถรสให้ได้สนุกในการติดตามชมรายการที่ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ ทาง ช่องวัน 31 เวลา 18.00 น. ซึ่งจะออกอากาศทั้งหมด 15 ตอน ให้ได้ชมความสามารถของผู้เข้าแข่งขัน และความสนุกสนานจากลีลาการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเข้าร่วมทีมของโค้ชแต่ละคน รู้จัก โค้ชก้อง, โค้ชคิ้ม, โค้ชโอ๊ต, โค้ชจ๋าย “โค้ชก้อง-สหรัถ สังคปรีชา” “ก้อง สหรัถ" เป็นทั้งนักร้องสมาชิก "วงนูโว" และเป็นนักแสดงที่มีผลงานให้ติดตามกันอย่างมากมาย รวมทั้งผลงานการแสดงเรื่องล่าสุด "ทองประกายแสด" ก้องเป็นโค้ชคนเดียวที่ทำหน้าที่โค้ชครบทั้ง 10 ซีซั่น เช่นเดียวกับ "กบ ทรงสิทธิ์" ที่ทำหน้าที่พิธีกรของรายการ "The Voice" มาโดนตลอด "ก้อง" จึงเป็นโค้ชที่มากประสบการณ์ นำทีมสู่ชัยชนะมาแล้วหลายครั้ง เริ่มต้นมาตั้งแต่ซีซั่นแรกที่ "นนท์ ธนนท์ จำเริญ" ชนะการประกวด และเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงเวลานี้ "ทีมโค้ชก้อง" ได้รับการการันตีจากเจ้าตัวว่า อยู่ทีมนี้จะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ร่าเริง บันเทิงใจ ไม่มีใครเกิน ซึ่งการเป็นโค้ชในครั้งนี้ ไม่แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ด้วยความสนุก ตื่นเต้นไปกับผู้เข้าแข่งขันทุก ๆ คน “โค้ชคิ้ม-เจนนิเฟอร์ คิ้ม” “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” เป็นโค้ชในรายการ "The Voice" รวมถึงซีซั่นล่าสุด 8 ครั้งด้วยกัน นำทีมสู่ชัยชนะมาแล้วหลายครั้ง ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ตั้งใจไว้ให้กับลูกทีมว่า ทุ่มเทกับการดูแลอย่างเต็มที่ เพื่อให้อนาคตที่ดีที่ทุกคนปรารถนา การกลับมาทำหน้าที่โค้ชอีกครั้ง สิ่งที่ให้ความมั่นใจกับแฟน ๆ ที่ติดตามชมได้เลยก็คือ ทุกคนจะได้รับความสนุก และจะหัวเราะฮา ๆ กันอย่างแน่นอน ซึ่งในปีนี้ สิ่งที่สัมผัสได้สำหรับผู้ที่เข้ามาร่วมแข่งขันกันก็คือเป็นนักร้องรุ่นใหม่ ๆ ที่ไม่ได้เก่งมาแบบสุด ๆ แต่ทุกคนมีความพยายามในการทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด ซึ่งนอกจากท้าทายความสามารถของตัวเองกันแล้ว ก็ยังท้าทายความสามารถของโค้ชทุกคนที่จะนำพาลูกทีมไปให้ถึงฝั่งฝัน “โค้ชโอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน” "โอ๊ต ปราโมทย์" ก้าวสู่การเป็นโค้ชรายการ "The Voice" เป็นครั้งแรก ด้วยภาพลักษณ์ของโค้ชที่มาพร้อมความสดใส ภายใต้ลุคชุดหมีสีชมพู จากที่เคยเป็นผู้ติดตามรายการมาตั้งแต่ครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งการมาทำหน้าที่โค้ชครั้งนี้ พร้อมใช้ประสบการณ์ชีวิตทั้งการเป็นนักร้อง โปรดิวเซอร์ และคร่ำหวอดในวงการบันเทิงมานาน มามอบให้ลูกทีมที่จะต้องดูแล ทั้งทักษะการร้องเพลง การขึ้นโชว์บนเวทีคอนเสิร์ต โอ๊ตพร้อมมากที่จะมอบสิ่งดี ๆ ให้ลูกทีม ขณะที่ก็พร้อมจะแย่งชิงลูกทึมแข่งกับโค้ชอีก 3 คน อย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครอย่างแน่นอน “โค้ชจ๋าย-อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี” "จ๋าย ไททศมิตร" (อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี) นักแสดงมากความสามารถจากาพยนตร์ "4 KINGS" เป็นนักร้องนำวงดนตรีร็อกเพื่อชีวิต "วงTaitosmith" ได้มาเป็นโค้ชคนใหม่อีกคนของรายการ "The Voice" ที่แม้ว่าจะมีประสบการณ์ในแวดวงบันเทิงน้อยที่สุดในบรรดาโค้ชทั้ง 3 คน แต่ในช่วงเวลาที่กระแสดนตรีเปลี่ยนไปตามยุตสมัย ด้วยประสบการณ์ของคนรุ่นใหม่อย่างจ๋าย ก็เชื่อว่าจะให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ และนำพาลูกทีมไปสู่ความสำเร็จอย่างงดงามได้อย่างแน่นอนจากความตั้งใจและความทุ่มเท ที่มาพร้อมความแปลกใหม่ และแน่นอนว่าทุกคนจะสนุก และมีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกัน และคนดูก็จะได้รับความรู้สึกดี ๆ ไปด้วยเช่นกัน กติกาการแข่งขันร้องเพลงรายการ "The Voice" ในปี 2024 แบ่งออกเป็น 4 รอบ คือ The Blind Audition, Battle Phase, Live Show และ Knockout โดยในรอบแรก Blind Audition ผู้เข้าแข่งขันจะถูกคัดเลือกจากเสียงร้องเพียงอย่างเดียว เป็นจุดเริ่มต้นของความสนุก ที่โค้ชทั้ง 4 คน ต้องนั่งหันหลังให้กับผู้เข้าแข่งขัน เพื่อฟังเสียงร้อง หากว่าถูกใจ โค้ชจะกดปุ่มเพื่อหมุนเก้าอี้หันหน้ากลับมาหาผู้เข้าแข่งขัน หากโค้ชหันมาคนเดียว ผู้เข้าแข่งขันก็จะเป็นลูกทีมของโค้ชคนนั้นทันที หากหันมามากกว่า 1 คน ผู้เข้าแข่งขันจะมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการเข้าร่วมทีมกับโค้ชคนไหน แต่ถ้าไม่มีโค้ชหันกลับมาเมื่อร้องจนจบเพลงก็จะตกรอบ กติกาที่เพิ่มให้สนุกมากขึ้นก็คือโค้ชมีสิทธิ์บล็อกโค้ชคนอื่น เพื่อไม่ให้ลูกทีมเลือกได้ และในปีนี้ลูกทีมก็มีสิทธิ์บล็อกโค้ชได้เช่นกัน ผ่านจากรอบนี้ เมื่อโค้ชได้ลูกทีมครบตามที่รายการกำหนด โค้ชจะทำหน้าที่ต่อไปนั่นคือการให้คำปรึกษาด้านการขับร้องแก่ผู้เข้าแข่งขันเพื่อแข่งขันในรอบ Battle Phase, Live Show, Knockout โดยโค้ชจะมีบทบาทในการคัดเลือกผู้เข้ารอบ กระทั่งถึงรอบ Final ที่ผู้ชมทั่วประเทศจะได้ร่วมตัดสินว่าใครคือ “เสียงจริง ตัวจริง” ประจำปี 2024 ซึ่งต้องลุ้นกันไปทุก ๆ สัปดาห์ ขอบคุณภาพประกอบจาก thevoiceth / one31thailand ภาพปก ภาพที่1-5 ภาพที่1 ภาพที่2-6 ภาพที่7 ภาพที่8 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !