รู้สึกเหมือนเวลาเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน รู้สึกเหมือนเวลาเพิ่งผ่านมาได้เมื่อวาน ทั้งๆที่มันก็เป็นเวลาสี่ปีแล้วกับซีรีส์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปี 2018 อย่างซีรีส์เรื่อง Sky Castle ที่เสียดสีการศึกษาของประเทศเกาหลีใต้และสังคมเอเชียที่พ่อแม่ผลักดันให้ลูกต้องเรียนหนังสือ อ่านหนังสือสอบ ต้องไปเรียนพิเศษ ต้องไปสถาบันกวดวิชาเพื่อสอบเข้า จนเด็กไม่รู้แล้วว่าเราเรียนไปเพื่อใคร หรือเพื่ออะไร เหมือนเรียนไปวันๆเพื่อให้พ่อแม่พอใจเฉยๆ และต้องจบออกมาทำงานในสายงานหรืออาชีพที่พ่อแม่คาดหวังว่าเราจะทำด้วย ซึ่งสังคมเอเชียก็เหมือนกันหมดตั้งแต่เกาหลีใต้จนถึงอินเดียที่อยากให้ลูกเป็นหมอ อยากให้ลูกจบมหาวิทยาลัยดังๆเพื่อเรียนหมอ จบออกมาเป็นหมอนะคะ และถ้าได้เป็นหมอสามรุ่น จะถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของชีวิตเลยสำหรับคนที่อยู่ใน Sky Castle ที่รวมบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จ ซึ่งว่ากันว่ามีแค่ 3% เท่านั้น ในประเทศเกาหลีใต้ ที่จะได้มาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ เรื่องย่อเล่าเรื่องราวของปาร์คยองแจ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่พ่อแม่ภูมิใจ ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยโซล สาขาการแพทย์ปีนี้ ซึ่งนับเป็นความสำเร็จสูงสุด ความภูมิใจและหน้าตาของพ่อแม่ตระกูลปาร์ค ที่มีความฝันอยากให้คนเป็นหมอสามรุ่นประสบความสำเร็จแล้ว เป็นที่อิจฉาของคังซอจิน ที่อยากให้คังเยซอ ลูกสาวของตัวเองสอบติดหมอและเข้ามหาวิทยาลัยโซลได้บ้างเหมือนกับปาร์คยองแจ จนได้เจอกับโค้ชคิม โค้ชส่วนตัวที่มยองจูแม่ยองแจแนะนำ แต่ในเวลาต่อมา พี่มยองจูกลับฆ่าตัวตายความรู้สึกที่ดูบอกตรงๆว่าสนุกมาก เป็นซีรีส์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเสียดสีผู้ปกครองบางกลุ่มเกี่ยวกับการศึกษา ที่บังคับให้เด็กเรียนหนักเกินไป ความคาดหวังที่พ่อแม่มีให้ลูกตัวเอง และวงการติวเตอร์ ที่สอนจบก็จบ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวของนักเรียนต่อ แม้ว่านั้นจะมาจากคำสอนและคำพูดเพียงไม่กี่คำของตัวเองก็ตาม ซึ่งคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือ เด็กนักเรียนที่ต้องแบกรับความคาดหวังของพ่อแม่ และต้องตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสืออย่างหนักอีกการดำเนินเนื้อเรื่องรวดเร็วมากๆ มองว่ามีซีรีส์เรื่องนี้ มีเนื้อหาที่ surreal เป็นอย่างมาก ทั้งพฤติกรรมบางอย่างของตัวละครที่บางอย่างก็สุดโต่งมากเกินไป คาแรคเตอร์ที่ดูแปลกๆไม่สมจริง แต่หนังกลับสนุก สนุกมากๆ ยิ่งทุกครั้งที่เพลง We all lie เพลงประกอบของซีรีส์เรื่องนี้ถูกเล่นขึ้นมา คนดูรู้สึกเหมือนจะประสาทให้ได้กับตัวละครในเรื่อง ยอมใจผู้กำกับและทีมงานในการเลือกเพลงและใส่ใจรายละเอียดของภาพ รวมถึงคนเขียนบทที่เขียนบทหนังเรื่องนี้ ที่พ่อแม่ชาวเอเชียอยากให้ลูกๆเป็นหมอ และมองว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องสำคัญ และการสอบติดคณะแพทย์ถือว่าเป็นความสูงสุดในชีวิตแล้ว รวมไปถึงติวเตอร์ โค้ช หรือครูสอนพิเศษ ที่หลังจากจบงานแล้วก็ไม่ได้สนใจชีวิตของนักเรียนอีก หรือแม้แต่คุณครูหรืออาจารย์ในโรงเรียนเอง ที่ส่วนมากเลือกที่จะเพิกเฉยเด็กที่มีปัญหาจากที่บ้านและต้องการความช่วยเหลือ ป่วย เป็นโรคซึมเศร้า หรือมีอาการทางจิต โดยมี mindset ว่าถ้าคนที่บ้านยังช่วยไม่ได้ คนเป็นครูหรืออาจารย์ที่ทำหน้าที่แค่สอนหนังสือในโรงเรียนก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ และเลือกที่จะไม่สนใจแทน ทั้งๆที่จะหาทางช่วยเหลือก็ทำได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำมากกว่า ไหนจะการศึกษาของประเทศเกาหลีที่ตารางเรียน และตารางเรียนพิเศษนอกเวลาเรียนที่เน้นและเป๊ะมากๆ จนเด็กประถมเครียดจนมองว่าการขโมยของคือเรื่องแก้เครียด ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันคือการก่ออาชญากรรม และมีมาตรการลงโทษที่เด็ดขาดอยู่สำหรับผู้ใหญ่ และผลลัพธ์ก็กลับมาที่พ่อแม่ของเด็กและการเลี้ยงดูอีก หนังทำให้เราตั้งคำถามว่า แค่เรียนดี มีหน้าที่การงานดี และประสบความสำเร็จในชีวิต เราก็เป็นคนดีได้แล้วเหรอ ตั้งแต่สองอีพีแรกเลยนอกจากหนังจะเล่นประเด็นเรื่องการเรียนที่หนักเกินไปสำหรับเด็กนักเรียนในประเทศเกาหลีใต้ และการบังคับให้ลูกไปเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียน หาติวเตอร์ จาก ม.ดังๆต่างนาๆ หนังยังเสียดสีชีวิตที่อวดหน้าอวดตา ที่ทุกคนสวมหน้ากากและพูดโกหกใส่กันเหมือนเป็นเรื่องปกติ เพื่อที่จะได้รับความเคารพ ความชื่นชม และความสุขตลอดเวลา เพื่อให้ทุกคนพากันมองตามและอิจฉาเรา เหมือนชีวิตของเราจะต้องดีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในชีวิตจริงไม่มีใครที่เป็นแบบนั้น นอกจากเรากำลังถ่ายรูปสวยๆลงอินสตาแกรม อยากจะอวดที่ๆไป หรือชีวิตที่เราอยากให้คนอื่นมองว่าเราเป็นยังไงดังนั้นเพลง We all lie แค่เพลงเดียวที่เล่นตั้งแต่ตอนแรก ถึงตอนจบคือสิ่งที่บอกเนื้อหาหนังเรื่องนี้ และความรู้สึกของตัวละครในเรื่องทุกคนได้หมด การเข้ามาของแม่อูจูและศาตราจารย์ฮวัง จึงเป็นเหมือนการเข้ามาของ New Wave ความคิดใหม่ ที่มาแทนที่เชื่อคตินิยมความเชื่อเดิม ที่เด็กต้องเรียนหนักไว้ก่อน ต้องรักษาเกรดได้ดี ต้องแข่งขันกัน ต้องเป็นศัตรูกัน ซึ่งผลกรรมก็ตกที่เด็กๆอยู่ดี และก็ต้องไปแก้กันที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองกันอีก mindset แบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีและน่ากลัวมากๆและเราจะสังเกตว่าหนังใช้การถ่ายแบบการใช้กระจกสะท้อนหน้าตาของตัวละครหลายๆหน้า ที่หมายถึงตัวละครกำลังโกหกอยู่ หรือได้โกหกจนลืมไปแล้วว่าตัวตนจริงๆของตัวเองเป็นใครกันแน่ นอกจากนี้เรายังเห็นเส้นแบ่งเขตอย่างชัดเจนมากๆ ระหว่างฮันซอจิน และแม่อูจู ที่คนสองคนหันหน้าคุยกันแต่กลับมีเส้นขอบของประตูบังอยู่ อาจจะสะท้อนได้ว่าแม่ทั้งสองคนนั้นรักลูกและหาทางปกป้องลูกทุกวิธีทางเหมือนๆกัน แต่กลับมีวิธีการเลี้ยงดูลูกของตัวเองที่แตกต่างกันแม่อูจูนั้นเชื่อว่าการมอบความรักและความใส่ใจให้ลูก รวมถึงปล่อยให้ลูกมีความสุขกับสิ่งที่ทำจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเด็กเองมากกว่าผลการเรียนหรือคะแนนสอบ ส่วนแม่เยซอ มองว่าเกรด และการสอบติดมหาวิทยาลัยโซลได้คณะแพทย์ถือเป็นความสำคัญที่สุดในชีวิตลูกๆของเธอ แม้แต่จินจิน และคุณนายชา ก็มีวิธีเลี้ยงลูกและดูแลลูกในแบบของตัวเอง ที่กวดขันให้ลูกๆทุกคนในบ้านต้องเรียนหนังสือ ต้องอ่านหนังสือ ทำคะแนนสอบให้ดี และต้องเอาชนะคนอื่นๆในชั้นเรียนในเรื่องเราจะเห็นและรู้สึกได้ถึงหัวใจของคนเป็นพ่อแม่ ที่ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกๆของตัวเอง โดยเฉพาะแม่ ในขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดและลำบากใจในตัวเด็กด้วย ไหนจะการเข้ามาของโค้ชคิม ติวเตอร์ที่จริงๆก็เป็นคนแปลกหน้านั้นแหละ แต่คนเป็นแม่ยอมฝากทุกอย่างและเดิมพันทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของลูกไว้ในมือของคนนอก เพียงเพื่อที่จะผลักดันให้ลูกสอบติดแพทย์ เพื่อความทะเยอทะยานและชีวิตของตัวเอง แต่ก็อ้างว่าทำเพื่อลูกและอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีไปด้วย สำหรับคนที่เคยดูครั้งแรกควรจะเตรียมยาแก้ไมเกรนหรือยาแก้เครียดไว้ด้วย เพราะขนาดผู้เขียนดูรอบที่สองแล้ว ยังแอบๆรู้สึกประสาทไปด้วยกับตัวละครในเรื่องเลย และหลังจากดูจบ ก็คิดว่า ถ้าเรื่องนี้เป็นชีวิตจริงของคนเรา ปมทุกอย่างมันจะคลี่คลายได้ง่ายและคนเราจะกลับใจและเปลี่ยนนิสัยหรือพฤติกรรมของตัวเองเหมือนในหนังได้ง่ายๆจริงๆเหรอ เมื่อเราเป็นคนที่ทะเยอทะยานมากๆ กัดความสำเร็จและเกียรติมากกว่าชีวิตและความสุข ผู้เขียนคิดว่าคนแบบนี้ในชีวิตจริง ต่อให้เจอปัญหาเกิดขึ้นในชีวิตของตัวเองจริงๆ ก็คงจะกินข้าวและใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปด้วย mindset แบบเดิมที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมากๆมากกว่า แต่ซีรีส์ก็พยายามแสดงให้คนดูเห็นว่าควรจะใช้ชีวิตแบบไหน หรือเปลี่ยนแปลงยังไงจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องและมีความสุขกันทุกคน เพราะคนเกาหลีใต้ก็เรียนหนักและแข่งขันกันหนักมากจริงๆแหละคะแนนรีวิว 10/10บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิว Emergenc Declaration ไฟล์ตคลั่ง ฝ่านรกชีวะ (2022) แล้วการขึ้นเครื่องบินในชีวิตของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปรีวิว Devil in Ohio (2022) หวาดผวาไปกับซีรีส์ลัทธิซาตานว่าด้วยบ้านไม่ใช่เซฟโซนของเรารีวิว The Crown Season 4 (2020) มารู้จักชีวประวัติโดยย่อของควีนอลิซาเบ็ธที่สองจากประเทศอังกฤษกันรีวิว Loving Adults (2022) 10/10 บนช่อง Netflix แล้วเราจะต้องคิดกันใหม่ก่อนจะนอกใจใครสักคนรีวิว The Imperfects (2022) เมื่อวัยรุ่นสามคนถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอสุรกายขอขอบคุณเครดิตรูปภาพ หน้าปก / Canva รูปประกอบภาพหน้าปกที่ 1 โดย Netflixรูปภาพประกอบที่ 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 โดย Netflixเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !