เป้ อารักษ์ เสือแท้ คนเท่ เบ้นิดหน่อย “เสือใบ” กระสุนคต กลับมาพร้อมปะทะครั้งใหญ่ใน “เสือ”

ศิลปิน นักแสดง และผู้กำกับมากความสามารถของวงการ “เป้ อารักษ์” เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงจากภาพยนตร์ระทึกสยองเรื่อง “บอดี้..ศพ#19” (2550) จากนั้นก็มีผลงานภาพยนตร์หลากเรื่องหลายแนวตามติดออกมาแทบทุกปี อาทิ “ความจำสั้น แต่รักฉันยาว” (2552), เฉือน (2552), “สุดเขตเสลดเป็ด” (2553), “ขุนพันธ์ 1-3” (2559-2566), “4 Kings” (2564), และ “วัยหนุ่ม 2544” (2567)
บท “เสือใบ” ในไตรภาค “ขุนพันธ์” ส่งผลให้เขาได้เข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ สร้างวัด และเข้าสู่วงการดูพระ จนล่าสุดได้นำความรู้มาสร้างสรรค์เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาใน “เดอะสโตน พระแท้ คนเก๊” (2568) และกวาดรายได้ทั่วประเทศไปกว่า 90 ล้านบาท
ตุลาคมนี้ เขาจะกลับสู่ “จักรวาลขุนพันธ์” อีกครั้ง กับภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มใหญ่เรื่อง “เสือ” (2568) ในช่วงวัยขบถพร้อมกดศัตรูด้วยอาคมกระสุนคตอันร้อนแรง
กลับมาสู่ “จักรวาลขุนพันธ์” กันอีกครั้งเป็นยังไงบ้าง
รู้สึกยินดีมากครับ ผมคิดมาตลอดว่าเมื่อไหร่เขาจะเรียกให้ผมไปเล่นเป็น “เสือใบ” อีก ถ้าผมไม่ได้ติดอะไรยังไงก็ต้องมาอยู่แล้วครับ ผมบอก “พี่ตั้ม” (พุฒิพงศ์ สายศรีแก้ว - ผู้ร่วมควบคุมการสร้าง) ว่ายังไงพี่ก็ต้องห้ามเอาคนอื่นมาเล่นแทนผมนะครับ ช่วงนั้นผมกำลังเริ่มงานโพสต์ของ “เดอะ สโตน” (2568) ที่ผมกำกับอยู่ จังหวะมันพอดีกัน
จำได้ไหมว่าอยู่กับคาแร็กเตอร์ “เสือใบ” ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้กี่ปีละ
“ขุนพันธ์” ปี 2556 แต่ตอนช่วงถ่ายทำผมจำไม่ได้ว่าปีไหน แต่มันมีภาพจำเป็นฉากบนรถไฟ ตอนนั้นดีใจได้เป็น “เสือใบ” ตอนจบ เราจะได้อยู่ในหนังจริงๆ แล้ว “พี่โขม” มาบอกว่าจะมีภาค 2 เดี๋ยว “เป้” มาเล่นเลย ผมก็ดีใจจะได้เล่นภาค 2 แต่ตอนนั้นรอนานเลย ทำไมไม่เปิดกล้องซักที โปรเจกต์ขุนพันธ์ หายไปร่วม 3 ปี จนผมซื้อปืนรอเรียบร้อย ผมไม่เคยมีปืนเลยไม่เคยเล่นบทที่ต้องจับปืน ในที่สุดผมก็ไปเรียน ไปศึกษาเรื่องปืน จนกระทั่งได้เล่นภาค 2 เต็มตัว ผมอยู่กับคาแร็กเตอร์นี้มาจนถึงเรื่อง “เสือ” เลย แล้วก็ยังไม่อยากให้มันจบด้วย ถ้ามีแรงอีกก็อยากจะเล่นอีก
เรื่องราวของ “เสือ”
เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองครับ เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยแบบงงๆ เป็นประชาธิปไตยที่มีทหาร มีจอมพลควบคุม ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทำให้มี “กลุ่มเสือ” เกิดขึ้นมาหรือเรียกง่ายๆ ว่าโจร มีก๊กต่างๆ กระจายไปทั่ว กลุ่มเสือในตอนแรกเขาก็ทำเพื่อปากท้องของตัวเอง แต่พอเพื่อนเขา คนรอบข้างเขา ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายหลายอย่างของทางการ เขาเลยต่อสู้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมด้วย
ในเรื่องนี้เรามี “รสริน” (หลิน มชณต) ที่เป็นนางเอกของเรื่อง เป็นตัวที่คอยเกี่ยวนำให้พวก “เสือ” มาเจอกันเพื่อที่จะจ้างเสือไปจัดการกับผู้นำรัฐบาลอย่าง “จอมพล” (ต้อม พลวัฒน์) ด้วยความที่เป็นคนรอบจัด จ้างคนนั้นคนนี้ ไม่ไว้ใจอีกคนก็จ้างคนใหม่ ทั้ง “เสือดำ” (โตโน่ ภาคิน), “เสือใบ” (เป้ อารักษ์), “เสือมเหศวร” (มาริโอ้ เมาเร่อ) เลยต้องมาเจอกัน แต่จอมพลดันจ้าง “เสือฝ้าย” (เวียร์ ศุกลวัฒน์) มาปกป้องอารักขาเลยเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงตัว เป็นเรื่องที่เสือต้องจัดการกันเอง ทั้งต่อสู้อาวุธและมือเปล่า ร่ายอาคม ดุเดือดทั้งเรื่องหลายรูปแบบเลยครับ เป็นเรื่องราวของเสือในวัยหนุ่มที่กำลังเลือดร้อน
บทบาท-คาแร็กเตอร์
“เสือใบ” ในเวอร์ชันนี้เป็นเสือใบที่เด็กลง เขาเคยมีเรื่องแย่เกิดขึ้นมาในชีวิตเขา เสือใบคิดว่าไหนๆ เขาก็เป็นเสือแล้ว ฉันจะรวมแก๊งเป็นคนเสเพล มีวงดนตรี แต่ก็ออกปล้นไปด้วย มันเป็นหนทางที่เขาจะหาเงินมากินมาอยู่ ใครจ้างให้ทำอะไรก็ทำ เป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจเหมือนเดิม เจ้าชู้เหมือนเดิม เหมือนจะไม่มีหัวใจ ค่อนข้างจะรอบจัดวางแผนเก่ง
ในขณะเดียวกันลึกๆ เขาก็มีความดีอยากช่วยเหลือคนที่ยากไร้ มีอุดมการณ์เหมือนกันแต่ก็มีเงินเป็นตัวแปรได้เหมือนกัน ตัวเสือใบไม่ค่อยพูดอะไรจริงจัง จะกวนๆ เสียดสีประชดประชันไปเรื่อย แล้วต้องไปเจอกับ “เสือดำ” ที่ไม่ค่อยถูกชะตากันอยู่แล้ว คอยหาเรื่องกันตลอดเวลา เพราะอาการหึงหวงต่อตัว “รสริน” ส่วนกับ “มเหศวร” เอง เสือใบมันก็คิดว่าฉลาดนักใช่ไหมอย่าเผลอนะมึง กับตัว “เสือฝ้าย” มันก็จะมีความอยากจะเอาชนะไอ้คนนี้ซักที เก่งเหลือเกิน เขามีความคิดแบบกร้านโลกอยู่ในตัวเพราะทุกคนคิดแบบโจรกันหมด เป็นตัวร้ายกาจที่ต้องมาเจอกันทั้งหมด
เสือใบมีอาวุธกับอาคมเหมือนเดิมก็คือ “กระสุนคต” ชักปืนเร็วออกมา โหลดปืน ใส่ลูก ท่องวรรคทองของเสือใบ “นะ โม พุท ธา ยะ” ในความจริงแล้วนะโมพุทธายะเป็นรากฐานของคาถาหลายคาถานะครับ เสือใบย่อออกมาสั้นๆ เป็นการรวมจิตเอาไว้ในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะปล่อยกระสุนคตออกไป กระสุนคตนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องเล่าของ “หลวงปู่ศุข” หรือ “พระครูวิมลคุณากร” (ศุข เกสโร) วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท เขาว่ากันว่าท่านยิงกระสุนคตได้ มีวิถีโค้งยิงอ้อมดอกบัวไปโดนดอกบัวอีกอันหนึ่งข้างหลังได้ ก็เลยเอามาเติมแต่งเรื่องราวว่าเป็นวิชาของเสือใบ พอเห็นเป้าหมายแล้วมันจะวิ่งไปทุกทางจนกว่าจะถึงเป้าหมายนั้น แต่ถ้าไม่เห็นเป้าหมายก็จะยิงไม่โดน
แล้วไม่ใช่ว่าเสือใบจะหนังเหนียวนะครับ แต่จะเป็นแคล้วคลาด กะล่อน อาคมกระสุนคตเป็นอาวุธที่โกงมาก ผมเคยคิดว่ากระสุนคตมันจะแพ้ยังไง เพราะว่าแพ้ยากเหลือเกิน แต่มีเรื่องที่เขาแพ้ได้ครับ พออาวุธมันเจ๋งมาก หลายคนก็จะเริ่มหาทาง และในเรื่องนี้เราจะรู้แล้วว่าจะจัดการกับมันยังไง
เรื่อง “เสือ” จะแตกต่างจาก “ขุนพันธ์” ยังไงบ้าง
ผมว่าภาคนี้แอ็กชันไปสุดกว่าเดิมนะครับ ประโยคแรกที่เจอกับ “พี่โขม” (ก้องเกียรติ โขมศิริ-ผู้กำกับ) ในวันฟิตติงคือ “กูไม่เอาสมจริงนะ กูเอาสนุก เอามัน เอาตู้มต้าม” เรื่อง “เสือ” เลยมีดีกรีของความมันส์ที่เพิ่มขึ้น ตอน “ขุนพันธ์” หนังมีความซีเรียส อีโม ดราม่า พอเป็นเสือมันจะกลายเป็นบรรยากาศของความบ้า เสือในวัยรุ่นจะมีความสนุกมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สเกลใหญ่ขึ้น ตีกันหนักขึ้นด้วย
เราจะเห็นการเคลื่อนไหว การขยับตัวหรือแนวความคิดที่มันบ่งบอกไปถึงคาแร็กเตอร์ “เสือดำ” เดินเหมือนเสือ “เสือฝ้าย” ก็จะนิ่งเบาแต่ออกมาเด็ดขาด พี่โขมให้จังหวะในการปล่อยของแต่ละตัวออกมาคนละอย่าง มันมีความเท่ของตัวเองที่พร้อมจะงัดทุกอย่างออกมาระเบิดตู้มต้ามกัน แต่ละช็อตมีความประณีต
อย่าง “เสือมเหศวร” คาบพระ ใครทำอะไรก็ไม่โดนใช่ไหม แล้วจะแก้กันยังไง “เสือใบ” ยิงกระสุนคตได้จะแก้ยังไง “เสือดำ” ต่อยแรง “เสือฝ้าย” มีวาโธโนอะมะมะวาวา จะแก้กันยังไง มันก็จะเป็นดีไซน์คิวบู๊ที่มันไม่เหมือนกับที่เคยมีมา มันมีอาคมที่ซัดกันเละเทะอยู่ในฉากเดียวกัน ตัวละครเยอะต้องสู้ ป้องกันตัว และปลดอาวุธคู่ต่อสู้กัน
ในฉากแอ็กชันมันจะมีวิธีการใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งเราจะเห็นความหวือหวาเหมือนในหนังฮอลลีวูด หลายเทคนิคเอามาใช้ในกองเสือ ผมเล่นหนังมานานก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เล่นกับเทคนิคพิเศษเยอะแยะมากมาย วิชันของภาพที่มันถูกออกแบบมาเพื่อให้หนังความเท่มันเด้งออกมา เช่น การเอามาริโอ้ขึ้นไปอยู่บนเทรดมิลแล้วลากด้วยรถเอทีวี ใช้โดรนแทนสายตากระสุนคตที่บินตามอยู่ มีเครนใหญ่ มีสลิง มีระเบิดสูงเท่าตึก 3-4 ชั้น ส่วนคิวบู๊วิธีการเล่นก็ไม่เหมือนกับการต่อยตีกันแบบมาเชียลอาร์ตปกติ มันมีวิธีการออกแบบ ต้องรอกันบ้าง ต้องไปเร็วกว่าปกติบ้าง เพื่อให้กล้องมันได้ภาพแบบที่เราอยากได้ ที่พี่โขมดีไซน์ไว้ เราไม่ได้เห็นหนังแบบนี้บ่อยๆ หนังที่ลงทุนเยอะ ถึงเราจะไม่มีทุนสร้างเท่าหนังระดับทอม ครูช แต่ทีมงานเราฝีมือไม่แพ้ใคร
ผมมีวลีเด็ดของผมในการมากองก็คือ ถ้ามีคนถามวันนี้เป็นไงบ้างเหนื่อยไหม ผมจะบอกว่าไม่เหนื่อยหรอกครับ ผมมากองกินข้าว แต่งตัวหล่อๆ แล้วก็ต่อยคน มีแค่นี้ในทุกวัน บทพูดมันไม่ได้เยอะมากนักหรอกครับ และยิ่งคาแร็กเตอร์ “เสือใบ” เราพอจะเข้าใจอยู่แล้วว่าประมาณไหน มันเลยไม่ใช่เรื่องที่ยากสำหรับผม
เราจะต้องไปเตรียมตัวอะไรเพิ่มเติม และทบทวนกับแอ็กชันก่อนหน้านี้บ้างไหม
ทวนครับ ผมขอปืนจาก “พี่มาร์ค” (Dragon Effects Thailand) ไปควง สุดท้ายเราก็ไม่ได้โชว์สกิลการควงมากแล้ว ภาคแรกมันเหมือนกับต้องรีจิสเตอร์ตัวละครเข้าไป อันนี้พอเราควงคิวกล้องก็ไม่ต้องรอจังหวะควงแล้ว ผมไม่ซีเรียสก็คิดว่ามันคล่องตัวในการหยิบปืนของเราไปจะหยิบจะเก็บแล้วถนัดขึ้นก็พอแล้วครับ
เรียกว่าเรื่อง “เสือ” ไม่ได้เน้นมากเหมือน “ขุนพันธ์” แต่ก็ถือว่าตอนที่กลับไปฝึกในรอบนี้ใช้เวลาไม่นาน ตอนที่ทำผมก็ไปดูภาค 2 มา ตอนนั้นรู้สึกว่าควงเก่งกว่านี้ มีเวลาอยู่กับมันมากกว่านี้ มีควงปืนสองมือด้วยอย่างเท่ ตอนนี้ก็ทำได้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว อย่างเรื่องขี่ม้าก็กลับไปฝึกมา แต่ตอนขี่จริงก็ไม่ได้ดั่งใจ ความยากความง่าย ความไม่แน่นอน จังหวะ มันไม่มีอะไรง่ายเสมอไป ทักษะเหล่านี้ไม่ได้ถูกเน้นมากเท่าไหร่ จะเป็นพวกคิวบู๊เยอะครับ พี่ท็อปได้ดีไซน์การต่อสู้หลายรูปแบบ เอาอาวุธออกมาใช้กันทั้งอาคมและเอามาบู๊ด้วย และต้องหาทางที่จะแก้อาคมของแต่ละคน เพราะทุกคนใช้คาถาขี้โกงกันหมด จะมีความสนุกตรงนี้เพิ่มเข้ามา
กับสกิลการขี่ม้าของพวกเรา ก็มีต้องกลับไปทบทวนกับ “ครูกัน” ฉากตอนขี่ม้ากัน 4 คน เละเทะครับ ตอนเล่นภาค 2 ผมค่อนข้างมั่นใจ แต่ภาคนี้ไม่มั่นใจ คนที่คล่องสุดคือ “โตโน่” เพราะเขาชอบขี่ม้าอยู่แล้ว ตรงที่เราไปถ่ายก็มีหลุมหลายช่วง ความเร็วก็คุมลำบากเพราะมีเวลาน้อยมากในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แล้วต้องวิ่งกันเป็นหน้ากระดาน ยากมากที่จะขี่กันให้เป๊ะ ผมกระโดดข้ามหลุมไป ก็ไปเจอหลุมใหม่ ตอนซ้อมเราซ้อมกับตัวหนึ่ง พอเล่นจริงมีอีกตัวหนึ่ง โชคดีที่ไม่ล้มและม้าดีมาก เขามีสติดี ฟังภาษากายเรา ฟังคำสั่งเราได้ดี
ทุกวันที่มากอง ผมเห็นกองถ่ายเรามันเหมือนหมู่บ้าน มีเต็นต์ยาวสี่ห้าเต็นต์เต็มไปด้วยเสื้อผ้านักแสดงร่วมเป็นร้อยทุกวัน มีอยู่วันเดียวที่ได้นั่งคุยกัน แบบเฮ้ย...วันนี้คนมันน้อยเป็นไปได้ไง ราวเสื้อผ้ามันเหลือนิดเดียวนอกนั้นเหมือนยกหมู่บ้านกันมาทำงานเป็นอภิมหาเมกะโปรเจกต์ครับ เรียกว่ายิ่งกว่าสร้างทางแถวพระรามสอง เมกะๆๆ มากเลยเรื่องนี้
ฉากไหนบ้างที่เห็นความแตกต่างของ “ขุนพันธ์” กับ “เสือ”
ที่เห็นในทีเซอร์ตัวอย่างคือ “4 เสือ” ต้องมาเจอกัน เราเรียกว่ารุมกินโต๊ะ “เสือฝ้าย” อย่างที่บอก จริงๆ พวกเราไม่ถูกกัน ต่างคนต่างรับงานมาเหมือนกัน ทุกคนต่างงัดวิชาของตัวเองออกมาสู้กันเอง เอาความเก่งของแต่ละคนมารับมือเสือฝ้าย ซึ่งพลังของเสือฝ้ายคนเดียว พวกเราก็ได้ขึ้นสลิงปลิวว่อนกันเลย คาถา “วา โธ โน อะ มะ มะ วา วา” เป็นคาถาที่โกงมาก แค่เขากระทืบเท้าทีเดียวก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้
ภาคนี้เราเลยต้องเอาสกิลทั้งหมดของพวกเรามาป้องกันการที่จะโดนคาถานี้ เราเคยโดนชนิดกระอักเลือดมาแล้ว พอมาอีกทีหนึ่งเราก็ไหวตัวทัน มนุษย์มันก็ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด ได้เรียนรู้แล้วว่าต้องอย่าโดนอีก เลยเอาความสามารถทั้งหมดมาจัดการกับเสือฝ้าย อย่าให้มันพนมมือ อย่าให้มันกระทืบเท้า มันก็จะมีโมเมนต์สนุกๆ และมุมกวนๆ ชองแต่ละเสือ คืออีกนิดนึงหนัง “เสือ” จะเป็นหนังการ์ตูนแล้วนะ ซึ่งมันก็ไม่ผิดเป็นไลฟ์แอ็กชัน มีจังหวะที่ต้องร่วมมือกัน มีจังหวะติงต๊อง มีจังหวะพลาดกันบ้าง มันเป็นอิลิเมนต์ที่ไม่เคยมีใน “จักรวาลขุนพันธ์” เลย เราไม่เคยมีความน่ารักแบบนี้ ซึ่งมันเป็นไดเรกชันใหม่ ฟีลวัยรุ่นหนุ่มๆ ยิ้มกวนๆ จะเกลียดกันหรือเปล่า จะรักกันหรือเปล่าชักไม่แน่ใจ
แต่เหตุการณ์ในภาพรวมจะเดือดและเข้มข้น ฉากใหญ่ในทีนี้คือสู้กันเดือดมาก คิวเยอะมาก มันมีเสือคนอื่น ลูกน้องแก๊งนั้น พี่ใหญ่แก๊งนี้วิ่งเข้ามาหาเราชุลมุนไปหมด เอฟเฟกต์ลูกกระสุนทั้งห้อง นักแสดงร่วมเยอะมาก เกิดความชุลมุนหลายเหล่าหลายชุมเสือมาเจอกัน อย่างที่บอกออกกองกันแต่ละครั้งเหมือนมากันทั้งหมู่บ้าน แน่นอนครับมันมีหลุดคิวกันนิดหน่อย เพราะเตะต่อยยิงกันทุกวัน แต่ไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้บาดเจ็บสาหัส เพราะคิวแอ๊กชันเราซ้อมกันมาอย่างดีหลายรอบแล้ว ผมชอบศิลปะการต่อสู้นะ แต่คิวบู๊ผมว่าอีกสามคนเก่งกว่าผม ผมจะพลาดบ่อยสุดแล้ว
เรื่องนี้เราจะได้เห็นเพื่อนของ “เสือใบ” แก๊งรบที่ตั้งเป็นวงดนตรีชื่อ “แก๊งใบไม้” ด้วย
ปกติเราจะเห็น “เสือเบี้ย” กับ “เสือใบ” สองคนในการอยู่ร่วมกันของแก๊ง แต่ย้อนกลับไปก่อน “จักรวาลขุนพันธ์” เสือใบมีแก๊งใหญ่ชื่อว่า “แก๊งใบไม้” เล่นดนตรีกันจริงจัง เสือใบเป็นนักร้อง มีนักร้องที่ร้องแหล่ผสมแรป มีเสือใบ “เสือกอบ”, “เสือเหงี่ยม” มี “ฟิต มิตรด้าม” มาเป็น “เสือฟ่าม” มีเพลงประจำของวง ตอนกลางวันเราเป็นมนุษย์ปกติ จะออกเล่นดนตรีและปล้นในตอนกลางคืน เอาเครื่องดนตรีการแสดงมาเป็นฉากบังหน้า พวกเรามีรถดัดแปลงที่มีเตียงนอนในนั้น เหมือนรถบ้านในสมัยนี้ แต่ก็สามารถจะ
ปรับเปลี่ยนเป็นเวทีดนตรีเล่นเร่ร่อนไปทั่วได้ จะเฮฮากันทั้งวันทั้งคืน รวมๆ เป็นเสือวัยรุ่นดูซ่า เสเพล จะไม่ค่อยถูกกันกับ “แก๊งเสือเฒ่า” ของ “เสือดำ”
เพลงประจำวงเราชื่อเพลง “มะเมีย” พวกเราได้ไปซ้อมเล่นด้วยกันจริงจัง และทุกคนในวงนี้เล่นดนตรีกันเป็นหมด ระหว่างรอการถ่ายทำ พี่มิตรเขาแต่งเพลงได้รวดเร็วมากเติมตรงนี้เสริมตรงนั้นแล้วเล่นเลย แก๊งใบไม้เป็นสีสันให้กับเรื่อง เราได้เอาเพลงที่แต่งไปเล่นกันในฉากหลายช่วงเลย
แล้วฉากที่ “เป้” กับ “โอ้” เจอกันวันแรกก็เดือดเลยทั้งคู่
เป็นวันแรกที่เข้าฉากเรื่องนี้เลยครับ “เสือใบ” กับ “เสือมเหศวร” อัดกันที่โรงพิมพ์สองวัน เป็นการถ่ายทำในแบบใหม่ที่ผมเพิ่งเห็นครั้งแรก หนักหน่วงเลยสำหรับ “โอ้” คนที่ต้องวิ่งหนีกระสุนคต วิ่งอย่างเดียว ผมถือปืนปล่อยกระสุนออกไปยืนสูบบุหรี่หล่อๆ ที่เหลือโอ้วิ่ง ขึ้นสลิง กระโดดม้วนตัว เพราะโอ้มีคาถาลิงลมแคล้วคลาด พอหลบพ้นกระสุนก็ตามต่อ ผมตกใจในความคล่องตัวของโอ้มาก โชคดีที่เขาเป็นเด็กสเก็ตอยู่แล้ว มีประโยชน์ก็ตรงนี้ โอ้จำคิวเก่งด้วย มีม้วนขึ้นไปตรงประตู ทะลุห้อง ผมยังแซวเขาถ้าไม่อยากม้วนตัวเยอะขนาดนี้ก็คลายพระแคล้วคลาดเลยจะได้จบ สนุกมากครับตอนที่ถ่ายทำ มันมีความเพ้อเจ้อที่มันไปคู่กับการระเบิดตู้มต้าม
“โอ้” บอกว่าเล่นกับ “พี่เป้” เจ็บตัวเพราะแขนขาแข็งมาก
ไม่หรอกครับ อันนั้นเป็นจังหวะโดนกันพอดี เป็นฉากที่ต้องสู้มือเปล่ากันนี่แหละ ผมเตะไปแล้ว “โอ้” เอาแขนมารับ ประคบน้ำแข็งกินข้าวเลยวันนั้น โอ้บอก “พี่เป้” ขาคุณพี่แข็งเกินนะครับ แล้วก็หัวเราะสนุกสนานกัน เล่นคิวบู๊มันมีเจ็บแน่นอน อยู่ที่เจ็บมากหรือเจ็บน้อย แต่เราก็ต้องพยายามที่จะเจ็บกันน้อยที่สุด ใส่เซฟตีเอาไว้ด้วย เพราะมีทั้งเตะ ทั้งถีบกระเด็น ตอนถ่ายเรามีสตันต์คู่ใจเราอยู่ด้วยกันตลอด บางทีคิวไม่ได้พลาดแต่รองเท้าลื่นก็มี ก็ต้องขอบคุณโอ้ ขอบคุณสตันต์ทุกคน
นี่ผมก็นั่งนึก เราใช้เวลากันยันโตกว่าจะได้ร่วมงานกับโอ้ครั้งแรก ผมกับโอ้รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เขามาเล่นกับผมตอนผมอยู่ ม.ปลายแล้ว เด็กคนนี้มันหล่อ อยู่ดีๆ ก็ไปโผล่ในเรื่อง “รักแห่งสยาม” (2550) ซึ่งดังมาก ดีใจกับน้องด้วย ตอนนั้นเราเข้าวงการมาพร้อมๆ กัน แปลกดีที่เจอกันมานานมาก แต่ไม่เคยได้ร่วมงานกันเลย รอมาทั้งชีวิต อย่างเรื่องนี้เราต่างผ่าน “จักรวาลขุนพันธ์” กันมาแล้วทั้งคู่ แต่กลับไม่เคยได้เล่นด้วยกันเลย พอได้มาเจอกันในโปรเจกต์นี้ วันแรกก็ซัดกันเลย เจอกันต่อยกัน กระโดดใส่กันไม่ยั้งเลย
ฉากที่มีคนมาร่วมแสดงเยอะที่สุด
ผมนึกไม่ออกเลยว่ามีฉากไหนเล็ก แต่บอกได้ว่าคิวไหนคนน้อยเพราะมีน้อยมาก ที่เหลือคนเพียบ อย่างฉากที่มีคนมาเข้าฉากนี้ฉากเดียวแล้วเยอะสุดๆ คือ “งานฤดูหนาว” ในเรื่อง เป็นเทศกาลที่มีจัดขึ้นมากันตั้งแต่สมัย ร.5 คนแต่งตัวเป็นแฟนซี ใครมีชุดแบบใหม่ก็จะเอาออกมาใส่กันงานนี้ เป็นชุดยุโรปและไทยมาผสมกัน ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ที่ “เสือ” ต่างเข้ามาลอบสังหาร “จอมพล” ฝั่ง “เสือฝ้าย” มาทั้งแก๊ง “เสือดำ” กับ “เสือใบ” ก็มาทั้งแก๊ง ส่วน “เสือมเหศวร” และ “รสริน” ก็มากันหมด มาโชว์ มาเดินขบวน มีวงโยธาวาทิต แล้วเกิดระเบิดวิ่งหนีตายกันอลหม่าน รวมความยิ่งใหญ่ของบรรยากาศงาน แล้วใช้โดรนเก็บภาพกว้างๆ ไม่มีที่ให้หลบหรอกครับ ทุกคิวต้องดำเนินไปให้สมบูรณ์
ในหนังเรื่องนี้ครบรส แต่คำว่าครบรสของเรื่องนี้มันบวกความใหญ่โตมาด้วย มีการเต้นโชว์แบบคาบาเรต์โผล่มาในหนังบู๊ มีวงดนตรี มีโชว์แบบมิวสิคัล มีแอ็กชันหลายๆ แบบ ทั้งเท่ ทั้งวุ่นวาย ทั้งแผนที่แยบยล มนตร์ที่โกงชีวิต การแก้เกมแก้ปัญหาต่างๆ ต่อสู้มือเปล่าและอาวุธเยอะไปหมด ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เครียดจนหนัก ยังมีเรื่องราวความสนุก ความกวนประสาทของ 4 เสือที่ต้องหยามกัน ไม่ชอบขี้หน้ากัน มีพระเอก 4-5 คนมาเฉือนกันไปมา สเปเชียลเกสต์ของเรื่องนี้ก็มีครับ ทั้งผู้กำกับรุ่นใหญ่ “พี่ปื๊ด บางระจัน”, “พี่มะเดี่ยว” แล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่โผล่มาในเรื่อง ต้องไปดูเลยครับ
ตัวร้ายสุด ๆ อย่าง “หลวงประสาน” เป็นยังไง
ในเรื่องนี้จะมีแก๊งหนึ่งที่แต่งตัวดูดี เนี้ยบตึง ผมเรียบแปล้ คือแก๊งของ “หลวงประสาน” เล่นโดย “ท็อป ทศพล” เป็นมือขวาของ “จอมพล” ผมชอบแซวเขาเปลืองเจลน่าดู ผมนิ่งเงามันมาก เป็นพวกลุคภายนอกดูดีแต่ข้างในอำมหิตมาก ไปไหนมาไหนเขาจะไปเป็นแก๊ง มีอาคมที่ซ่อนอยู่พอตัว และเขาต้องเล่นกับ “4 เสือ” ด้วย ถ้าดู “ขุนพันธ์” เราจะรู้ว่าถ้าพระเอกเก่ง ตัวร้ายก็ต้องเก่งไม่แพ้กัน ภาคที่แล้วมีหมอจระเข้ ภาคนี้มีกองทัพที่ไม่ธรรมดา เก่งมหาศาล แก้มนตร์กันได้
ท็อปเก่งอยู่แล้วครับ เขาอยู่วงการนี้มานาน เขาได้รับการฝึกฝนในหลากหลายสกิลมาเยอะ เขาได้เป็นนักแสดง ได้เป็นผู้ประกาศ ได้เป็นพิธีกร เขาชอบออกกำลังกาย การที่เป็นคนชอบออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก ความคล่องตัวมันติดตัวเขามาตั้งแต่ตอนนั้น เหมือนที่ “มาริโอ้” เล่นสเก็ต “โตโน่” ชอบชกมวย
“พี่เวียร์” เล่นคิวบู๊มาเยอะ ชอบตีเทนนิส ชอบออกกำลังกาย ท็อปเคยเป็นนักเทควันโด การทำงานกับหนังแอ็กชันมันเลยกลายเป็นเรื่องง่าย มันดูสมจริง
ท็อปค่อนข้างสนิทกับผมอยู่แล้ว เพราะเราเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่เรื่อง “วัยหนุ่ม 2544” (2567) เขาจะเป็นสุนทรภู่ วาจาเขาจะน่าฟังมาก เจ้าบทเจ้ากลอน กวีกวนตีน ตลกมากครับ เป็นคนเก่ง มีอยู่ช็อตหนึ่งที่ท็อปเล่นเสร็จทุกคนปรบมือให้เลย
“หลิน มชณต” ที่รับบทเป็นดาราสาว “รสริน” เป็นยังไงบ้าง
ตามปกติสาวๆ ใน “ขุนพันธ์” บทจะน้อย ออกมาแล้วตายตามสไตล์ที่จะฆ่าผู้หญิงเพื่อให้ผู้ชายโกรธ แต่ “รสริน” เธองานหนักกว่าใคร เพราะมาเล่นกับ “เสือ” ทุกตัว ทั้งร้องเพลง ทั้งเต้น ทั้งบู๊ เขาไม่ได้มาแค่เป็นไม้ประดับในหนัง “จักรวาลขุนพันธ์” เขาเป็นตัวหลักที่ทำให้เหตุการณ์มันโกลาหล ทำให้เสือทุกตัวได้มาเจอกัน มีการแย่งชิงตัวรสรินระหว่างเสือกันเองด้วย
รสรินจะเป็นดาราดังในสมัยนั้น ใช้ประโยชน์จากร่างกายและหน้าตา ตัวเขาเหมือนนกไร้ขา เป็นคนประเภทเดียวกับ “เสือใบ” หว่านเสน่ห์ไปเรื่อย ไม่ลงหลักปักฐานกับใคร เขามีทั้งความสวยที่แสดงออกมา ในขณะเดียวกันก็เป็นสายลับสองหน้า มีความสามารถและแผนการบางอย่างแอบแฝงอยู่ ซึ่งหลินเขาก็เหมาะกับบทนี้มากนะครับ เขาทำการบ้านมาเยอะเหมือนกัน ทั้งฝึกคิวบู๊ ทั้งฝึกการเต้น ค่าใช้จ่ายกองถ่ายครึ่งหนึ่งหมดไปกับเสื้อผ้าของรสริน อันนี้เป็นเรื่องแซวกันเล่นในกองนะครับ
การกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งกับ “พี่โขม” หลังจากที่ “เป้” ไปกำกับหนังเรื่องแรกมา
การกลับมาเจอกันกับ “พี่โขม” รอบนี้พิเศษมากครับ เพราะผมเพิ่งถ่ายหนังตัวเองเสร็จไปกับ 16 คิวอันป่าเถื่อนของ “เดอะ สโตน” (2568) ผมได้พี่โขมเป็นอาจารย์ที่ดี เขาเหมือนอาจารย์ที่ให้เราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในกองของเขา ก่อนที่เราจะไปเจอของจริงของเราเอง พี่โขมเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้ผมเดินไปไหนมาไหนแล้วคนเรียกผมว่า “เสือใบ” ที่ความจริงพี่โขมเลือกใครมาเล่นก็ได้ ฉะนั้นพี่โขมเป็นทั้งอาจารย์และผู้มีพระคุณคนหนึ่งในอาชีพนี้
สมัยก่อนตอนถ่ายเสร็จผมชอบไปนั่งคุยกับผู้กำกับอยู่หลังมอนิเตอร์ ชวนคุยนั่นนี่ไปเรื่อย แต่ตอนผมมาเป็นผู้กำกับเอง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากคุย แต่มันคุยไม่ได้ มันวุ่นวายเหลือเกิน พอกลับมาครั้งนี้ผมไม่มานั่งคุยเล่นเลย แต่พี่โขมบอกว่าคุยได้ เขาชิลแล้ว และสิ่งที่จะต้องแก้ปัญหามันเกิดใหม่หน้ากองตลอด อย่าไปเครียดกับมัน ก็แก้ปัญหากันไป การมากองรอบนี้เหมือนมาเติมของ มาทบทวนในสิ่งที่เราทำ และมันทำให้ผมเรียนรู้ว่าการเป็นผู้กำกับต้องรับผิดชอบหลายสิ่งมากในวันๆ หนึ่ง
พี่โขมเขามีวิชวลของหนังเป็นสไตล์แมนๆ บู๊ ลุย “โตโน่” เขาชอบมาแซวผม บอกว่าเติมเต็มความฝันวัยเด็กเป็นไงล่ะ หน้าไหม้ไปข้างหนึ่ง แขนไหม้ไปข้างหนึ่ง ตอนหนัง “ขุนพันธ์” ผมพูดไว้ไงว่ามาเล่นหนังเรื่องนี้เหมือนได้มาเติมเต็มความฝันวัยเด็ก เด็กผู้ชายเล่นยิงปืน มันไม่มีปืนที่มีลูกออกมาจริง คราวนี้ยิงแล้วมันมีลูกออกมาจริงเลย เด็กๆ ขี่ม้าก้านกล้วย นี่ได้ขี่ม้าตัวจริงเลย พอสักพักหนึ่งเริ่มเหงื่อหยดเริ่มร้อน โตโน่ก็เลยเอามาแซว เป็นไงเติมเต็มความฝันวัยเด็ก ตลกดีครับ แต่ทุกคนก็เต็มที่มาก
การร่วมงานกับทีมนักแสดงหลักของเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง
ผมไม่รู้ว่าผมนับถูกหรือเปล่า 4 คนนี้เป็นเจนเดียวกันนะ เป็นเจนที่อยู่มานานแล้ว เจนก่อนสุดท้ายของยุคฟรีทีวีรุ่งเรืองสุดขีด ผมเห็นหน้า 4 คนนี้มานานมาก “โอ้” กับ “พี่เวียร์”, “พี่จ่อย” ผมมองว่าเขามีสไตล์คล้ายกัน “โตโน่” จะมีอีกสไตล์หนึ่ง จริงๆ พี่เวียร์เด็กกว่าผมนิดเดียว แต่ทุกคนเรียกพี่ผมก็เรียกด้วย โอ้กับเวียร์เป็นคนที่ทำอะไรยากให้มันง่าย คุยเล่นได้ เฮฮาได้ แต่พอจะทำอะไรที่มันยาก พริบตาเดียวทำได้เลย ผมเห็นพี่เวียร์เล่นซีนร้องไห้แป๊บเดียวหยดออกมาเป็นสกิลสุดทึ่งของเขาเลย ถ้าเป็นผมมันยากนะ
โตโน่จะเป็นอีกแบบหนึ่ง จะตั้งใจ จะซีเรียส แต่งานเขาออกมาดี แล้วคาดเดาไม่ได้ อยู่ๆ อยากจะเล่นมุกก็เล่น เมื่อกี้ยังซีเรียสอยู่เลย
ส่วน “ท็อป” ก็อย่างที่บอกเขาขาลุย เต็มที่ น่ารัก และตลก “พี่ต้อม พลวัฒน์” ผมไม่เคยเห็นเขาผิดคิวเลยนะ เขาเก่งมากดูเด็กกว่าอายุมาก เขาวัยรุ่นทั้งหน้าตาและท่าทางทุกอย่างเลย
ส่วน “หลิน” ก็เป็นอีกคนที่ตั้งใจกับบทของเขา จัดเต็มทุกอย่าง ทุกๆ คนเขามีสไตล์การทำงานของตัวเอง แต่ทุกคนเต็มที่กับโปรเจกต์ “เสือ” มาก ตอนที่ถ่ายทำ ทีมงานเขาตัดต่อกันหน้ากองถ่ายเลย แล้วเราได้ดูกันตอนนั้น มันสนุก โทนภาพยนตร์มันบันเทิง มันไม่ใช่ “ขุนพันธ์” มันเป็นเสือซึ่งเป็นอีกโทนหนึ่ง การต่อสู้ในเรื่องมันมีความสนุกที่เราสามารถเฮฮาไปกับมันได้
ฝากผลงานเรื่องนี้
คนที่ได้ดู “ขุนพันธ์ 1-3” มาแล้ว มีความคาดหวังว่าจะได้รสชาติแบบนั้น ซึ่งคุณยังได้แน่นอน แต่คุณจะได้ความสนุกในแต่ละคาแร็กเตอร์อีกด้วย ได้รู้จักความบ้าของเสือในวัยหนุ่ม ความเลือดร้อน วัยรุ่น จีบสาว ที่มาที่ไปก่อนที่เขาจะได้เจอกับขุนพันธ์ เราจะได้เจอความมันส์แบบนี้ได้ใน “เสือ” 23 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
-------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa