Series Full ReviewCouple On The Backtrack (Go Back Couple) : ย้อนรักกลับอดีต (2017) "ชีวิตอาจย้อนเวลาเพื่อโอกาสที่สองไม่ได้ แต่โอกาสที่สองอาจมาจากการรำลึกอดีตเพื่อแก้ไขปัจจุบันสู่อนาคต"จะว่าไปเมื่อดูซีรีส์เกาหลีเยอะขึ้นก็เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง นั่นคือบางครั้งเกาหลีก็ใช่ว่าจะมีมุขใหม่มีเรื่องใหม่มาเล่าเสมอไปบางครั้งก็ยังเห็นแนวซ้ำกระทั่งเหมือนเป็นงานคู่แฝดก็ยังมี แต่ความเจนจัดของคนเขียนบทสามารถทำให้เรื่องที่ดูซ้ำออกมาไม่ช้ำอาจดูเหมือนในหน้าเสื่อแต่รายละเอียดต่างกันทำให้ดูมีความสดใหม่อยู่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงถ้าลองพิจารณาให้ถ้วนถี่จะเห็นโครงเรื่องที่เป็นทางเดียวกันแต่บิดไปในเรื่องของทิศทางหรือสารที่ต้องการจะสื่อ กระทั่งสิ่งที่ต้องการบอกกับคนดูนั้นแข็งแรงโดนใจก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้ใจและทำให้ลืมความซ้ำ เช่นเดียวกันกับซีรีส์เรื่องหนึ่งที่ดูไปบ่นไปได้ดูเมื่อสองปีที่แล้ว (2020) คือ Familiar Wife (2018) ที่ฮันจีมินร่วมงานกับจีซองที่เข้ากันแบบคนที่บารมีและพลังดาราพอกัน ทำให้เรื่องออกมาสนุกและงดงามอย่างที่หวังมีความเร้าใจที่มาพร้อมกับแง่มุมที่แหลมคมจนกระทั่งเมื่อช่วงนั้นที่ดูเรื่องที่กำลังจะร่ายยาวถึงวันนี้ผู้เขียนเองไม่รู้จะตัดสินใจดูซีรีส์เกาหลีเรื่องไหนจนมาเจองานที่น่าจะเข้าใหม่ทาง NETFLIX (ตอนนั้น) แถมมีระดับตัวแม่อีกคนนำแสดงคือจังนาราและดูโทนเรื่องแล้วน่าจะออกมาดูสบายไม่ต้องคิดมากมายให้ระทมกบาลแล้วก็เป็นเช่นนั้น แต่...แม้ว่านี่จะเป็นงานที่มาก่อนแต่การมาดูทีหลังก็ทำให้อดคิดไปถึง Familiar Wife ไม่ได้เพราะแทบเป็นเรื่องคู่แฝดกันที่ว่าด้วยคู่แต่งงานที่มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตวัยรุ่นอีกครั้งเมื่อถึงทางตันของความรัก และการกลับไปนั้นก็คือการกลับไปหวนรำลึกถึงเรื่องราวของตนเองอันเป็นที่มาของคำว่ากันและกันอันเป็นกุญแจสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ แต่ถ้าว่ากันที่ความแหลมคมเรื่องนี้ยังเป็นรองเพราะอาจเป็นเรื่องที่มาก่อนหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา Couple On The Back Track หรือ Go Back Coupleเรื่องย่อมาจินจู (จังนารา) และ ชเวบันโด (ซนโฮจุน) คือคู่แต่งงานที่กำลังจะหย่าร้างทั้งทีมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจเรียบร้อยแล้ว เหตุของการหย่าก็เดิมๆคือความเข้าใจผิดไม่เข้าใจซึ่งกันและกันเมื่อชเวบันโดคือคนที่ทำงานอย่างหนักกระทั่งยอมลดศักดิ์ศรีเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่มาจินจูที่เป็นแม่บ้านดูแลลูกกลับเหมือนสูญเสียสามีคนเดิมไปจนกระทั่งความเป็นชเวบันโดที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาอกเอาใจลูกค้าแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูก แต่เมื่อเขาเลือกจะทิ้งศักดิ์ศรีไปแล้วก็ไม่ต่างจากคนที่ไม่มีอะไรจะเสียจนเรื่องราวมาถึงจุดแตกหักเมื่อความเข้าใจผิดไม่ได้ถูกปรับเพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนเองแล้วการหย่าร้างจึงต้องตามมา ทว่าก็มีปาฏิหาริย์ที่ทำให้ทั้งมาจินจูและชเวบันโดได้ตื่นขึ้นมาในวัยยี่สิบปีที่เป็นช่วงที่ทั้งคู่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแต่ความทรงจำในวัยผู้ใหญ่ของทั้งสองยังคงอยู่ เมื่อช่วงที่ตื่นขึ้นมาวันนี้คือเวลาที่ทั้งคู่ยังไม่ได้เจอกันในชีวิตจริงในอดีตคนทั้งสองซึ่งเพิ่งจะผ่านความทรงจำแย่ๆของต่างฝ่ายมาจึงตั้งใจว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกเลย และชเวบันโดที่มาจากอนาคตก็ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนสนิทกันอีกครั้งคืออันแจอู(ฮอจองมิน) กับโกด๊อกแจ (อียีคยอง ที่ผู้เขียนจำได้แต่ชื่ออีจุนกิใน Waikiki) และตั้งใจที่จะเมินมาจินจูเพื่อไปสานสัมพันธ์กับรักแรกที่หลุดมือไปคือมินซอยอง (โกโบกยอล) ด้านมาจินจูก็ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนอีกสองคนคือยุนโบรึม (ฮันโบรึม) และชอลซอล (โชฮเยจุง) และแน่นอนมาจินจูก็มีคนที่ชอบคือรุ่นพี่จุงนัมกิล (จางกียง) แต่เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกันไปได้เมื่อถึงที่สุดกลุ่มเพื่อนทั้งสองก๊วนก็ได้มาผูกสัมพันธ์กันผ่านความสัมพันธ์ของอันแจอูกับยุนโบรึม และการได้รำลึกถึงจุดเริ่มต้นของความรักแล้วเปรียบเทียบกับจุดล่มสลายก็ได้ทำให้คนทั้งคู่พลันได้คิดเลือกเล่าในมุมเบาสมองแต่ความคมคายยังถึงพร้อมแม้จะดูพยายามเรื่องราวแฟนตาซีย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตที่ส่งผลต่อปัจจุบันแบบนี้คือเรื่องเก่าซ้ำช้ำที่ได้ถูกเล่ามาแล้วมากมายหลากหลายแนว เพียงแต่การจะใส่ความต่างลงไปเพื่อให้ได้ใจคนดูนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสิ่งสำคัญคือเสกลของเรื่องที่จะเล่าจะนำมาซึ่งรายละเอียดที่จะใส่แล้วค่อยวางแนวให้เป็นความเร้าใจในแบบที่แตกต่าง แล้วเรื่องนี้คือการเลือกเล่าเสกลที่ไม่ใหญ่ไม่ได้ส่งผลหรือมีแรงกระเพื่อมในวงกว้างนั่นคือเลือกเล่าถึงตัวละครหลักสองคนแก่นแท้ที่จะสื่อกระทบต่อแค่คนสองคน แล้วใส่เหตุการณ์รายทางมาให้บทเรียนชีวิตของคนทั้งสองไปพร้อมๆกับคนรอบข้างที่มีส่วนร่วมในชีวิตของคนสองคนเท่านั้น และแน่นอนคนดูก็จะสัมผัสได้ถึงบทเรียนชีวิตนั้นไปพร้อมๆกันซึ่งแก่นของเรื่องกลับมิใช่การย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตแต่กลับกลายมาเป็นการย้อนไปรำลึกถึงความรัก ณ จุดเริ่มต้นเพื่อเปรียบเทียบกับจุดสุดท้ายแล้วทบทวนตัวเองเพื่อเข้าใจซึ่งกันและกันแล้วให้สภาพครอบครัวพ่อและแม่โดยเฉพาะแม่ของมาจินจู (คิมมีคยอง) เป็นสายลมไต้ปีกมากระตุกสำนึกในใจทำให้เรื่องราวลงท้ายด้วยความสวยงาม แต่สิ่งหนึ่งที่ดูอ่อนไปคือเรื่องระหว่างทางเมื่อเลือกเล่าเป็นงานเบาสมองเคล้าเสียงหัวเราะ ทำให้บางประเด็นที่ตั้งใจคมแต่ไม่ได้ดั่งใจหวังส่วนมากเป็นเรื่องรองในเรื่องของเพื่อนหรือกระทั่งการเปลี่ยนชีวิตและทัศนคติของคนที่ชอบ ซึ่งในรายของจุงนัมกิลนั้นมองเห็นและสัมผัสได้แต่ในรายของมินซอยองกลับเบาบางซึ่งเป็นเช่นนี้ตลอดเรื่อง ทำให้ประเด็นที่น่าจะมีและเห็นว่าใส่เข้ามาแต่เลือนหายไปเลยคือเรื่องของมิตรภาพเมื่อเลือกที่จะใส่มาตั้งแต่แรกแต่พอตอนสุดท้ายเก็บมาไม่หมดจึงมองเห็นการละเลย อีกประการที่น่าจะได้ผลแต่ไม่ได้คืออารมณ์ถวิลหาอดีตที่ความจริงดูด้วยตาก็พอรู้ว่าตั้งใจแต่ไม่แข็งแรงพอเพราะว่ากลางทางมัวไปเล่นเรื่องการใช้ชีวิตในวัยนักศึกษาที่ออกจะห่ามๆตามวัยไปเสียมากทำให้กลางเรื่องดูเป็นงานเรียกเสียงหัวเราะเป็นตัวนำและประเด็นที่ย่อยที่วางไว้เป็นรากฐานถูกหลงลืม เพราะคนดูมัวแต่สนุกและตลกไปกับเรื่องจนมาเข้าที่ในตอนท้ายแต่ก็ยังไม่วายดูเหมือนจู่ๆก็โดดมาเพราะจุดเปลี่ยนอ่อนไป ซึ่งโดยรวมแล้วบทละครไม่รู้ตัวเองว่าจะมุ่งหน้าไปทางไหนเมื่อเริ่มต้นมาในเรื่องของการย้อนอดีตไปเพื่อเรียนรู้ความจริงในใจออกมาอย่างแข็งแรง แล้วกลายเป็นเรื่องของวีรกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยที่เรียกเสียงหัวเราะในช่วงกลาง ก่อนที่ประเด็นครอบครัวและความรักความเข้าใจที่ผ่านมาทุกอย่างจะมาส่งผลในตอนท้าย ซึ่งถ้าดูจริงๆก็ถูกปูทางไว้ด้วยดีเพียงแต่ระหว่างทางมัวแต่ไปตลกจนลืมความคมคายทำให้ช่วงท้ายเหมือนดูมีความพยายามฝนให้คมอยู่เล็กๆ ส่งผลให้ภาพรวมเป็นบทละครที่ไม่เรียบร้อยแต่ก็ดูเพลินดีไม่ใช่น้อยมีอะไรง่ายบ้างในชีวิตทุกคนต้องลองผิดลองถูกกันทั้งนั้นเรื่องของ "ชีวิตคู่" ที่จะพากันไปสู่ความเป็น "คู่ชีวิต" นั้นระยะทางอาจยาวไม่เท่ากันอุปสรรคระหว่างทางก็ต่างกัน แต่การเดินทางของคู่ชีวิตต้องไปเป็นคู่พร้อมกันหาไม่แล้วก็สุ่มเสียงที่จะไปไม่ถึงจุดหมายของคำว่าคู่ชีวิต ซึ่งในชีวิตคนเรามีเรื่องราวมากมายที่หาไม่ได้จากในตำราหรือในหนังสือเรื่องความรักก็เช่นกัน เมื่อความรักคือเรื่องที่มิอาจเขียนเป็นทฤษฎีตายตัวการพบรักก็คือเรื่องที่ไม่อาจคาดการณ์หรือวางแผน บางครั้งสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงเผชิญหน้าและให้ชีวิตกับความรักลองผิดลองถูกไป ถ้าลองผิดแล้วเข้าใจกันได้ก็กลายมาเป็นประสบการณ์สอนใจหรือลองถูกก็คือความทรงจำที่ดีที่มีร่วมกัน แต่บางคราวความรักที่สามารถพาไปสู่ความเป็นคู่ชีวิตได้ก็มีตัวอย่างให้ได้มองคือพ่อแม่และครอบครัวของทั้งมาจินจูและชเวบันโด เพราะทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบต่างมีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้นการจะแต่งงานอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่ากับคู่ครองอาจต้องผ่านอะไรมากมายและผ่านการลองผิดลองถูกมากมายเช่นกัน แต่ในคู่ของมาจินจูกับชเวบันโดคล้ายกับถูกสภาพสังคมที่เร่งรัดทำให้ไม่มีเวลาลองผิดลองถูก สังคมที่คนรุ่นหนึ่งไม่สามารถกลับไปกินข้าวกับคนอีกรุ่นเพื่ออ่านพิมพ์เขียวในการใช้ชีวิตคู่ปัญหาจึงเกิด สังคมที่ทำให้ชนชั้นกลางอย่างชเวบันโดต้องทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวสบายหากแต่ทิ้งอีกคนไว้ข้างหลัง และหลงลืมไปว่าแท้จริงแล้วความสุขของครอบครัวอาจเป็นเรื่องง่ายๆที่บางทีสายตาไม่เคยเหลือบมอง เช่นกันกับมาจินจูที่สภาพสังคมบีบให้เป็นความยากลำบากในการใช้ชีวิตการขาดคำปรึกษาจากแม่ทำให้บางอย่างไม่อาจพูดไม่กล้าถาม ยิ่งเมื่อต้องเหนื่อยอย่างสาหัสในการเลี้ยงลูกแล้วครอบครัวไม่มีเวลาอยู่พร้อมหน้าความคิดจึงเตลิดทุกอย่างมาสุมอยู่ในหัวใจทั้งหมดรอการระเบิดกระทั่งการได้กลับไปใช้ชีวิตตรงจุดเริ่มต้นของความรัก ได้เจอกับสายลมไต้ปีกของแม่ได้เห็นการประคองชีวิตคู่ของพ่อและแม่ที่เริ่มเข้าสู่วัยชรา จึงเหมือนได้มองเห็นว่าทุกคนต่างมีข้อดีข้อเสียแต่ต่างฝ่ายจะยอมรับแล้วปรับเข้าหากันหรือไม่ เพราะชีวิตคู่ไม่มีทางที่จะไม่ทะเลาะกันแต่แม้เมื่อโกรธกันขนาดไหนก็แค่ย้อนมองกลับไปถึงวันแรกที่ได้เริ่มรักกัน ย้อนมองว่าความรักที่มีให้กัน ณ วันนั้นงดงามขนาดไหน แล้วทุกอย่างจะกระจ่างในใจโดยที่ไม่ต้องย้อนเวลากลับไปเห็นด้วยตาว่าทุกสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างทำลงไปอาจบางทีมิใช่ทำเพื่อตัวเองแต่ทำไปเพื่อคนที่รักอย่างสุดหัวใจ ดังนั้นบางเรื่องราวก็ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูกเพราะชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นแค่อีกหนึ่งหลุมบนเส้นทางของความรักที่ต้องเจอเท่านั้น ซึ่งถ้าผ่านหรือเลี่ยงมันได้ก็คือปลายทางของคำว่าคู่ชีวิตและมาจินจูกับชเวบันโดก็ได้รับบทเรียนและมอบบทเรียนนี้ให้กับคนดูแล้วพระนางที่มอบการแสดงชั้นดีแต่บารมีไม่เท่ากันกับจังนาราที่เล่นมาแทบทุกบทการแสดงในเรื่องนี้จึงดูเหมือนกับว่าจังนาราแต่งตัวออกจากบ้านมาเข้าฉากแล้วก็เดินออกไปเพราะไม่เห็นว่าเป็นการแสดง หนึ่งคือความที่จังนารา คือนักแสดงที่หน้าอ่อนกว่าวัยทำให้เวลาที่รับบทที่อ่อนกว่าอายุจริงดูไม่ขัดเขิน (แต่อย่าโฟกัสที่หลังมือมาก) ยิ่งเรื่องนี้นี่คงบอกว่าขนมหวานของจังนาราเมื่อบทที่เล่นส่วนใหญ่คือบทผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะพอตัวและผ่านเรื่องราวชีวิตมาพอได้หรือเอาให้สุดไปคือเป็นคุณป้าในร่างเด็กมหาวิทยาลัยซึ่งเธอก็ทำได้ดีทุกมิติไม่ว่าจะเป็นมุมไหน สองคือพลังดาราของจังนาราที่สามารถยกระดับเรื่องให้ดูบันเทิงขึ้นได้เพราะพลังดาราที่เธอมีจะทำให้เธอเป็นเป้าสายตาคนดู แต่สิ่งที่เป็นกลับกลายเป็นสร้างความขัดเขินของพระเอกซนโฮจุนที่เห็นชัดๆว่าพลังดาราและบารมียังไม่ถึงจังนาราทำให้ทุกครั้งที่เข้าฉากร่วมกันสายตาคนดูจะไม่จับไปที่เขาซึ่งความจริงเรื่องการแสดงไม่เป็นที่กังขาเพราะรับผิดชอบบทชเวบันโดได้อย่างถึงที่สุดแล้วแต่พลังงานลี้ลับไม่มี ซึ่งซนโฮจุนนั้นผู้เขียนได้ดูเขาแสดงมาหลายเรื่องเอาแบบไม่เกรงใจคือไม่มีราศีพระเอก บทที่น่าประทับใจของเขาส่วนใหญ่กลับเป็นบทเพื่อนพระเอกหรือบทที่เป็นลูกคู่เครื่องเคียงมากกว่า และเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจาก Was It Love? ที่โดนซงจีโฮกลบมิดทั้งเรื่องแล้วเรื่องนี้ก็โดนจังนาราข่มทั้งเรื่อง ซ้ำร้ายคนที่ดูมีพลังลี้ลับและมีราศีพระเอกจับกลับเป็นคนที่รับบทเป็นตัวแปรอย่างจางกียงที่ขึ้นกล้องและมีพลังงานดึงดูดสายตาได้มากกว่าเห็นๆ กลับกันเมื่อซนโฮจุนเข้าฉากกับโกโบกยอลกลับดูเข้ากันได้ดีกว่าเช่นเดียวกับเมื่อจังนาราเข้าคู่กับจางกียงดันกลายเป็นดูมีเคมีลงตัวกว่า ทำให้บางอารมณ์คนดูเอาใจออกห่างจากความรักของพระเอกกับนางเอกแล้วปันใจให้กับตัวแปรอยากให้เปลี่ยนอนาคตไปซะงั้นซึ่งผู้เขียนก็ไม่แน่ใจว่าบทต้องการให้เป็นเช่นนี้หรือไม่และถ้าจงใจก็เรียกว่าได้ผลเต็มที่ ส่วนคนอื่นๆก็ให้การแสดงที่ดีตามมาตรฐานโดยเฉพาะคุณแม่ตลอดกาลคิมมีคยองที่อบอุ่นหัวใจเหลือเกินและเป็นสายลมไต้ปีกที่คอยประคองลูกไว้ได้อย่างดี ทำให้เรื่องนี้จัดว่ามีการแสดงที่ถึงพร้อมอีกหนึ่งเรื่องแต่เมื่อเรื่องมันเล่าถึงคู่สามีภรรยาแต่เคมีมันไม่ค่อยเข้ากัน เพราะความที่บารมีไม่เท่ากันก็เลยทำได้แค่น่าเสียดาย เพราะความจริงถ้าไม่ได้จงใจให้เป็นแบบนี้ก็คือคู่พระเอกกับนางเอกจะต้องได้ใจมากกว่านี้ ความซาบซึ้งถึงจะมีเต็มที่ในตอนท้ายที่ความจริงก็ถูกแล้วที่ไม่ได้บีบหรือคั้นน้ำตา เพียงแต่พระเอกนางเอกศีลไม่เสมอกันเลยกุมหัวใจผู้ชมได้ไม่อยู่ทำให้เมื่อถึงเวลาซาบซึ้งไปไม่ถึงดวงดาวถ้าว่ากันที่ภาพรวมของสิบสองตอนของเรื่องนี้นี่คืองานที่ดูสบายดูสนุก แต่อาจไม่ใช่งานระดับประทับใจเพราะเมื่อดูแล้วยังมีอะไรมากมายที่ยังติดขัด แต่สิ่งหนึ่งที่โอเคเลยคือการเล่าเรื่องให้ออกมาแค่สิบสองตอนไม่เล่นใหญ่เพราะแค่นี้ก็แทบไม่มีอะไรให้เล่าแล้ว ยิ่งช่วงกลางเรื่องเริ่มเห็นว่ามีเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันมาใส่แล้วแต่อย่างน้อยก็ยังคุมโทนอยู่ยังคงอยู่ในเกมของเรื่องหลักที่ว่าด้วยเรื่องการเรียนรู้และการรำลึกถึงจุดเริ่มต้นและผลของความไม่เข้าใจกันของคนสองคน ซึ่งจุดนี้ทำได้ดีเพราะมีความคมคายให้จับต้องมีเรื่องราวมากมายมาให้ได้ฉุกคิดในระหว่างทางที่เดินไปพร้อมกับตัวละครผ่านเรื่องราวที่เข้ามาเพื่อให้ได้ทบทวนตัวเอง แม้ว่าในระหว่างทางช่วงกลางที่เริ่มไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรนั้นได้ถูกการใส่ความตลกขบขันมากลบไปบ้างทำให้สัมผัสได้เพียงแผ่วเบาแล้วไปส่งผลให้ความประทับใจในตอนท้ายที่น่าจะดีได้กว่านี้ กระนั้นเรื่องก็ยังร่ำรวยอารมณ์ขันและเสียงหัวเราะเรียกได้ว่าเป็นงานรอมคอมที่มีเสียงหัวเราะเป็นตัวนำ เพราะที่ต้องฮาก็ฮาได้ด้วยการเล่าเรื่องของชีวิตนักศึกษาที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านในชีวิตมีความห่ามมีลูกบ้า ทว่าน่าเสียดายที่อารมณ์ถวิลหาอดีตไม่จัดจ้านเพราะเมื่อเลือกจะเล่าเรื่องราวของยุคอดีตผ่านสายตายุคปัจจุบันที่ได้ผ่านมันมาแล้วนั้นมุมมองของคนดูก็จะเป็นมุมมองเดียวกันกับตัวละคร อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องราวความทรงจำแห่งยุคสมัยมักจะขายได้แต่เรื่องนี้กลับเลือกที่จะไม่ขายออกมาเป็นภาพความประทับใจแต่พยายามสื่อออกมาเป็นการกระทำหรือสื่อออกมาให้เห็นผ่านพฤติกรรมของตัวละคร ซึ่งมันตลกแต่อารมณ์ยังไปไม่ถึงเลยทำให้เรื่องนี้เป็นงานที่ไม่ได้อยู่ในระดับหรูหราแต่ดูสนุกดูเพลินมีครบทุกอารมณ์ แค่ไม่แหลมพอจะแทงเข้าไปสู่กลางใจไม่มีอะไรให้ได้ติดตราตรึงเป็นอีกงานที่ดูแล้วก็ผ่านไปดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 จาก program.kbs.co.krภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 จาก Facebook KBS 드라마 หมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไป อ่านบทความหนังและซีรีส์ที่มีเนื้อหาและอารมณ์ใกล้เคียงกันกับเรื่องของโอกาสที่สองจาก "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่รีวิวจัดเต็ม Familiar Wife คนคุ้นใจ (2018) บทเรียนและความต่างของ "ชีวิตคู่" กับ "คู่ชีวิต"รีวิวจัดเต็ม Hi Bye,Mama! : บ๊ายบายแม่จ๋า (2020) "เมื่อจุดเริ่มต้นของคนหนึ่ง มาจากการจากไปของอีกคนหนึ่ง"รีวิวจัดเต็ม 18 Again : ย้อนรัก ย้อนวัยฝัน (2020) ซาบซึ้ง คมคาย "ความหมายของชีวิตกับความรัก และโอกาสที่สอง"ในความทรงจำ Be With You : ปาฏิหาริย์รัก 6 สัปดาห์ เปลี่ยนฉันให้รักเธอ (2004) งานคลาสสิคที่เรียบง่ายแต่ซึมลึก สัมผัสได้จากความรู้สึกที่ตราตรึงรีวิวจัดเต็ม Be With You : ปาฏิหาริย์ สัญญารัก ฤดูฝน (2018) งดงามในความต่างที่ตั้งบนความเหมือน หนึ่งในงานรีเมคที่ "ยอดเยี่ยม" ที่สุด จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !