มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า หนุ่มๆ สาวๆ ชาวซีรีส์เกาหลีทั้งหลายจ๋า วันนี้เรามาพร้อมกับรีวิว ซีรีส์เกาหลี 2025 แนวโรแมนติกเน้นๆ คอเมดี้กลมกล่อมอย่างเรื่อง Love Scout รับจ้างจัดหารัก (2025) รับจ้างจัดหารัก นำแสดงโดย 2 นักแสดงแม่เหล็กจากดินแดนโสมอย่าง ฮันจีมิน และ อีจุนฮยอก ที่พร้อมให้ทุกคนรับความฟินได้แล้ว รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! รายละเอียด ซีรีส์เกาหลี Love Scout รับจ้างจัดหารัก (2025) รับจ้างจัดหารัก ชื่อเรื่อง: Love Scout l 나의 완벽한 비서 l รับจ้างจัดหารัก ผู้กำกับ: ฮัมจุนโฮ (Ham Joon-Ho) บทโทรทัศน์: คิมจีอึน (Kim Ji-Eun) แนว: โรแมนติก, คอเมดี้ จำนวนตอน: 12 ตอน วันที่ออกอากาศครั้งแรก: 3 มกราคม 2025 ช่องทางออกอากาศ: SBS นักแสดงนำ: ฮันจีมิน รับบท คังจียุน / อีจุนฮยอก รับบท ยูอึนโฮ / คิมโดฮุน รับบท อูจองฮุน / พัคโบคยอง รับบท คิมฮเยจิน / อีซังฮี รับบท ซอมิแอ เรื่องย่อ ซีรีส์เกาหลี Love Scout รับจ้างจัดหารัก (2025) รับจ้างจัดหารัก https://www.youtube.com/watch?v=-ySTLax18Ro เรื่องของ CEO สาวไฟแรง คังจียุน (รับบทโดย ฮันจีมิน) ผู้ผลักดัน Peoplez บริษัท Head Hunting ให้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทแนวหน้าของวงการบริษัทจัดหาคนได้ภายในระยะเวลาแค่เพียง 5 ปีเท่านั้น ส่งผลให้เธอกลายเป็นไอดอลของเหล่าวัยรุ่นจบใหม่ และพนักงานเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่สนใจเข้ามาร่วมงานกับเธอ อย่างไรก็ตามคังจียุนทำงานได้ด้วยความเนี้ยบ เอาใจใส่และเอาจริงทุกรูขุมขน เธอ Focus แค่เพียงเรื่องงานเป็นหลัก จึงจำเป็นต้องเฟ้นหาผู้ช่วยหรือเลขาส่วนตัวมาช่วยแบ่งเบาภาระทำงาน อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นสาว perfectionist แบบสุดโต่ง จึงไม่มีเลขารายไหนสามารถทนรับมือกับเธอได้และหนีลาออกกันไปจนหมด ส่งผลให้ ซอมิแอ (รับบทโดย อีซังฮี) ผู้ที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทในบริษัทของเธอต้องรับบทเลขาฯ ส่วนตัวเพิ่มเข้าไปในตารางงานด้วย เรื่องเล่าสลับตัดมาที่ฝ่ายของ ยูอึนโฮ (รับบทโดย อีจุนฮยอก) คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวในวัยไม่ถึง 30 ปี ที่รับตำแหน่งผู้จัดการทีม HR ของบริษัท Hansu Electronics ตัวเขาเองเป็นคุณพ่อที่มีความสามารถหลากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการทำงาน การเจรจา ดูแลผู้คนตามตำแหน่ง HR ตลอดไปจนถึงความสามารถในการใช้ชีวิตได้อย่างครบถ้วน แต่อย่างไรก็ตามงานเลี้ยงเด็กของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักเมื่อยูอึนโฮทราบข่าวร้ายว่าลูกสาวสุดที่รักของเขาอาจมีภาวะปัญหาทางจิตใจ เขาจึงตัดสินใจลาพักงานนานถึง 1 ปี เพื่อโฟกัสกับการดูแลลูกสาวได้อย่างเต็มที่ หลังกลับมาทำงานอีกครั้งยูอึนโฮพบว่าหัวหน้าที่เคยทำงานร่วมกันมาเริ่มหมางเมินและพยายามบีบเขาออกจากทีม เนื่องจากการลาพักยาว 1 ปีส่งผลให้หัวหน้าของเขาต้องชวดโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งไป เส้นเรื่องดำเนินมาจบกันครั้งแรกเมื่อคังจียุน ต้องมาโน้มน้าวหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของบริษัท Hansu Electronics ให้ออกไปร่วมงานกับบริษัทใหม่ แต่โดนยูอึนโฮเข้ามาขัดบทจนทำให้ดีลของเธอต้องล้มไม่เป็นท่า ยอดการทำงานไม่เข้าเป้า และเธอก็จดจำชื่อยูอึนโฮ ผู้จัดการทีม HR เอาไว้ขึ้นใจ แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกร้ายกับการเวียนมาบรรจบกันอีกครั้งของพวกเขาทั้ง 2 คน เมื่อยูอึนโฮทนรับแรงกดดันจากหัวหน้าที่พยายามกลั่นแกล้งและกดดันเขาไม่ได้อีกต่อไปจึงตัดสินใจลาออก ประกอบกับตัวคังจียุนที่โหมงานหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล และแพทย์แนะนำให้ลดภาระหน้าที่ต่างๆ ลง ซอมิแอจึงต้องรีบเฟ้นหาตัวเลขาผู้ช่วยแบบสุดพลัง สู่การพบกันอีกครั้งระหว่างคังจียุน และ ยูอึนโฮ ที่ไม่ใช่ฐานะคู่แข่ง แต่เป็นฐานะ CEO สาวที่มีความสามารถในการดูแลตัวเองแทบติดลบและเลขานุการหนุ่มแสนเพอร์เฟค เรื่องราววุ่นๆ ระหว่างเจ้านายสาวสวยสุดเย็นชา และเลขาหนุ่มจึงบังเกิด พวกเขาจะเป็นจิ๊กซอว์ที่เติมเต็มช่องว่างระหว่างกันได้หรือไม่? เรื่องราวสุดอลหม่านจะไปจบลงตรงไหน ติดตามคำตอบไปพร้อมๆ กันได้ในซีรีส์ Love Scout รับจ้างจัดหารัก (2025) รับจ้างจัดหารัก รีวิว ซีรีส์เกาหลี Love Scout รับจ้างจัดหารัก (2025) ซีรีส์แนวเก่าแต่เล่าใหม่ได้อย่างน่าสนใจ เราอาจเห็น plot ซีรีส์เกาหลีที่ตัวละครหนึ่งแสนดีแต่อีกตัวละครเย็นชากันมาก็มากมาย แต่เอาเข้าจริงๆ โดนส่วนใหญ่แล้วตัวละครที่เย็นชา ไร้ความรู้สึกมักจะเป็นพระเอกกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เรื่อง Love scout กลับเอาบทเย็นชาดุจน้ำแข็งไปโยนใส่นางเอกอย่างคังจียุน และเอาความสดใส มอบให้พระเอกคือ ยูอึนโฮ เสียอย่างงั้น เรียกกว่าปรับความคิด บิดมุมมองกันขนานใหญ่ ยิ่งถ้าดูเข้า ep ลึกๆ ไปเราว่าเหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง The Devil Wears Prada (นางมารสวมปราด้า) ที่เปลี่ยน อีเลียส คลาร์กส นางมารตัวร้ายแห่งวงการนิตยสารแฟชั่นเป็น คังจียุน และเปลี่ยนเด็กนักศึกษาฝึกงานสาวอย่าง แอนเดรีย แซคส์ ให้เป็น ยูอึนโฮ อะไรทำนองนั้นเชียวละ ทั้งคู่เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่อาจต่อกันให้เต็มได้แบบไม่รู้ อย่างตัวนางเอกเอกก็ทำงานเก่งมาก เป๊ะมาก แต่เมื่อทุ่มให้เรื่องหนึ่งจนหมดพลัง อาจส่งผลให้เธอละเลยรายละเอียดในชีวิตไปจนหมดสิ้น ในหลายๆ ฉากจะสื่อให้เห็นว่านางเอกให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตได้น้อยนัก ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรถผิดคันอยู่บ่อยๆ การเปิดประตูห้องออฟฟิศของตัวเองที่ก็ยังเปิดผิดด้าน (ต้องดึงเข้าแต่ดั๊นนนผลักออก) หรือจะเป็นห้องทำงานของเธอที่รกสุดพลัง ตัดกลับมาที่ฝั่งของพระเอกที่สามารถเอาใจใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตได้ดีเยี่ยม โดยถอดแบบมาจากการเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเอาใจใส่ทุกรายละเอียดสำคัญในครอบครัว จึงกลายเป็นคุณสมบัติหลักในการเป็นเลขานุการได้อย่างเยี่ยมยอด ยิ่งถ้าเราได้ดูไปเรื่อยๆ ขอฟันธงไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องมีฉากของการเติมเต็มอีกสิ่งที่แต่ละคนขาดหายไปได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเริ่มแรกอาจจะเหม็นขี้หน้ากันหน่อยๆ แต่รับรองว่าเรื่องนี้มีฟิน พล็อตสะท้อนสังคมการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นฝั่งการทำงานอย่างดุเดือด เลือดพล่านของนางเอก เพื่อพยายามถีบส่งบริษัท Peoplez ของตัวเองให้กลายเป็นแนวหน้าของวงการ แลกมาด้วยความพยายามแบบหมดตัวและหัวใจ ทำให้เธอทำงานได้ดีเยี่ยมแต่ไม่สามารถจัดการชีวีตของตนเองได้ดีมากนัก เปรียบเสมือนสองสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกัน หรือจะตัดมายังฝั่งของพระเอกที่พยายาม Balance ระหว่างชีวิตการทำงานและครอบครัวให้ลงตัวที่สุด แต่อย่างไรก็ตามยังมีเหตุจำเป็นที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกครอบครัวมากกว่า ถึงกระนั้นสังคมคนทำงานอาจไม่อินกับการใช้เรื่องครอบครัวที่เป็นเรื่องส่วนตัวมาเป็นข้ออ้าง จนทำให้เกิดการบีบคั้น กลั่นแกล้งในที่ทำงาน และทำให้พระเอกตระหนักได้อย่างแท้จริงว่า พนักงานในบริษัทก็เปรียบเสมือนของใช้ที่หมดประโยชน์เมื่อไหร่ก็ต้องโดนโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี และบริษัทก็หาคนมานั่งตำแหน่งแทนได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอีกตัวละคร คือ อูจองฮุน (รับบทโดย คิมโดฮุน) ที่ถ้าเรียกง่ายๆ คือเป็นเด็กเส้นที่ถูกฝากเข้าทำงานในบริษัท Peoplez เพื่อดัดนิสัยความไม่เอาไหน ความไม่ขยันขันแข็งของเขา แน่นอนว่าเขาก็ยอมมาทำงานแต่โดยดีแต่ก็ไม่ได้จริงจังกับงานเท่าที่ควร ซึ่งถ้าถามว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมคนทำงานจริงไหม? ตอบได้เลยว่าไม่เกินจริงแบบ 1000% แน่นอน แคสติ้งงานเนี้ยบ โปรดักชั่นส่งบท บทส่งตัวละคร ตัวละครส่งซีรีส์ให้ดีเยี่ยม คงต้องลำดับขั้นตอนแบบนี้ทีเดียวเชียวละ สำหรับทัพนักแสดงที่ซีรีส์เรื่องนี้แคสติ้งมาเราว่าน่าสนใจ อย่างแรกที่คล้ายกันเลยก็คือนักแสดงทุกคนมีใบหน้าที่ดูเป็นมิตร ดูแล้วอบอุ่นสบายตาได้อย่างน่าประหลาดสมกับเป็นซีรีส์แนวโรแมนติก แต่อย่างไรก็ตามตัวร้ายก็ยังมีใบหน้าที่ดูร้ายแบบสังเกตได้ชัดเช่นเดียวกัน นอกจากใบหน้าที่ดูอบอุ่น เป็นมิตรเพื่อเสริมบรรยากาศให้ซีรีส์อบอุ่นได้แล้วนั้นเคมีของนักแสดงแต่ละท่านยังเข้ากันได้แบบลงตัวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ฮันจีมิน รับบท คังจียุน คังจียุน ตีบทบาทของ CEO สาวมาดเย็นชาได้แตกกระจุย เธอสวมพาร์ทของผู้บริหารที่สามารถทำงานได้อย่างฉลาดปราดเปรื่อง พูดจาชัดถ้อยชัดคำแต่ในขณะเดียวกันก็มีเสน่ห์น่าตรึงตราใจ นอกไปจากบทบาทสาวมั่นตัวละครคังจียุนยังทำให้เราเข้าใจอีกตัวตนที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายในว่าแท้จริงแล้วเธอนั้นอ่อนแอ และเปราะบางได้ไม่ต่างจากผู้หญิงคนไหน เพียงแต่ต้องสร้างภาพลักษณ์นี้ไว้เพื่อผลดีต่อธุรกิจ อีจุนฮยอก รับบท ยูอึนโฮ บทบาทคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวในเรื่องนี้ถูกออกแบบมาได้อย่างกลมกล่อม ลงตัว เริ่มจากความเป็นสุภาพบุรุษ Gentleman ของยูอึนโฮ ที่อีจุนฮยอกสามารถถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนความสามารถด้านการทำงานก็โดดเด่นจนได้รับการโปรโมทเลื่อนขั้นให้เป็นตำแหน่งผู้จัดการตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี เรียกได้ว่าดู perfect โดยไม่ต้องพยายาม อย่างไรก็ตามบทบาทการเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวอาจจะไม่ใช่งานที่ง่ายอย่างที่คิดเพราะในขณะที่ยูอึนโฮต้องทำงานหนัก กลายเป็นว่าเขาละเลยลูกสาวของเขาไปจนทำให้เกิดปัญหา แต่อย่างไรก็ตามคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวก็จัดให้ลูกสาวตัวน้อยเป็น priority สำคัญเสมอ และเมื่อได้ทำงานเป็นเลขาฯ ของคังจียุน บทละครก็ถ่ายทอดออกมาชัดเจนว่านี่มันการดูแลเจ้านายแบบที่พ่อดูแลลูกคนหนึ่งชัดๆ อีซังฮี รับบท ซอมิแอ เป็นตัวละครที่เรารู้สึกรักเลยก็ว่าได้ อีซังฮี ถ่ายทอดบทซอมิแอออกมาได้อย่างน่ารัก น่าสนใจ ด้วยคาแรกเตอร์เพื่อนสาวของคังจียุนที่รับจบทุกงานในบริษัท Peoplez รวมถึงตำแหน่งผู้ช่วยจำเป็น ตลอดไปจนถึงฉากการหยุมหัวเบาๆ เพื่อช่วยเตือนสติ CEO ใหญ่ผู้ที่ไม่ค่อยยอมใครได้อยู่หมัด ตัวละครซอมิแอเปรียบเสมือนผงชูรสที่ช่วยให้เส้นเรื่องมีความสดใส และคอเมดี้มากขึ้น เหมือนเป็นตัวละครที่มีแอร์ไทม์เมื่อไหร่ก็จะช่วยเบรกความเครียดของเนื้อหาไปหน่อย และคุณอีซังฮีก็แสดงออกมาได้อย่างดี งานโปรดักชั่น ดีเริ่ด สไตล์เกาหลี เรื่องนี้ไม่พูดถึงคงไม่ได้เพราะทางเกาหลีเขาทำงาน production ออกมาได้สวยเด่นจริงๆ ละ เริ่มจากคอสตูม เสื้อผ้า หน้า ผม เมคอัพของทุกตัวละครคือทำมาได้อย่างพอดี ไม่มีมากไป ไม่มีน้อยไป ทุกอย่างลงตัวไปหมด สมกับเป็นประเทศแห่งแฟชั่น ส่วนเรื่องงานภาพเรารู้สึกชอบที่เขาใช้โทนสีสไตล์อบอุ่นสายตา ผสานเข้ากับการเดินเรื่องแบบผสมความเป็นคอเมดี้เข้ามาเป็นระยะๆ ทำให้เราดูซีรีส์เรื่องนี้ได้เรื่อยๆ เพลินๆ รู้ตัวอีกทีก็จะจบไปอีกตอนซะแล้ว สรุปหลังดู ซีรีส์เกาหลี Love Scout ที่ออนแอร์ไปเรียบร้อยแล้ว ขอชื่นชมว่าเป็นซีรีส์แนวทำงาน พนักงานออฟฟิศ ที่น่าสนใจอีกเรื่องค่ะ แนวบริษัทก็ดูฉีกไปเป็นบริษัท Head Hunting ที่ไม่ค่อยเจอบ่อยๆ ในซีรีส์เกาหลีเรื่องอื่น สะท้อนสังคมชาวออฟฟิศได้อย่างน่ารัก มีปมดราม่าทั้งจากคู่แข่งทางธุรกิจเดียวกัน ดราม่าคารมระหว่างตัวละครหลัก เพื่อช่วยเสริมมิติให้เส้นเรื่อง ทำให้เนื้อหามีความลึกและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ใครชอบดูซีรีส์แนวคู่กัดเปลี่ยนเป็นคู่รัก ห้ามพลาดจ้า เปิดวาร์ปนักแสดง ซีรีส์เกาหลี Love Scout รับจ้างจัดหารัก (2025) https://www.instagram.com/p/DEeElecSjdT/?img_index=1 ฮันจีมิน (Han Ji-Min) นักแสดงและนางแบบชาวเกาหลีใต้ เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) ปัจจุบันอายุ 42 ปี เธอเริ่มต้นอาชีพในวงการบันเทิงขณะยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย โดยปรากฏตัวในโฆษณาและมิวสิกวิดีโอ ก่อนจะได้รับความสนใจมากขึ้นในปี พ.ศ. 2546 จากการแสดงในละครโทรทัศน์เรื่อง "All In" และ "แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง" ผลงานที่โดดเด่นของเธอ ได้แก่ บทบาทในละคร "Rooftop Prince" (2012) และ "One Spring Night" (2019) รวมถึงภาพยนตร์ "Miss Baek" (2018) ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากงาน Blue Dragon Film Awards นอกจากนี้ เธอยังมีผลงานในละคร "Behind Your Touch" (2023) และ "Our Blues" (2022) https://www.instagram.com/p/DD5vC7wTcly/?img_index=1 อีจุนฮยอก (Lee Joon-Hyuk) นักแสดงชาวเกาหลีใต้ เกิดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) ปัจจุบันอายุ 41 ปี เขาเริ่มต้นอาชีพในวงการบันเทิงด้วยการปรากฏตัวในมิวสิกวิดีโอของวงไทฟูนในปี พ.ศ. 2549 และเปิดตัวการแสดงครั้งแรกในละครโทรทัศน์เรื่อง "First Wives' Club" ในปี พ.ศ. 2550 ผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น ได้แก่ บทบาทในละคร "City Hunter" (2011) และ "Stranger" (2017) ซึ่งได้รับความนิยมและคำชมจากผู้ชม นอกจากนี้ เขายังมีผลงานในละคร "Are You Humaบทเป็นจียองฮุน และ "365: Repeat the Year" (2020) ในด้านภาพยนตร์ เขาได้แสดงในเรื่อง "Along With the Gods: The Two Worlds" (2017) และภาคต่อ "Along With the Gods: The Last 49 Days" (2018) อีจุนฮยอกได้รับการยอมรับในวงการบันเทิงเกาหลีใต้จากความสามารถในการแสดงที่หลากหลายและความทุ่มเทในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง https://www.instagram.com/p/DCWfBGOvLY6/?img_index=1 คิมโดฮุน (Kim Do-Hoon) นักแสดงชาวเกาหลีใต้ เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) ปัจจุบันอายุ 26 ปี เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชุงอัง สาขาการละครและภาพยนตร์ เริ่มต้นอาชีพในวงการบันเทิงด้วยการเป็นนายแบบภายใต้การดูแลของ ESteem Model Management ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นนักแสดง ผลงานการแสดงที่โดดเด่นของเขา ได้แก่ บทบาทในละคร "Moving" (2023) "The Law Cafe" (2022) และ "Today's Webtoon" (2022) จนได้รับรางวัล Best New Actor นอกจากนี้ เขายังมีผลงานในละคร "Here's My Plan" (2021) และ "Dark Hole" (2021) "The Hypnosis" (2021) และ "The Faceless Boss" (2019) https://www.instagram.com/p/DCBC4LoyCBB/?img_index=1 คิมยุนฮเย (Kim Yoon-Hye) นักแสดงชาวเกาหลีใต้ เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) ปัจจุบันอายุ 34 ปี เธอเริ่มต้นอาชีพในวงการบันเทิงด้วยการเป็นนางแบบ ปรากฏตัวครั้งแรกบนปกนิตยสาร Vogue Girl Korea ในปี พ.ศ. 2545 และต่อมาได้แสดงในมิวสิกวิดีโอหลายชิ้น คิมยุนฮเยเปิดตัวการแสดงครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง "My Son" (2007) และได้รับความสนใจมากขึ้นจากบทบาทในละครโทรทัศน์เรื่อง "Heartstrings" (2011) และ "Flower Boy Next Door" (2013) ในปี พ.ศ. 2556 เธอได้รับคำชมจากการแสดงเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่เย็นชาในภาพยนตร์ระทึกขวัญโรแมนติกเรื่อง "Steel Cold Winter" ผลงานที่โดดเด่นอื่น ๆ ของเธอ ได้แก่ ละคร "Vincenzo" (2021) และ "18 Again" (2020) นอกจากนี้ เธอยังมีผลงานภาพยนตร์เรื่อง "The Advocate: A Missing Body" (2015) และ "Because I Love You" (2017) https://www.instagram.com/p/C0MXOYDxc2C/?img_index=1 อีซังฮี (Lee Sang-Hee) นักแสดงหญิงชาวเกาหลีใต้ เกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) ปัจจุบันอายุ 42 ปี เธอสำเร็จการศึกษาด้านพยาบาลศาสตร์และเคยทำงานในโรงพยาบาล ก่อนจะผันตัวเข้าสู่เส้นทางอาชีพนักแสดงโดยเธอเริ่มเป็นที่รู้จักจากบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง "End of Winter" และได้รับการยอมรับมากขึ้นจากผลงานในภาพยนตร์ "Our Love Story" นอกจากนี้ เธอยังมีผลงานในละครโทรทัศน์หลายเรื่อง เช่น "Children of the 20th Century" และ "One Spring Night" ผลงานภาพยนตร์ที่สำคัญของเธอ ได้แก่ "One Way Trip" (2016), "Phantom Detective" (2016), "The Truth Beneath" (2016), "Tunnel" (2016), "The Age of Shadows" (2016), "I Can Speak" (2017), "Mothers" (2017), "Golden Slumber" (2018), "Another Child" (2019), และ "Decibel" (2022) ภาพหน้าปก ภาพที่1 จาก SBSNOW ภาพในบทความ 1, 2 3 4, 5 6, 7, 8 9, 10 จาก SBSNOW คลิปในบทความ คลิปที่1 จาก SBS Catch Iinstagram roma.emo / leejunhyuk05 / 7imdohoon / kimyoonhye_ / sangheeya เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !