รีเซต

จอร์จ มิลเลอร์ ความละเอียดยิบถึงเบื้องหลังการสร้าง "Furiosa: A Mad Max Saga"

จอร์จ มิลเลอร์ ความละเอียดยิบถึงเบื้องหลังการสร้าง "Furiosa: A Mad Max Saga"
Major Cineplex
21 พฤษภาคม 2567 ( 07:00 )
47

จุดเริ่มต้น

จอร์จ มิลเลอร์: ในเรื่อง “Fury Road” เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอด 3 วัน 2 คืน หน้าที่ของเรื่องคือบอกเล่าเรื่องราวและอธิบายรายละเอียดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการจะอธิบายได้เราต้องเข้าใจโลกใบนั้นมากพอ เช่น หากเราจะหยิบยกตัวละครฟูริโอซ่าขึ้นมา เราต้องรู้ว่าเธอมาจากที่ไหน เจอสภาพแวดล้อมแบบไหน อะไรหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นแบบนี้ เธอเรียนรู้ทักษะต่างๆ จากที่ไหน? เธอมาอยู่ในจุดที่เต็มไปด้วยการต่อสู้กับทุกสิ่งได้อย่างไร อะไรคือแรงปรารถนาของเธอ? เราต้องเขียนเรื่องราวของฟูริโอซ่าขึ้นมาก่อนที่เราจะพยายามสร้างเรื่องราวของ “Fury Road” เรามีบทของเรื่อง “Fury Road” แล้ว แต่ต้องมาการปรับเปลี่ยนกลับไปกลับมาตลอด เราเขียนเรื่อง “Furiosa” เป็นภาพยนตร์เอาไว้แล้ว ช่วงที่เราสร้างเรื่อง “Fury Road” ขึ้นมา เราสามารถแชร์เรื่อง “Furiosa” ให้ทีมงานและนักแสดงได้เลย “Furiosa” ไม่ใช่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวละครเพียงอย่างเดียว ยังเกี่ยวข้องกับโลกที่เธอเคยอยู่ และทุกคนล้วนได้รับประโยชน์จากบทภาพยนตร์นั้น จนเราคิดว่า “ถ้าเรื่อง ‘Fury Road’ เรียกความสนใจได้ เราจะมาสร้างเรื่องนี้กัน” รวมเป็นเวลา 9 ปีนับจากเรื่อง  “Fury Road” จนเรามาถึงจุดนี้ที่ได้สร้างหนังเรื่องนี้กัน

การผจญภัยอันยาวนาน

จอร์จ มิลเลอร์: ในเรื่องนี้เป็นการติดตามชีวิตคนหนึ่งตั้งแต่อายุ 10 ขวบจนถึง 26 ปี มันยาวนานถึง 15 ปี และป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจาก “Fury Road” แทบจะทั้งหมด มันสามารถเอามาต่อกันเป็นหนัง 2 เรื่องได้ด้วยซ้ำ ในเรื่องนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอด 3 วัน 2 คืน ถูกบีบอัดเวลาสำหรับการเล่าเรื่องราวมาก สำหรับผู้ชมที่ไม่เคยดู “Fury Road” มาก่อน มันไม่มีอะไรต่างกันเลย และสำหรับผู้ที่เคยดูเรื่อง “Fury Road” ไม่มีอะไรต่างมากนัก เว้นแต่คุณจะเข้าใจแรงกระตุ้นทุกเหตุกาณณ์ที่นำมาสู่การสร้างเรื่องราวในเรื่อง “Fury Road” หนังเหล่านั้นเหมือนตำนานอันยาวนานเรื่องหนึ่งเลยครับ

โดยพื้นฐานแล้วคือเรื่องราวของคนที่ถูกพรากจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก และสัญญาเอาไว้ว่าจะกลับบ้านไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เธอใช้เวลาทั้งชีวิตพยายามจะกลับบ้าน มันคือการเดินทางที่ยาวนาน ตอนนี้เป้าหมายของ “การเดินทางอันยาวนาน” ยังไม่เห็นภาพชัดเจนเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของนางเอก จึงกลายเป็นเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เมื่อพยายามจะกลับบ้านจนเธอกลายเป็น... ฟูริโอซ่า

พฤติกรรมทำซ้ำของมนุษย์

จอร์จ มิลเลอร์: มนุษย์เราไม่ว่าที่ไหนเมื่อใดก็ตาม เรามักจะมีพฤติกรรมทำซ้ำในรูปแบบเดิมเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในการทำงานของโลกอันรกร้างว่างเปล่านี้ คือตัวเรื่องยอมให้เราทำอะไรแบบนั้นได้ แม้เนื้อเรื่องจะเป็นฉากของอนาคตที่ดูถดถอย โดยพื้นฐานเหมือนเราย้อนกลับไปมีพฤติกรรมเหมือนสมัยยุคกลาง ก่อนยุคกลาง หรือนีโอ-ยุคกลาง ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างทางอำนาจ พลังที่เกิดขึ้นระหว่างผู้คน กลุ่มคนและปัจเจกชน บางครั้งมีการย้อนไปหาอดีตเหมือนที่เรากำลังเฝ้าดูปัจจุบัน เรามีการเปรียบเทียบกับช่วงปัจจุบันในสิ่งที่เราเผชิญอยู่ เพราะรูปแบบพื้นฐานเหล่านั้นไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปเลย มีความคิดเรื่องเทคโนโลยีในอนาคตที่นำมาสู่ตอนนี้  ผมคิดว่าคุณอธิบายได้เรามาอยู่ในโลกทุกวันนี้ได้อย่างไร มันมีชุดพฤติกรรมมนุษย์บางอย่างที่สะท้อนถึงอนาคตชัดเจน เราหวังว่าจะมีชีวิตอยูได้เป็นร้อยปี แต่ก็มีชุดพฤติกรรมมนุษย์บางอย่างที่ผมคิดว่าแทบไม่ต่างจากเมื่อหลายร้อยปีหรือล้านปีที่แล้ว มันเป็นความแตกต่างของพฤติกรรมที่ยังคงอยู่ในโลกอันรกร้างว่างเปล่าใบนี้

เทียบกับ Mad Max

จอร์จ มิลเลอร์: การสร้าง “Mad Max” เป็นเรื่องยากมาก เพราะไบรอน เคนเนดี้กับผมไม่เคยมีประสบการณ์จริงมาก่อน เราไม่เคยอยู่ในฉากภาพยนตร์กันมาก่อนเลย ตอนนั้นผมคิดว่า “ฉันทำภาพยนตร์ออกมาไม่ได้แน่ ไม่คิดว่าเราจะสร้างหนังได้อย่างที่เราต้องการ” จากนั้นผมรู้สึกทึ่งมากที่มันสะท้อนไปถึงทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่พวกเขาพูดกันว่า “Mad Max เหมือนกับซามูไรเลย” ในสแกนดิเนเวียเรียกว่า “ไวกิ้งผู้โดดเดี่ยว” ฝรั่งเศสเรียกว่า “ชาวตะวันตกบนรถ” นั่นคือจุดที่ผมเริ่มเข้าใจว่าการเปรียบเทียบกับหนังอเมริกัน คือตะวันตกตั้งแต่ยุคเงียบจนมาถึงยุค 60 และ 70 จนถึงวันนี้ “Mad Max” ยังเป็นชาวตะวันตกอยู่บนรถที่มีการกล่าวถึงในเชิงเปรียบเทียบกันอยู่ และเมื่อเราสร้างเรื่อง “Mad Max 2” ผมเข้าใจทุกพลังขับเคลื่อนและสิ่งที่ทำให้เรื่องราวเป็นตำนานมากขึ้น แมกซ์กลายเป็นฮีโร่ต้นแบบจะเรียกแบบนั้นก็ได้ นั่นคือเสน่ห์อย่างหนึ่งในเรื่องราวเหล่านี้ เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ปล่อยผมไป เพราะโลกใบนี้มีอะไรหลายอย่างและมีความสมบูรณ์ มีหลายข้อที่ผมเช็ดดูแล้วเชื่อว่ามันตรงกับเนื้อเรื่องที่มีความสนุก

ฉะนั้นพอมาถึงเรื่อง “Furiosa” สิ่งหนึ่งที่ผมอยากเข้าไปสำรวจเสมอคือผู้คนต่างเปิดเผยตัวตนออกมาในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดขีด ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพบรรยากาศแบบไหนบยนโลกก็ตาม นี่คือสถานการณ์ที่จะทำให้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณออกมา และไม่ว่าตอนเด็กเราจะเป็นแบบไหนก็ตาม เราต้องหาทางโลดแล่นอยู่บนโลกด้วยตัวเองให้ได้ เรามีคำแนะนำสั่งสอน เรามีวัฒนธรรม เรามีพ่อแม่ เรามีพี่น้อง เรามีทุกอย่างที่โน้มน้าวพฤติกรรมได้ แต่ละคนก็มีตัวตนในแบบของตัวเองเมื่อโตขึ้นมา ผมเดาว่าคุณคงบอกว่านั่นคือหัวใจสำคัญของเรื่องราว อะไรจะดีไปกว่าการเล่าเรื่องในโลกที่ดูสิ้นหวังแบบนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมเข้าถึงเรื่องราวนี้จริงๆ ส่วนเรื่อง “Furiosa” ฟูริโอซ่าเป็นเด็กหนึ่งในนั้น ผมรู้จักเด็กที่มีทรัพยากรที่ล้นเหลือ มีความสามารถดีเยี่ยม และเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองได้ไว พวกเขาจะหาทางใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้โดยไม่ย่อท้อหรือถูกทำลาย ซึ่งผมชื่นชมมาโดยตลอด มีอีกหลายคนที่ผมรู้จักต้องเผชิญเรื่องราวที่ต้องฝ่าฟัน พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างน่าประทับใจ ผมรู้สึกว่ามันน่าหลงใหลและเป็นเหตุผลที่เราอยากเล่าเรื่องของฟูริโอซ่า

การค้นหาฟูริโอซ่า

จอร์จ มิลเลอร์: ผมเห็นอันยาจากเรื่อง “The VVitch” ช่วงที่ “Fury Road” ฉาย ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก จากนั้นผมเห็นเธอช่วงที่เอ็ดการ์ ไรท์ตัดต่อ “Last Night in Soho” ในช่วงแรก พอผมเห็นเธอบนจอภาพยนตร์ ผมคิดเลยว่า “ตัวเธอมีบางอย่างที่มีความน่าสนใจมาก” ดูทันสมัย โหดเหี้ยม และมั่นใจ แม้ตัวละครจะมีการร้องเพลงและเต้นก็ตาม เธอมีทักษะเหล่านั้นอยู่ในตัว ซึ่งผมคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการหานักแสดงที่มีความสามารถ พวกเขาตรงกับที่ต้องการและสื่ออารมณ์ได้เป็นอย่างดี ตอนที่หนังจบแล้วผมคุยกับเอ็ดการ์ว่า “สำหรับอันยา ผมคิดว่าเธอคงจะเหมาะสำหรับ—” และผมคิดว่าทิ้งประโยคไว้นานจนเขาพูดว่า “เอาเลย เอาเลย! เธอมีครบอย่างที่คุณต้องการ เธออยู่ตรงนั้นแล้ว” และผมไม่อยากเชื่อเลยว่าผมไม่ทันพูดถึงฟูริโอซ่าด้วยซ้ำ เอ็ดการ์คือคนที่ผมเคารพสูงมาก เขามีไหวพริบ มีขั้นตอนการทำงานลอีกหลายอย่าง มันไม่ใช่แค่ “โอ้ เธอเก่งนะ…” มันคือ “เอาเลย เอาเลย!” ฉะนั้นด้วยการยืนยันแบบนั้น... แสดงว่าเขาพูดถูกแน่ๆ หลังจากนั้นผมได้คุยกับอันยา เอาบทให้เธอดูและพูดคุยว่าเราทำอะไรมาบ้าง ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับเธอ เชน ชาร์ลีซ เธอฝึกซ้อมการเต้นบัลเลต์ เธอขี่มอเตอร์ไซค์ตั้งแต่อายุยังน้อย รวมถึงการเต้นบัลเลต์และอีกมากมาย เธอผจญภัยในโลกใบนี้พร้อมกับครอบครัวที่ให้การสนับสนุนมากตั้งแต่อายุยังน้อย แน่นอนว่าเธอมีความคุ้นเคยกับตัวละคร ทั้งอันยาและอไลลา บราวน์รวมถึงอีกหลายตัวละคร แผนภาพของเวนน์เห็นภาพได้เกี่ยวข้องกันสำหรับผม

อันยาในบทฟูริโอซ่า

จอร์จ มิลเลอร์: อันยาเป็นผู้ร่วมงานที่น่าทึ่งมาก เธอมีส่วนร่วมในการเพิ่มความลึกซึ้งของตัวละครในแบบของตัวเธอเอง ไม่สงสัยที่เธอถ่ายทอดความดุร้ายออกมาในหนังได้เลย ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเธอหรือไม่ก็ตาม แต่เธอค้นหามันเจอในตัวเอง และเป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้จากผลงานที่ผ่านมาจนถึงการร่วมงานกับเธอ มีบางอย่างที่ผมได้เรียนรู้เธอมากขึ้นจากการร่วมงานในเรื่องนี้ด้วย เธอมีทั้งความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและโหดเหี้ยมมาก ซึ่งล้วนเคยเห็นมาแล้วบนจอภาพยนตร์ ท่าทางเธอไม่ได้น่ากลัวอะไร ผมคิดว่ามันอยู่ในยีนของเธอ มาจากการถูกเลี้ยงดู และผมคิดว่าเธอถ่ายทอดให้เห็นได้ชัดเจนในผลงานนี้

ดีเมนทุส

จอร์จ มิลเลอร์: ดีเมนทุสในเรื่องนี้เป็นผู้นำทหารที่มีแนวทางเหมือนตัวละครทางประวัติศาสตร์ในหลายวัฒนธรรม ผู้คนออกปล้นกันทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่ เก็บเกี่ยวทุกทรัพยากรที่มี รวมถึงทรัพยากรมนุษย์ด้วยเพื่อจะเอาชนะอีกหลายอารยธรรม รูปแบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ แม้แต่ช่วงยุคกลางศตวรรษที่ 20 เรามีคนที่มีความทะเยอทะยานแบบนั้นและเราก็พบเจออีก ดีเมนทุสคือตัวแทนของคนเหล่านั้น ในโลกใบนี้การเคลื่อนที่ได้ง่ายคือสิ่งที่นำไปสู่การอยู่รอด เขาจึงเริ่มสร้างกองทัพนักขี่และเราจะเข้าใจได้ว่าเขามีวิธีการอย่างไร มันเกิดขึ้นหลังช่วงล่มสลายทางสังคมในทวีปออสเตรเลีย ผู้คนต่างทิ้งเมืองใกล้ชายฝั่งและเข้าสู่พื้นที่หลังฝั่งทะเล เราแทบไม่เปลืองพลังงานเลยหากขี่มอเตอร์ไซค์ มันคือเรื่องธรรมชาติที่ผู้คนมีความสามารถเดินทางและหยิบข้าวของที่จำเป็นไปกับพวกเขาได้ง่าย แต่ไม่ต้องตั้งรกรากในที่จะปักหลักเพียงชั่วขณะ เหมือนกับพวกตั๊กแตน พวกโจร กินในสิ่งที่มี... และนั่นคือดีเมนทุส เขามีความสามารถและเป็นผู้นำที่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ สามารถสร้างกองทัพนักขี่ออกปล้นได้ทั่วดินแดนอันรกร้าง เขาต้องดูคาดเดาได้ยาก เพราะเขาต้องทำตัวลึกลับและเข้าถึงง่ายในเวลาเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตได้ในผู้นำที่มีเสน่ห์แบบนี้คือ... ไม่มีคำไหนจะดีไปกว่าคำว่ามีเสน่ห์ดึงดูดมาก พวกเขามีอารมณ์ขัน มีความขี้เล่นที่ดึงดูดเราได้ มีความสามารถ แต่ต้องหลอกล่อเป็น นั่นล่ะคือดีเมนทุส

คริส เฮมส์เวิร์ธ

จอร์จ มิลเลอร์: ผมรู้จักคริสอยู่แล้วและมันก็มีความน่าสนใจ ย้อนกลับไปตอนที่เราสร้างเรื่อง “Mad Max” ภาคแรก เรามีกลุ่มไบค์เกอร์ที่มารับบทไบค์เกอร์ในโทคัตเตอร์ รับบทโดย ฮิวจ์ คีย์ส-เบิร์น พวกเขาไม่ใช่กลุ่มนักขี่อย่าง Hells Angels ที่พัวพันกับอาชญากรรม พวกเขาเป็นกลุ่มนักขี่รถรอบชานเมืองวิคตอเรีย และหากจำเรื่อง “Mad Max” ได้จะมีสุนัขตัวหนึ่งเรียกว่าวันเดอร์ด็อกที่ขี่อยู่บนหลังไบค์เกอร์ด้วย ซึ่งมันเป็นสุนัขของในกลุ่มร่วมกัน หลายปีต่อมาคนหนึ่งในกลุ่มไบค์เกอร์นั้นคือ เดล เบนช์ เขาแสดงผาดโผนให้ “Mad Max” ภาคแรก เขาเอารูปถ่ายคู่กับวันเดอร์ด็อกมาให้ดู ในกลุ่มยังมี เฮมส์เวิร์ธ คุณพ่ของคริส ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของคริสต่างทำงานเพื่อสังคมและช่วยเด็กที่ถูกทารุณ พวกเขาคือยุคบุกเบกของทีมผู้ทำงานเพื่อสังคมเลยครับ  

หลายต่อหลายปีต่อมา ผมคิดถึงเรื่องคริสจนเราตัดสินใจนัดเจอกัน ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย และนับตั้งแต่การได้พบกันครั้งแรกผมสังเกตเห็นได้ว่าเขาเป็นคนที่ใส่ใจทุกอย่างเหลือเชื่อ เป็นคนช่างสังเกต เรียนรู้ไว และเรียนรู้หลายเรือง เขาเข้าใจตัวเองดีมาก รู้ว่าตัวเองเป็นใครและคนอื่นมองเขาแบบไหน เราคุยกันเรื่องเสน่ห์และเขาพูดว่า “มันต้องมีมุกตลก คุณต้องมีอารมณ์ขันในการสร้างเสน่ห์ คุณอาจจะดูดีมากเมื่ออยู่ในฉาก แต่การพูดคุย การเดิน ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ผมมั่นใจว่าอาจจะมีข้อยกเว้นว่าการมีความสามารถช่วยเสริมเสน่ห์บางอย่างขึ้นได้” ผมขอให้เขาอ่านบทภาพยนตร์ ซึ่งเขาเข้าใจตัวละครได้โดยทันที และสิ่งที่ผมเห็นในขั้นตอนการสร้างหนังคือภาพนักแสดงที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถสูง มีไหวพริบอย่างปราดเปรื่อง เขาไม่ใช่แค่รู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อให้เข้าถึงตัวละครนั้น แต่เขาเข้าใจการพัฒนารายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดด้วย เขาเข้าใจตัวละครขนาดนั้นจนผมเริ่มไว้วางใจเวลาที่เขาพูดว่า  “ผมคิดว่าดีเมนทุสคงทำแบบนี้…” เขาให้อะไรมากกว่าการแสดงหรือถ่ายทอดตัวละครของเขา แต่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ลึกซึ้งมากขึ้นด้วย เขามักจะเป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้ผมนึกถึงการร่วมงานกับเมล กิ๊บสันตอนที่เขายังอายุน้อย คริสมักจะอยู่ในฉากเสมอ เขาไม่กลับไปที่รถตัวเองเลย เขาจะมานั่งอยู่ในฉาก มีกลุ่มคนอยู่รายล้อมเขาตลอดโดยเฉพาะแก๊งค์ไบค์เกอร์ของเขา เขาพูดคุยกับทุกคนตลอด มีการเตรียมตัวเสมอ และเขาคอยจับตาดูทุกอย่างที่เกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่เมลทำ ย้อนไปถึงวันเก่าๆ ในเรื่อง  “Mad Max” และ “Mad Max 2” เราไม่มีรถเทรลเลอร์ที่ออสเตรเลีย เมลอยู่ในฉากด้วยเสมอ วันหนึ่งผมหันไปหาเขาและเขากำลังจ้องมองอยู่ ผมถามว่า “เมล คุณจะกำกับหนังใช่ไหม?” เขาพยักหน้า ซึ่งแน่นอนว่าเมลเป็นผู้กำกับฯ ที่เก่งมาก ผมเห็นทุกอย่างแบบนั้นในตัวคริส เขารู้ว่าอะไรคือความเหมาะสมลงตัว และเขามีพรสวรรค์ในตัวสูงมาก แสดงฉากผาดโผนเองทั้งหมด และชีวิจริงก็ขี่มอเตอร์ไซค์ เล่นเซิร์ฟ ทำทุกอย่างแนวนั้นด้วย เขาจึงเหมาะกับตัวละครนี้ที่สุด พอผมได้เจอคริส เห็นการตอบโต้และความเข้าใจของเขาที่มี การเชื่อมโยงถึงกันมันทำให้ผมคิดว่า “โอเค เขานี่ละที่เหมาะกับบทดีเมนทุส”

การกลายเป็นฟูริโอซ่า

จอร์จ มิลเลอร์: ขั้นตอนสู่การกลายเป็นฟูริโอซ่าของอันยา ผมคิดว่าเธอเริ่มจากชีวิตวัยเด็กของตัวเอง สิ่งที่หล่อหลอมเธอขึ้นมา ชีวิตส่วนตัวและตัวตนที่แท้จริงของเธอ ในตัวอันยามีบางอย่างที่สำคัญอย่างความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น สำหรับการสร้างหนังเรื่องนี้ ผมเห็นความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานให้ออกมาดีและถูกต้องเหมาะสม ซึ่งนั่นไม่ทำให้ผมแปลกใจเลย ผมรู้ว่าเธอเป็นน้องเล็กสุดในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคน อันยาต้องผลักดันหลายอย่างในเรื่องนี้ ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่มีใบขับขี่ คิดว่าเธอใช้เวลาขี่มอเตอร์ไซค์มากกว่า แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดเธอก็ไม่ค่อยขับรถสักเท่าไหร่และไม่มีใบขับขี่ ก่อนจะเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เธอได้เริ่มขับรถ ช่วงนั้นเธอต้องเดินทางไปที่ออสเตรเลีย กาย นอร์ริสและทีมนักแสดงผาดโผนส่งวีดีโอเธอขับรถมาให้เธอ เธอมีการหมุนเลี้ยวและขับแบบ 180 องศาอะไรแบบนั้นด้วย ผมเริ่มเห็นการขับรถในแบบฟูริโอซ่าที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา มันประยุกต์ถึงทุกอย่าง มีการใช้อาวุธปืนด้วย เธอเป็นคนที่ปรับตัวได้ไวมาก และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เอ็ดการ์พูดว่า “เอาเลย เอาเลย!” เพราะเขารู้ทุกอย่างดี เธอมีความถนัดเรื่องการร้องและเต้นสูงมาก ผมคิดวาหากเธอทำอะไรแบบนั้นได้ก็คงปรับร่างกายสำหรับทุกอย่างได้ โดยเฉพาะบทบาทที่ใช้ร่างกายแบบบนี้ เธอเหมือนกับตัวละคร Mad Max ตลอดทั้งเรื่องราวและมีความเป็นฟูริโอซ่าในเรื่อง “Fury Road” พวกเขาเป็นตัวละครที่พูดน้เอย ต้องทำอะไรหลายอย่างต่อหน้ากล้อง คำพูดคือสิ่งที่ใช้สำหรับงานพิธี ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ทั่วไปในโลกของดินแดนอันว่างเปล่า มีวิธีสื่อสารกันอย่างเรียบง่ายและตัวละครทั้งหมดไม่พูดอะไรมาก แต่ต้องอาศัยท่าทางในการแสดงต่อหน้ากล้อง เพื่อบอกเล่าประสบการณ์และการตอบโต้กับตัวละครอื่น ซึ่งอันยามีบุคลิกนั้นอยู่ในตัว

แพรทอเรี่ยน แจ็ค

จอร์จ มิลเลอร์: แพรทอเรี่ยน แจ็คเป็นผู้คุ้มกันแบบเดียวกับฟูริโอซ่าในช่วงเริ่มแรกของเรื่อง “Fury Road” ในฐานะแพรทอเรี่ยนผู้ที่อยู่อันดับสูงกว่าในระบบการปกครองบนดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า ผู้อยู่อันดับสูงสุดคือ The อิมมอร์ตั้น้โจ ฉะนั้น แพรทอเรี่ยน แจ็คจึงเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกบังคับและรู้เห็นเป็นใจช่วยเธอกลับบ้าน เขามีความคล้ายกับนักรบคลาสสิคยามที่ปรากฎตัวในเรื่อง การเอาตัวรอดและใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต้องเป็นนักรบที่มีความสามารถ โดยเฉพาะการเป็นนักรบบนท้องถนนที่ต้องขับรถอย่าง Praetorian เพื่อรับใช้ อิมมอร์ตั้น้โจ. เขาเหมือนทหารคนอื่นหลายอย่าง พ่อแม่ของเขาก็เป็นนักรบและพวกเขาต่างมองหาความชอบธรรม การมีศีลธรรม... แต่ไม่เคยได้พบมัน คุณจะได้ยินเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเหล่าทหาร พวกเขามักจะพูดเสมอว่าคุณอยู่ที่นั่นในฐานะนักรบมืออาชีพ แต่ถูกผลักดันโดยผู้อื่นและไม่จำเป็นต้องมีศีลธรรม นั่นคือความยากลำบากของทหารที่เห็นได้ชัดจากแพรทอเรี่ยน แจ็ค เขาไม่ได้เป็นแค่ช่องทางให้เธอกลายเป็นนักรบได้ แต่เป็นผู้ใหญ่ที่กลายเป็น อิมเพอเรเตอร์ฟูริโอซ่า และแพรทอเรี่ยนในท้ายที่สุด

ผมมีอีกหลายคนที่อยู่ในความคิดตอนที่เราคัดเลือกอันยาและคริส นิกกี้ บาร์เร็ตต์เป็นเอเจนท์คัดเลือกนักแสดงที่เก่งมาก เธอส่งรายชื่ที่เป็น 10 อันดับต้นในดวงใจของเธอมาให้ ผมอ่านชื่อทอม บูร์คและก็ตกลงเลย ไม่อ่านชื่ออื่นอีกเลย ผมเคยร่วมงานกับทิลด้า [สวินตัน] ผมรู้จักทอม บูร์คเพราะทิลด้าร่วมงานกับโจแอนนา ฮอกก์ ผมเคยเห็นเขาในเรื่อง “The Souvenir” และก็รู้สึกว่าลบภาพเขาไม่อก จากนั้นได้เห็นผลงานเขาอีก 2 เรื่องแล้วชื่อเขาก็มาปรากฏตรงหน้า สาบานได้เลยว่าผมไม่อ่านชื่ออื่นที่เหลือเลย ผมโทรหานิกกี้และบอกว่า “ทอม บูร์คนี่แหละ” บอกได้อีกครั้งเลยว่าเป็นการตัดสินใจที่ผมมีความสุขมาก เพราะเขาเป็นคนที่เก่งและลงตัวกับหนังมาก ตัวละครต่างๆ และขั้นตอนการทำงานล้วนผ่านไปได้ด้วยดีมาก

พาหนะยานยนต์และตัวละคร

จอร์จ มิลเลอร์: “Furiosa” เกิดขึ้นมานานกว่า 15 ปีแล้ว จึงเกิดการก้าวกระโดดของเวลา โดยพื้นฐานคือเรื่องราวการเดินทางอันยาวนานของตัวละครหนึ่งที่ต้องผ่านบททดสอบมากมาย สะสมทักษะหลายด้านเพื่อให้บรรลุเป้าหมายคือการได้กลับบ้าน ท่ามกลางบททดสอบเหล่านี้มีฉากต่อสู้เกิดขึ้นมากมาย มันมีความรุนแรงและเข้มข้นอย่างที่ภาพยนตร์ควรจะเป็น และมีสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถทำได้หากมีการสร้างผลงานเริ่มแรกหรือภาคต่อจากหนังที่มีอยู่แล้ว คือการกล่าวย้ำเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่องก่อน แต่อีกมุมหนึ่งคือที่เป็นข้อดีคือการได้เล่าเรื่องราวในทิศทางเดียวกัน เรื่องนี้จึงมีฉากต่อสู้เกิดขึ้นมากมาย รวมถึงฉากสำคัญของเรื่องอย่าง The Stowaway มันเหมือนการสร้างยานอวกาศอันงดงามในดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่จะพาเราเดินทางไปยังดาวอังคารหรือไกลกว่านั้นได้ 

สิ่งหนึ่งที่เราระมัดระวังในการสร้างทั้งเรื่อง “Fury Road” และ “Furiosa” คือพาหนะที่เป็นตัวแทนของตัวละคร พวกมันอธิบายความเป็นตัวละครในแบบเดียวกับเสื้อผ้าและทรงผม รวมถึงพวกอาวุธและเหล่าวัตถุที่พวกเขาถืออยู่ด้วย รถของแม็กซ์เป็นอินเตอร์เซปเตอร์ วี8 ที่มีความเป็นแม็กซ์สูงมาก  ดีเมนทุสมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างทาง ดีเมนทุสขี่รถม้าสีแดง สุดท้ายในภายหลังเขาใช้รถบรรทุกขนาดยักษ์เพราะตัวละครต้องใช้พลังงานมากขึ้น มีการส่งเสียงร้องดังขึ้นหรือด้วยอะไรก็ตามมันกลายเป็นคาแรคเตอร์ของเขา แมรี่ จาบาซาเริ่มจากขี่ม้า และเปลี่ยนจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ผุพังเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่เท่มาก ส่วนฟูริโอซ่ามาช่วยสร้างวอร์ริก ซึ่งเป็นข้อดีมากสำหรับวอร์ริกที่อยู่ในเรื่อง “Fury Road” มันสะท้อนถึงความต้องการหลบหนี เมื่อเธอต้องกลายเป็นผู้ดูแลตัวเอง วอร์ริกพัฒนาขึ้นเป็นวอร์ริกขนาด 2 เท่าที่เธอกับผู้ดูแลแจ็คมีร่วมกัน กลายเป็นตัวแทนของพวกเขา รถต่างๆ จึงเป็นส่วนหนึ่งของตัวละคร เหมือนฉากแอ็คชั่นที่ต้องเปิดเผยตัวตนออกมา เหมือนเราดูการออกแบบสถาปัตยกรรมของเรื่องราวเหล่านี้เลยล่ะ

ฉากต่อสู้และตัวละคร

จอร์จ มิลเลอร์: แน่นอนว่าในเรื่องต้องมีฉากแอ็คชั่น ผมขาดไม่ได้เลย ด้วยภาษาภาพยนตร์ที่มีอายุเพียง 150 ปี นับเป็นภาษาที่แปลกใหม่ มีการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เป็นภาษาสากลโลกแม้แต่กับเด็กน้อย ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดบนโลกยังไงก็เข้าใจโครงสร้างของภาพยนตร์ สำหรับผมฉากแอ็คชั่นคือภาพยนตร์ที่มีความบริสุทธิ์ ช่วยไม่ได้เลยที่จะบอกว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสนุก มันช่วยส่งเสริมตัวละครในเรื่อง แน่นอนว่าต้องมีฉากแอ็คชั่นในเรื่อง “Furiosa” มีเยอะมากด้วยและมีความหลากหลาย ผมคิดว่าถ้าแค่ทำซ้ำในสิ่งที่สร้างไว้ในเรื่อง “Fury Road” มันคงออกมาเหมือนการดูถูกคนดู ทุกครั้งที่เราเห็นอะไรเดิมๆ ที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต ผู้คนต่างชินชากับมันไปแล้ว มันต้องมีความแปลกใหม่ในเรื่อง ต้องมีเอกลักษณ์ที่คุ้นตา ผมคิดว่าพูดได้เลยว่าฉากแอ็คชั่นในเรื่อง “Furiosa” มีเอกลักษณ์ที่คุ้นตาจากเรื่อง  “Fury Road”

บทเพลงและเสียงดนตรี

จอร์จ มิลเลอร์: ร็อบ แม็คเคนซี่ ผู้ควบคุมการตัดต่อซาวด์ และทอม โฮลเคนบอร์ก ผู้ประพันธ์ดนตีของเรามาร่วมงานด้วยกันตั้งแต่ช่วงแรก โดยปกติแล้วตามธรรมเนียมการมิกซ์เสียง มักจะมีการโต้เถียงกันระหว่างผู้ประพันธ์ดนตรีกับคนออกแบบซาวด์ เราไม่ได้ยินเสียงดนตรีหรือไม่ได้ยินเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ หรือไม่ได้เสียงเพลงประกอบภาพยนตร์ แต่พวกเขากลับร่วมงานทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะเสียงเพลงที่บรรยายเนื้อเรื่องที่ไม่ได้คาดหวังกับปฏิกิริยาของผู้ชม ผมคิดว่าที่ผ่านมาในบางครั้งดูหมดหวัง ผมใช้ดนตรีในหนังเพื่อบอกผู้ชมว่าต้องรู้สึกแบบไหน เพราะผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสัมผัสได้ ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เป็นแบบนั้น ในฐานะนักบรรยายเรื่องราวเสียงดนตรีทำหน้าที่ตัวละครพิเศษ และบางช่วงมีความสำคัญมาก ใช้เป็นการส่งสัญญาณถึงผู้ชมหรือเตือนผั้ชมว่าจะได้สัมผัสกับอะไร นันคือความพิเศษของตัวละครที่กลายเป็นสากลโลก เรามักมีเรื่องราวที่ต้องอาศัยตัวละครพิเศษเพื่อสื่อถึงประเด็นที่เป็นสากลโลกอย่างกว้างขึ้น และนั่นผมคิดว่าเสียงดนตรีทำหน้าที่นั้นได้ดี

Furiosa: A Mad Max Saga หรือ ฟูริโอซ่า มหากาพย์แมดแม็กซ์ มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 22 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้

สำหรับแฟนหนังเมเจอร์ ห้ามพลาดกับบัตรดูหนังสุดคุ้ม M PASS ที่จะทำให้คุณคุ้มเต็มอิ่มกับการดูหนังตลอดทั้งปี เตรียมไปมันส์กับกองทัพหนังดังมากมาย สมัครง่าย ๆ เพียงแค่คลิก ที่นี่ 

ขอบคุณข้อมูลจาก Total Film