รีวิวหนัง "Judas and the Black Messiah" เหล่าเสือดำ...ดูจบแล้วแน่นจุกอยู่ที่ใจ
รีวิวหนัง วิจารณ์หนัง Judas and the Black Messiah
นี่คือหนังที่ได้เข้าชิง 6 สาขารางวัล บทเวทีรางวัลออสการ์ในปีนี้ หนังดราม่าการเมืองเลือดปฏิวัติที่ดีเดือด ตั้งแต่ต้นจนจบ กับการหยิบเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและกลายเป็นหนึ่งในความอัปยศในวงการสีกากีของอเมริกาในช่วงยุคสมัยที่ยังมีความเหลื่อมล้ำและกดขี่ทางสีผิวค่อนข้างสูง "Judas and the Black Messiah" จึงกลายเป็นหนังประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อหาสุดเข้มข้นที่ไต่ระดับอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างตรึงใจ
เรื่องราวของ วิลเลียม โอ'นีล ที่ได้ทำข้อตกลงกับเอฟบีไอให้เข้าแทรกซึมพรรคแบล็คแพนเตอร์ (เสือดำ) และมีหน้าที่คอยจับตาดูผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของพวกเขา เฟรด แฮมป์ตัน ด้วยอาชีพหัวขโมยของ โอ’นีล นั้น เขาช่ำชองด้านการปลุกปั่นทั้งสหายและผู้ดูแลของเขานั่นก็คือ สายลับพิเศษ รอย มิตเชลล์
ขณะนั้นพลังความอาจหาญทางพรรคการเมืองของแฮมป์ตันเพิ่มมากขึ้นเมื่อเขาตกหลุมรักกับผู้ร่วมปฏิวัติ เดโบราห์ จอห์นสัน ขณะที่เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อความเป็นมนุษย์ สุดท้ายแล้วเขาจะประคองพลังแห่งความดีเอาไว้ได้หรือจะสยบแฮมป์ตันกับชาวแพนเตอร์ทุกวิถีทาง และผู้อำนวยการเอฟบีไอ เจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ จะควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือได้หรือไม่
แน่นอนว่าหนังเข้าทางหนังรางวัลแบบเต็มๆ ไม่มีอะไรผสมเลย เพราะตั้งแต่เปิดฉากเรื่อยมาถึงจบเรื่องเต็มไปด้วยความทรงพลังทั้งการแสดงและบทพูดต่างๆ ของตัวละคร ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าได้ส่งพลังบวกและเพิ่มความหึกเหิมให้กับคนดูได้โดยตรง กับความพยายามโชว์พลังเพื่อความเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นพลังเล็กๆ ที่กลายเป็นบ่อกำเนิดพลังอันยิ่งใหญ่ระดับชาติ
แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า Judas and the Black Messiah ยังค่อนข้างขาดชั้นเชิงในหลายๆ จุดในการขยี้เรื่องราว ภาพรวมของหนังยังไม่สามารถสร้างมิติในบางมุมได้ชัด ทั้งมิติของโครงเรื่อง มิติของตัวละคร และหยิบเอาคำพูดและการแสดงมาใช้ เพื่อสร้างความทรงพลังให้กับตัวหนังได้อย่างประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ผ่านทีมนักแสดงที่ค่อนข้างน่าไว้วางใจ
Judas and the Black Messiah เป็นการหนังดราม่าการเมืองเข้มข้นที่ อาจจะไม่ได้เหมาะกับกลุ่มคนดูหนังทั่วๆ ไป เพราะต้องบอกเลยว่า ช่วงแรกของหนังที่ทำการปูพื้นเพและแนะนำตัวละครต่างๆ ยังค่อนข้างราบเรียบและไม่มีอะไรโดดเด่น ผ่านไปเกือบชั่วโมงแรกไปด้วยความเรียบเฉย เอนเอียงไปทางน่าเบื่อ แต่เมื่อก้าวข้ามผ่านจุดไปแล้ว...หนังจะเริ่มสตาร์ทเครื่องติด
ช่วงครึ่งหลังของหนังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายตามท้องเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความหึมเหินและความสะเทือนใจ บอกได้ว่าช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของหนังคือบทสรุปที่อดสู แต่กลายเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลเป็นอย่างดี แม้ว่าพอได้ย้อนกลับไปมองดูภาพรวมๆ ของหนังแล้ว จะพบได้ว่าหนังยังค่อนข้างเล่าเรื่องได้แคบ นำเสนอเพียงแค่ไม่กี่มุมมอง ผ่านตัวละครหลักที่เลือกจะโฟกัส ที่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียคละเคล้ากัน
การแสดงของนักแสดงชุดนี้ค่อนข้างไว้วางใจได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักแสดงผิวสีเจเนอเรชั่นใหม่เสียส่วนใหญ่ แต่ก็ได้โชว์พลังและศักยภาพทางการแสดงออกมาได้ล้นเปี่ยม "แดเนียล คาลูยา" เหมาะสมและคู่ควรกับการได้เข้าชิงรางวัลต่างๆ และเห็นชอบด้วยซ้ำว่า เขาถึงเวลาแล้วที่จะได้ออสการ์ตัวแรก แม้จะเพิ่งแจ้งเกิดในวงการได้เพียงไม่กี่ปี
การแสดงของ แดเนียล คาลูยา ทำออกมาได้ค่อนข้างมีชั้นเชิง แม้ว่าบทหนังจะยังขาดมิติไปอยู่บ้างก็ตาม แต่ทั้งอินเนอร์ท่าทางและสายตาของเขา ขับเคลื่อนตัวละคร เฟรด แฮมป์ตัน ออกมาได้น่าประทับใจ โดยเฉพาะพลังเสียงของนักปฏิวัติที่แสนจะทรงพลัง ที่เปล่งเสียงพูดออกมาเมื่อไหร่ก็ยิ่งกระตุ้นเลือดนักปฏิวัติให้พลุ่กพล่านขึ้นได้ทุกที
"ลาคีธ สแตนฟิลด์" ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มองข้ามไปไม่ได้ แม้ว่าเขาจะยืนหนึ่งในฐานะนักแสดงนำของเรื่อง กับการสวมบทเป็นคนทรยศในพรรค วิลเลียม โอ’นีล ที่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งตลอดทั้งเรื่องนี้ คงต้องบอกตรงๆ บอกว่า เขาเองก็เกือบจะแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้คนเดียวไม่รอด ถ้าไม่มีเพื่อนๆ นักแสดงคนอื่นช่วยไว้ การแสดงของเขาทำออกมาได้ดี แต่ยังไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทที่ยังขาดมิติในหลายๆ ส่วนไปอยู่
โดยภาพรวมแล้ว Judas and the Black Messiah ก็ยังจัดว่าเป็นเชิงประวัติศาสตร์ที่ทรงพลัง เพียงแต่หนังยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบขนาดนั้น หนังยังพบเห็นช่องโหว่รายทางไปตลอดทั้งเรื่อง มุมมองการถ่ายทอดชิ้นงานของผู้กำกับ "ชากา คิง" ก็ค่อนข้างดี แต่ยังไม่ค่อยคมคายสักเท่าไหร่ กลายเป็นเหมือนความโดดเด่นที่ยังเปล่งประกายได้ไม่เท่าที่ควร
โดยหลักๆ แล้ว มิติการเล่าเรื่องของหนังยังค่อนข้างขาดเสน่ห์ไปเล็กน้อย ร้อยเรียงตามลำดับขั้นตอนต่างๆ แบบตรงไปตรงมาและกลายมาเป็นความราบเรียบที่ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรสื่อสารออกมาได้มากนัก แต่การแสดงอันทรงพลังของ แดเนียล คาลูยา กลายเป็นสิ่งเดียวหลักๆ ที่ช่วยยึดเหนี่ยวและพยุงหนังนี้ให้รอดไปถึงฝั่งได้ ถึงแม้จะยังไม่ใช่หนังที่เพอร์เฟค และก็คู่ควรกับการได้เป็นหนึ่งในหนังสายรางวัลประจำปีนี้เช่นกัน
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Judas and the Black Messiah
ประเภท: ดราม่า
ผู้กำกับ: ชากา คิง
นำแสดงโดย: ลาคีธ สแตนฟิลด์, แดเนียล คาลูยา
ความยาว: 126 นาที
เข้าฉาย: 22 เมษายน 2021
Movie.TrueID METRIC: Judas and the Black Messiah
ภาพรวม
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
การเล่าเรื่อง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
การแสดง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10)
บทภาพยนตร์
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
-------------------------------------
กดเลย >> community แห่งความบันเทิง 📸เมาท์ข่าวดารา กับเจ๊รุงรังขังรวม
ทั้งข่าว หนัง ซีรีส์ 🍿ละคร ดนตรี และศิลปินไอดอล 😍ที่คุณชื่นชอบ บนแอปทรูไอดี
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/34057In