รีวิว Apple Cider Vinegar (ไอดอลแอปเปิ้ลไซเดอร์) ซีรีส์จากเรื่องจริงของหญิงสาวที่โกหกว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ผลงานน้ำดีเรื่องใหม่จาก Netflix ที่ทุกคนไม่ควรพลาด บทความรีวิวนี้ ถูกเขียนขึ้นมาจากความรู้สึกส่วนตัวของผม หากผิดพลาดประการใด หรือไม่ถูกใจใครต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แต่ก่อนจะมาเริ่มการรีวิวเรามาดูเรื่องย่อกันก่อนดีกว่า รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! เรื่องย่อ Apple Cider Vinegar (ไอดอลแอปเปิ้ลไซเดอร์) ซีรีส์ออริจินัลจาก Netflix เรื่องนี้ได้รับการดัดแปลงมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของ Belle Gibson (รับบทโดย Kaitlyn Dever) หญิงสาวชาวออสเตรเลียที่เคยออกมาโกหกทุกคนว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งสมองจนโด่งดัง ก่อนที่เธอจะพัฒนาตัวเองกลายเป็นเน็ตไอดอลชื่อดังพร้อมทั้งสร้างความเชื่อผิดๆ ให้กับผู้คนที่ติดตามด้วยการโกหกว่าโรคมะเร็งของเธอดีขึ้นได้เพราะการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของเธอจะเป็นอย่างไร การโกหกในครั้งนี้ของเธอจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง ทุกคนคงต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง Apple Cider Vinegar (ไอดอลแอปเปิ้ลไซเดอร์) สามารถรับชมได้พร้อมพากย์ไทยทาง Netflix ตัวอย่าง Apple Cider Vinegar (ไอดอลแอปเปิ้ลไซเดอร์) รีวิว Apple Cider Vinegar (ไอดอลแอปเปิ้ลไซเดอร์) สำหรับซีรีส์เรื่องนี้ผมต้องยอมรับเลยว่าเป็นซีรีส์ที่อยู่นอกสายตาผมมากๆ และตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะดูด้วย แต่พอดีมีเวลาว่างอยากหาอะไรดูแก้เบื่อ จึงตัดสินใจลองเปิดเข้าไปดูตอนแรกแบบไม่ได้คาดหวังอะไร แต่กลับกลายเป็นว่ามันสนุกเกินคาด จากตอนแรกที่คิดจะเข้าไปดูแค่ตอนเดียว กลายเป็นว่าดูแล้วเครื่องติดลากยาวแบบรวดเดียวจบภายในวันเดียว ซึ่งตัวซีรีส์ไม่ได้ยาวอะไรมากมายมีแค่เพียง 6 ตอนเท่านั้น ตัวซีรีส์เขานำเสนอออกมาได้ค่อนข้างดี บทเองก็เขียนมาดี ตัวซีรีส์จะโฟกัสไปที่ 2 ตัวละครหลักๆ ได้แก่ Belle Gibson (รับบทโดย Kaitlyn Dever) หรือนางเอกของเราที่โกหกทุกคนว่าเป็นมะเร็งเพียงเพราะอยากได้รับความสนใจ และ Milla Blake (รับบทโดย Alycia Debnam-Carey) หญิงสาวเน็ตไอดอลที่ป่วยเป็นมะเร็งจริงๆ และยังเป็นเหมือนไอดอลของ Belle อีกด้วย ซึ่งซีรีส์จะตัดสลับไปมาระหว่าง 2 คนนี้ อีกทั้งจะไม่ได้เล่าเรื่องแบบเป็นเส้นตรง แต่จะมีการโดดข้ามไปมาหลายช่วงเวลา โดยเขาเลือกเปิดด้วยตอนจบที่เรื่องราวทุกอย่างบานปลาย และจะค่อยๆ เล่าย้อนเพื่อเฉลยให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คีย์หลักของซีรีส์เรื่องนี้คือการสะท้อนมุมมองให้ผู้ชมได้เห็นว่าการที่คนเราเชื่ออะไรผิดๆ นั้นมันจะส่งผลกระทบได้มากแค่ไหน เพราะตัวละครหลักทั้ง 2 ของเรื่องนี้ต่างเป็นเน็ตไอดอลที่รณรงค์ให้ผู้ป่วยมะเร็งรักษาด้วยการเลือกกินอาหารมากกว่าการใช้เคมีบำบัด โดยหารู้ไม่เลยว่ามันไม่สามารถช่วยอะไรได้ แถมยิ่งเวลาผ่านไปก็จะทำให้มะเร็งลุกลามมากกว่าเดิมด้วย โดยตอนจบเราก็จะได้เห็นจุดจบอันน่าเศร้าของ Milla ที่เชื่ออย่างสุดใจมาตลอดว่าการกินอาหารและการดีท็อกซ์ด้วยกาแฟจะช่วยเธอให้รอดพ้นจากมะเร็งได้ จนกระทั่งแม่ของเธอป่วยเป็นมะเร็งและเธอก็แนะนำให้แม่ทำแบบเดียวกัน โชคร้ายที่สุดท้ายแม่เธอก็เสียชีวิตไปก่อน จุดเปลี่ยนนี้เองที่ทำให้ Milla ตาสว่างและจะกลับมารักษาตามคำแนะนำของแพทย์แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ซึ่งส่วนตัวผมชอบบทของตัวละครนี้มาก เขาทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของเธออย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนป่วย ระหว่างป่วยที่ทำตัวสุดโต่ง ไปยันจุดจบอันน่าเศร้าที่ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แถมจุดจบของเธอยังเป็นเหมือนบทเรียนให้กับคนดูด้วยว่าอย่าเชื่อทุกอย่างในอินเทอร์เน็ต และยังตอกย้ำประเด็นนี้ด้วยการตีแผ่ให้เห็นชีวิตอันลวงโลกของ Belle ที่โกหกคำโตจนตัวเองประสบความสำเร็จ สิ่งที่ดีงามของซีรีส์เรื่องนี้คือเขาไม่ได้ให้เราเห็นแค่ตัวละครหลัก 2 ตัวเท่านั้น แต่เขายังให้เราได้เห็นคนรอบตัวของ 2 คนนี้ว่าพวกเขาได้รับผลกระทบอะไรบ้างจากการกระทำของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นสามีของ Belle ที่รู้แก่ใจมาตลอดว่าภรรยาตัวเองโกหกแต่ก็ไม่ยอมทำอะไรและปล่อยให้เรื่องราวเลยเถิดไปไกล และแม่ของ Milla ที่เชื่อลูกจนตัวเองต้องจบชีวิตเร็วกว่าที่ควร นอกจากนี้เขายังนำเสนอให้เราได้เห็นมุมมองของผู้ป่วยมะเร็งจริงๆ อย่างตัวละคร Lucy (รับบทโดย Tilda Cobham-Hervey) ที่เชื่อคำโกหกและเป็นแฟนคลับตัวยงของ Belle จนทำตามและได้รับผลกระทบตามมา แต่ยังดีที่เขายังใจดีให้ตัวละครนี้กลับใจและกลับมารักษามะเร็งได้ทัน เพราะหากเขาทำให้ตัวละครนี้เสียชีวิตอีกมันคงจะเป็นตอนจบที่หม่นมากๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องบทเท่านั้นที่เขาทำออกมาได้ดี เพราะส่วนอื่นๆ เองก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งส่วนนี้ผมชอบมาก งานภาพที่สวยงามเอาเรื่อง ไปจนถึงเพลงประกอบที่เขาเลือกใช้เพลงดังตรงกับยุคที่เป็นเหตุการณ์ในซีรีส์ เรื่องเพลงนี่ผมประทับใจมากๆ เพลงเพราะและทุกเพลงเลยจริงๆ ต่อด้วยส่วนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเรื่องการแสดง ส่วนนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีงามไร้ที่ติ เกินความคาดหมายไปมาก นักแสดงเล่นดีกันทุกคน โดยเฉพาะนักแสดงนำอย่าง Kaitlyn Dever ที่รับบทเป็น Belle ที่เอาอยู่ทุกซีนจริงๆ แบกซีรีส์ทั้งเรื่องได้สบายๆ รวมไปถึง Alycia Debnam-Carey ที่รับบทเป็น Milla ก็แสดงได้ดีงามไม่แพ้กันเช่นกัน สรุปโดยรวมเลยก็คือซีรีส์เรื่องนี้ถือเป็นผลงานน้ำดีอีกเรื่องที่ทุกคนควรไปลอง บทเขียนออกมาดี เกลี่ยบทดี ตัดต่อดี นักแสดงเล่นดี แต่อาจจะติดที่การดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างไปเรื่อยๆ ไม่ได้หวือหวาเท่าไหร่ อาจทำให้หลายคนรู้สึกเบื่อได้ แต่ส่วนตัวผมคือดูได้เพลินๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ อันนี้คงแล้วแต่ความชอบจริง แต่สำหรับใครที่ชอบหนังหรือซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็น่าจะตกหลุมรักซีรีส์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก ลองเปิดใจไปดูกันเถอะครับรับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน ฝากกดแชร์ และกดติดตามเพื่อจะได้เห็นบทความใหม่ๆ ของผมในอนาคตด้วยนะครับ ช่องทางอื่นๆ ในการติดตาม ละเลงหนัง กลุ่มสำหรับพูดคุยเรื่องหนัง : พูดคุยเรื่องหนังทุกเรื่องบนโลก บทความอื่นๆของ ละเลงหนัง : รีวิว Bogota: City of the Lost (โบโกตา: เมืองคนหลง) หนังแอ็กชันอาชญากรรมเรื่องใหม่ของ "ซงจุงกิ" ที่พอดูแก้เบื่อได้สนุกเพลินๆ รีวิว The Hooligan (ฮูลิแกน) ซีรีส์แฟนบอลหวดกันจากโปแลนด์ เดินเรื่องช้า ดราม่าเข้มข้น แต่ไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำ รีวิว Companion (คอมแพเนียน) หนังไซไฟระทึกขวัญรสชาติจัดจ้าน ผลงานน้ิำดีตั้งแต่ต้นปีที่ทุกคนไม่ควรพลาด รีวิว The Trauma Codes: Heroes on Call (ชั่วโมงโกงความตาย) ซีรีส์ตีแผ่ชีวิตหมอห้องฉุกเฉินที่ดูโคตรเพลินแถมยังได้ความรู้ [มีพากย์ไทย] รีวิว The Wild Robot หุ่นยนต์ผจญภัยในป่ากว้าง หนังแอนิเมชั่นเข้าชิงออสการ์ ดูได้ที่ True ID รีวิว The Substance สวยสลับร่าง ความสวยงามที่ไขว่คว้า อาจมีราคาที่ต้องจ่าย แหล่งที่มาจาก NetflixDE, NetflixUK, NetflixMENA ภาพปก: 1 ภาพประกอบ: 1 / 2 / 3 / 4 / 5 วิดีโอ: ไอดอลแอปเปิ้ลไซเดอร์ (Apple Cider Vinegar) | ตัวอย่างซีรีส์อย่างเป็นทางการ จาก Youtube: Netflix Thailand เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !