คุณผู้อ่านครับด้วยกระแสสังคมตอนนี้คงหนีไม่พ้นเลือดรักชาติที่พรั่งพรูปรอทแตก หันไปทางไหนเจอแต่ธงชาติไทยโบกสะบัด แม้แต่เดินเข้าเซเว่นเจอโฆษณาเขายังขึ้นรูปธงชาติเหนือซองขนมเลย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยเป็นสิ่งดีครับ เวลาเกิดเรื่องเกิดราวเกิดภัยพิบัติธรรมชาติถ้าไทยไม่ช่วยไทยใครจะช่วยเรา และเมื่อเรามองไปรอบตัวนอกเหนือจากสิ่งที่ผมกล่าวมา สิ่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนซอร์ฟเพาเวอร์ที่ทำให้พวกเรารักชาติก็คือภาพยนต์ ซึ่งถ้าว่าด้วยเรื่องของการรักชาติแล้ว ผมไม่เห็นหนังเรื่องไหนเลยที่จะโดดเด่นไปมากกว่าภาพยนต์เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร" รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ภาพยนต์เรื่องนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ภาพยนต์แห่งสยามประเทศ" เป็นหนังไทยฟอร์มยักษ์ที่สร้างโดย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล (ท่านมุ้ย) เล่าเรื่องราวพระราชประวัติของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนถึงยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา โดยมีทั้งหมด 6 ภาค (ฉายตั้งแต่ปี 2007 - 2015) และถือว่าเป็นหนึ่งในมหากาพย์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไทย ทั้งในแง่ของ โปรดักชัน , ประวัติศาสตร์ , และความรักชาติ เลยทีเดียว และบทความนี้ผมก็ได้คัดคำคม คำปลุกใจ หรือถ้อยแถลงต่าง ๆ ที่อยู่ในหนังออกมาให้คุณผู้อ่านได้ซึบซับกัน ตัวหนังผ่านการฉายมาหลายปีแล้ว หลายคนอาจจะลืมและหลายคนก็อาจจะเกิดไม่ทัน แต่ถ้าได้อ่านล่ะก็คุณผู้อ่านจะรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเลยครับ ยามใดที่ไทยเรารวมกันได้ใครก็สู้เราไม่ไหว ตามมาครับผมจัดมาให้ 10 ประโยคเด็ด ๆ เน้น ๆ เลย 1. “ พวกเจ้าจงจำใส่ใจไว้อโยธยาจะแพ้ไม่ได้ ” จาก ภาค 1 องค์ประกันหงสา เป็นคำพูดของสมเด็จพระนเรศวรที่พูดกับ แม่ทัพ นายทหาร และเหล่าทหารหาญของกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะในช่วงก่อนออกศึกเพื่อปลุกขวัญและสร้างความฮึกเหิมให้กับทัพไทย ประโยคนี้เกิดขึ้นในบริบทของความตึงเครียดระหว่างอยุธยากับพม่า พระองค์จึงตรัสเพื่อเตือนว่า กรุงอโยธยา คือหัวใจของแผ่นดินไทย จะพ่ายศึกหรือแตกพ่ายไม่ได้เด็ดขาด 2. "ข้าแต่เทพเทวดาฟ้าดินทั้งหลาย ด้วยพระเจ้าหงสาวดีมิได้ตั้งอยู่โดยครองสุจริต" จาก ภาค 2 ประกาศอิสรภาพ พระนเรศวรตรัสสื่อถึงการสิ้นสุดไมตรีและการประกาศอิสรภาพจากหงสาวดี เป็นฉากที่สำคัญที่สุดฉากหนึ่งในภาพยนตร์ชุดนี้ ฉาก “ประกาศอิสรภาพ” ณ เมืองแครง (หรือริมฝั่งแม่น้ำสะโตง) พระองค์ทรงตั้งน้ำทิพย์ในพานทองหลั่งลงดิน พร้อมตรัสประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงจริงจังและสง่างาม เป็นฉากที่ใครดูแล้วขนลุกแทบทุกคน เพราะสื่อถึงศักดิ์ศรี อิสรภาพ และความยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณ การบอกว่าพระเจ้าหงสาวดีไม่สุจริต ก็น่าจะหมายถึงพฤติกรรมของพม่า ณ ตอนนั้น ที่มีทั้งการสอดแนม ลอบทำร้าย ทรยศไมตรี ทำตัวไม่น่าไว้ใจ 3. "นับแต่นี้ไปเบื้องหน้ากรุงพระมหานครศรีอโยธยา กับเมืองหงสาวดีขาดจากกันแต่วันนี้ไป ตราบเท่ากัลปาวสาน!" จาก ภาค 2 ประกาศอิสรภาพ เป็นอีกหนึ่งประโยคอมตะตลอดกาลที่ตึดตรึงหัวใจคนไทยทุกคน พระนเรศวรตรัสไว้เมื่อครั้งทำพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกให้แก่เทพยดาฟ้าดิน เพื่อให้รับรู้ถึงการประกาศอิสรภาพไม่ยอมขึ้นตรงกับกรุงหงสาวดีอีกต่อไป ประหนึ่งเป็นการประกาศออกไปว่าชาติไทยเราเป็นเอกราชแล้ว เราจะปกครองตนเอง และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน ยิ่งใหญ่อลังการผ่านไป 10 ปี คนก็ยังจำฉากนี้ได้ 4. "เมื่อใดที่ไม่สู้ ไก่เชลยก็คงเป็นไก่เชลยตลอดไป" จาก ภาค 1 องค์ประกันหงสา อย่างที่เราทราบว่าเมื่อครั้งเยาว์วัยพระเนศวรได้ถูกจับไปเป็นองค์ประกันที่พม่า และพระองค์ก็ได้เป็นสหายกับพระมหาอุปราชา ฉากนี้เป็นฉากที่ทั้งสองได้ทำการชนไก่กัน แล้วก็เป็นฝั่งพระนเรศวรที่มีชัย การตรัสเช่นนี้ออกมาสื่อให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะปลดแอกให้ประเทศชาติ การไม่ยอมจำนนต่อเงื่อนไข และจิตใจที่กล้าหาญแม้ต้องตกอยู่ในวงล้อมของอริราชศัตรู คนทั่วไปถ้าได้ยินเข้าก็จะทำให้เกิดความฮึกเหิมในจิตใจ พลังจะมา! จะกล้าแลกกล้าวัดกับสิ่งที่กดขี่ข่มเหง 5. “การอันทำการเพลี้ยงพล้ำ พ่ายแพ้แก่ศัตรูในครั้งนี้ เสียทั้งคน สิ้นทั้งของ” จาก ภาค 2 ประกาศอิสรภาพ เป็นฉากที่พระนเรศวรในฐานะแม่ทัพได้ตรัสกับ ขุนนางและเหล่าทหารในฝ่ายอยุธยา เป็นการแจ้งสถานการณ์ในสงครามว่าเป็นโศกนาฏกรรมความพ่ายแพ้ที่เสียหายหนัก ก่อนที่พระองค์จะประกาศอิสระภาพจากหงสาวดี คำว่า "เสียทั้งคนเสียทั้งของ" หมายถึงเสียเหล่าทหารร่วมรบ อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมไปถึง เกียรติยศของกองทัพ มองอีกนัยหนึ่งเหมือนจะเป็นการปลุกใจอยู่กลาย ๆ ไม่มีความเสียหายใดจะมากไปกว่าการเสียเกียรติ และนั่นเหมือนเป็นการตอกย้ำว่า จะให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่ได้เป็นอันขาด 6. “ยามเข้าตาจนถ้าเอาชนะไม่ได้ อาจหมายถึงต้องพ่ายแพ้ตลอดไป” จาก ภาค 3 ยุทธนาวี ในภาค ยุทธนาวี พระนเรศวรนำกองทัพเรือไทยทำศึกทางน้ำหลายครั้ง เช่น การปะทะกับกองทัพพม่าในแม่น้ำช่วงเมืองคัง หรือในเหตุการณ์สกัดการณ์เข้ามาของศัตรูอย่างพระยาจีนจันตุ เราผู้ชมจึงได้มีโอกาสได้เห็นเรือในขบวนพยุหยาตราที่ใช้ในการรบจริง ๆ เป็นครั้งแรก ซึ่งล้วนต้องใช้กลยุทธ์และการประเมินสถานการณ์อย่างเฉียบคมในการนำทัพ ฉากและคำพูดนี้ของพระนเรศวรจึงเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการปลุกขวัญก่อนลงมือรบใหญ่ พูดเพื่อเตือนให้ทหารทุกคนรู้ว่า เมื่อถึงช่วงคับขันไม่ใช่เวลาที่จะแพ้กันง่าย ๆ ให้มีสติและระมัดระวังตัว 7. “ไพร่ทั้งหลายในกองทัพ ทุกคนต้องผนึกร่าง ผนึกใจเป็นเนื้อเดียวกัน” จาก ภาค 3 ยุทธนาวี เป็นฉากก่อนเข้าสู่ยุทธนาวี โดยพระองค์ตรัสผ่านรั้วพลับพลาหน้าเหล่า สนม นางใน แม่ทัพ นายกอง เหล่าทหารหาญ ผู้มาเฝ้าราชการ วัตถุประสงค์เพื่อเน้นว่าการศึกใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเต็มที่จากทุกคน ถึงจะเอาชนะแผนของศัตรูที่มีกำลังเหนือกว่าได้ คำว่า "ผนึกร่าง" หมายถึง ร่วมแรงร่วมใจเหมือนร่างกายเป็นหนึ่งเดียว เพื่อนเจ็บฉันเจ็บ นายเจ็บฉันเจ็บ สุขด้วยกันทุกข์ด้วยกัน ไม่มีใครอยู่สูงกว่าใครเทียบเท่ากันหมดในทุกวรรณะ ได้ยินประโยคนี้เข้าไปใครจะกล้าท้อแท้ มีแต่จะต้องลุกขึ้นสู้เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือประเทศชาติ 8. “ชีวิตของข้าหรือของผู้ใด ก็หาสำคัญเท่าราชการงานศึกที่เราจะยอมเสียเมืองอีกไม่ได้” จาก ภาค 2 ประกาศอิสระภาพ สะท้อนความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวว่า อยุธยา ต้องไม่ถูกยึดคืนอีก บทพูดนี้แสดงถึงความกล้าหาญเสียสละ และความเชื่อมั่นในภารกิจของชาติ ที่เหนือกว่าความปลอดภัยของตนเอง เป็นบทพูดที่สะท้อนถึงหัวใจของสมเด็จพระนเรศวรในการยืนหยัดเพื่อปกป้องบ้านเมือง ประเทศชาติต้องมาก่อน เรื่องส่วนตัวเอาไว้ทีหลัง 9. “มาเถอะมาร่วมยุทธหัตถี เพื่อศักดิ์ศรีของชาติ” จาก ภาค 5 ยุทธหัตถี เป็นบทพูดที่พระนเรศวรตรัสเป็นภาษาพม่า ท้าทายพระมหาอุปราชาให้ออกมาทำยุทธหัตถีร่วมกัน เพื่อแสดงศักดิ์ศรีและเกียรติแห่งอาณาจักร เริ่มจากการใช้คำว่า "มาเถอะ" เพื่อเป็นการเชื้อเชิญเปิดทางให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาประลองโดยไม่ต้องใช้กองทัพ จะได้ลดการสูญเสีย ส่วนคำว่า “เพื่อศักดิ์ศรีของชาติ” ก็หมายถึง ศึกครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการต่อสู้ส่วนตัวแต่เป็นสงครามของศักดิ์ศรี เพื่อแสดงว่าผู้ที่ยืนหยัดอยู่ได้คือผู้มีเกียรติยศและความกล้าหาญอย่างแท้จริง เจอแบบนี้เข้าไปพระมหาอุปราชาก็อยู่ไม่ได้ มีอันต้องควบช้างออกมาทำยุทธหัตถี ก่อนจะพ่ายแพ้ไป จะเห็นว่านอกจากพระนเรศวรจะทรงเป็นนักรบแล้ว พระองค์ยังเป็นนักจิตวิทยาตัวยงด้วย ศึกการดวลช้างครั้งนั้นถือเป็นบันทึกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ การดวลกันของคนสองคนกลายเป็นศึกตัดสินชะตากรรมของบ้านของเมือง และทำให้ไทยเป็นไทยมาจนถึงวันนี้ 10. “ไม่มีราชาองค์ใดอีกแล้วที่จะได้กระทำยุทธหัตถีอย่างเรา” จาก ภาค 5 ยุทธหัตถี เป็นฉากที่พระองค์ตรัสท้าทายพระมหาอุปราชาให้ออกจากเงามืดเพื่อประลองด้วยเกียรติยศ ผ่านภาษาพม่าที่ทรงใช้สื่อสารอย่างสง่างาม "ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ทำยุทธหัตถีแล้ว” สื่อว่าการต่อสู้แบบนี้เป็นประวัติศาสตร์ ไม่มีใครในอนาคตจะได้กระทำอีก เป็นการเน้นความพิเศษหรือสื่อถึงเอกลักษณ์ในสงคราม อีกนัยหนึ่งก็เป็นการยั่วยวนให้พระมหาอุปราชาออกมาชนช้างด้วย เลยจัดว่าเป็นอีกฉากหนึ่งที่หนังทำได้ดีและค่อนข้างจะทรงพลัง ติดตาตรึงใจผู้ชมได้อย่างนานแสนนาน สรุปสุดท้าย ก็เหมือนกับที่ผมเขียนไว้ในย่อหน้าแรกล่ะครับ ว่าตัวหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรได้ผ่านการฉายมานานแล้ว แต่คุณผู้ชมจะสังเกตเห็นนะครับว่าสถานการณ์บ้านเมืองเรา ยังไม่ได้ต่างจากความโบราณในยุคนั้นสักเท่าไหร่ ในหนังมีการพูดถึงเรื่องเสียบ้านเสียเมือง และสามารถกอบกู้กลับมาได้ด้วยความรักและสามัคคีกัน ฉันใดก็ฉันนั้นครับ ฟากฝั่งมนุษย์ยุคปัจจุบันอย่างเราเอง ก็ควรจะตระหนักว่า "ชาติไทยของเรานี้ไม่ได้ ๆ มาโดยง่าย" เราจึงควรใช้เรื่องราวของคนยุคเก่ามาเป็นแรงบันดาลใจ ปกป้องและอนุรักษ์ไว้ซึ่ง วัฒนธรรม , ภาษา , รวมไปถึงความเป็นเอกราช ให้ไทยยังคงเป็นไทยสืบไปอย่าให้ใครมาราวี ดั่งเช่นคำที่พระนเรศวรตรัสไว้ว่า "ชั่วกัลปาวสาน" นั่นล่ะครับ เครดิตรูปภาพ ภาพหน้าปก จาก FB : สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International รูปที่ 1 จาก FB : สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International รูปที่ 2 จาก FB : สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International รูปที่ 3 จาก FB : สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International รูปที่ 4 จาก FB : สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !