[รีวิวซีรีส์] "Mr. & Mrs. Smith" เหนือกว่ายิงกันคือสารพันปัญหาผัวเมียบ้างาน
ถ้าใครยังจำกันได้ ‘Mr. & Mrs. Smith’ (2005) หรือ ‘มิสเตอร์แอนด์มิสซิสสมิธ นายและนางคู่พิฆาต’ ถือผลงานการกำกับของ ดั๊ก ไลแมน (Doug Liman) เป็นหนังแอ็กชันโรแมนติก (ผสมตลก) ที่ฮือฮามากนะครับ และที่ฮือฮายิ่งกว่าก็คือ 2 นักแสดงซูเปอร์สตาร์ที่รับบทเป็นนายและนางสมิธในหนังทั้ง แบรด พิตต์ (Brad Pitt) และ แองเจลินา โจลี (Angelina Jolie) ก็ดันกลายมาเป็นคู่รักจริง ๆ นอกจออีกต่างหาก แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือ แม้ในหนังจะยิงกันหูดับตับไหม้ แต่ก็กลับมารักกันได้ ต่างกับชีวิตจริงที่จบไม่ค่อยสวย ปิดตำนานแบรนเจลินา (Brangelina) ไว้เป็นเพียงอดีตอันสวยงาม
อยู่ดี ๆ ปี 2024 ก็ดันมีข่าวเซอร์ไพรส์ว่า Prime Video กำลังจะเอา ‘Mr. & Mrs. Smith’ ที่หลายคนชื่นชอบมารีเมกในรูปแบบซีรีส์ และมีการเปิดตัวนักแสดงที่จะรับบทนำทั้ง โดนัลด์ โกลเวอร์ (Donald Glover) นักแสดงและศิลปินนาม ‘Childish Gambino’ ที่เคยเป็นครีเอเตอร์ให้กับซีรีส์ ‘Atlanta’ (2016–2022) มาแล้ว
คราวนี้นอกจากเขาจะมารับบทเป็นนายสมิธแล้ว ยังรับหน้าที่เป็นครีเอเตอร์และเขียนบทร่วมกับ ฟรานเซสกา สโลน (Francesca Sloane) รวมทั้งยังนั่งแท่นกำกับในบางตอนด้วย ส่วนคนที่จะมารับบทนางสมิธก็คือ มายา เอิร์สคิน (Maya Erskine) นักแสดงสาวลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกันที่ชื่ออาจไม่คุ้น แต่มีผลงานคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ ทั้งรับบทสมทบในซีรีส์ ‘Obi-Wan Kenobi’ (2022) แต่หนักไปทางพากย์เสียงในแอนิเมชันต่าง ๆ อาทิ ‘DC League of Super-Pets’ (2022) และ ‘Blue Eye Samurai’ (2023) ของ Netflix
เนื้อหาในซีรีส์ว่าด้วยเรื่องของชายหญิงแปลกหน้า 2 คน จอห์น สมิธ (โดนัลด์ โกลเวอร์ – Donald Glover) และ เจน สมิธ (มายา เอิร์สคิน – Maya Erskine) ที่ต้องมาทำงานนักสืบให้กับองค์กรลึกลับ ทั้งคู่ถูกจับมาคลุมถุงชนแต่งงาน และต้องย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านสุดหรูย่านแมนฮัตตัน นิวยอร์ก ทั้งคู่ต้องรับหน้าที่ปฏิบัติภารกิจจารกรรมเสี่ยงอันตราย เพื่อเงินมหาศาล ได้ท่องเที่ยว ใช้ชีวิตหรูหราในแบบที่พวกเขาต้องการ ในขณะเดียวกันทั้งคู่ก็ต้องแสร้งทำเป็นคู่สมรสเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง และต้องปกปิดด้วยกันเองเพื่อไม่ให้ภารกิจล้มเหลว แต่ดูเหมือนทั้ง 2 คนจะเริ่มมีใจให้กันจริง ๆ และนั่นอาจกลายมาเป็นความเสี่ยงที่สุดสำหรับทั้งคู่
คือเชื่อว่าหลายคนก็คงตั้งคำถามแบบเดียวกับผู้เขียนก็คือ ในเมื่อของเดิมมันก็เวิร์กอยู่แล้ว จะเอามารีเมกเป็นซีรีส์ทำไมอีก แล้วยิ่งพอเปิดภาพนักแสดง ก็มีหลายคนที่ตั้งข้อครหาอีกว่ามันจะออกมาท่าไหน สิ่งแรกที่ผู้ชมต้องเข้าใจก็คือ แม้จะโปรโมตว่าเป็นการรีเมกจากฉบับหนัง แต่ตัวเนื้อหาแทบจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับหนังเลยครับ เพราะในฉบับหนัง ทั้งจอห์นและเจนนั้นเป็นนักสืบที่มาจากคนละบริษัท และทั้งคู่ก็ไม่รู้ว่าคู่ตัวเองเป็นนักสืบ แต่ในขณะที่พล็อตฉบับซีรีส์ จะมีความคล้ายกับซีรีส์ต้นฉบับของ CBS ที่ฉายในปี 1996 (ที่โดนตัดจบหลังจากฉายไป 9 ตอน จากทั้งหมด 13 ตอน) ซะมากกว่า (สรุปคือฉบับหนังนี่แหละที่ดัดแปลงจากต้นฉบับอีกที)
อีกจุดที่หลายคนสงสัยตอนเปิดตัว Cast ที่จะมารับบทในเวอร์ชันซีรีส์ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้แหละว่ามันก็จะมีหลายคนที่เห็นตัวนักแสดงนำแล้วรู้สึกว่ามันไม่ตรงกับอุดมคติแบบฮอลลีวูด ก็เลยเผลอสบประมาทว่า งานนี้มันจะออกมาทรง Woke อีกแล้วเหรอ… ซึ่งสิ่งแรกที่น่าจะต้องทำก่อนดูซีรีส์ก็คือ ต้องแกล้งลืมฉบับหนังไปเลยครับ เพราะนอกจากพล็อตที่แทบไม่มีอะไรเหมือนกันแล้ว ใจความสำคัญของซีรีส์เรื่องนี้ก็ต่างจากฉบับหนังไปค่อนข้างจะสิ้นเชิง แม้จะยังโฟกัสเรื่องของความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา และงานจารกรรมเหมือนกัน แต่ในขณะที่หนังมีความเป็นเจมส์ บอนด์ สวยเท่อลังการ มีความฟอร์มยักษ์ ผัวเมียยิงกันในบ้านหูดับตับไหม้
แต่ในฉบับซีรีส์กลับเลือกที่จะนำเสนอความเป็นชีวิตประจำวันธรรมดา ๆ ของคนธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้หล่อสวยเสียมากกว่า ความน่าสนใจที่ผู้เขียนชอบคืองานโปรดักชันดีไซน์ที่มินิมอลมาก ๆ โดยเฉพาะมุมกล้อง แสง การเกรดสี การวางกราฟิก การออกแบบจัดวางองค์ประกอบภาพ พรอป ที่ดูไม่ได้ฉูดฉาดหวือหวา แต่มันมีความเท่ ความเย็น ๆ อะไรบางอย่างอยู่
คือพอยิ่งมาอยู่กับฉากแอ็กชันระเบิดหรือยิงกันนี่คือเท่เลย รวมทั้งจังหวะการเล่าเรื่องที่เอาเข้าจริงก็ถือว่ามีความช้าอยู่มาก ไม่ถึงกับ Slow Burn แต่ก็ไม่ได้เร็วแบบกระชากตัว และไม่ได้มีฉากแอ็กชันที่ถล่มกันตูมตาม คือถ้าจะหวังแอ็กชันหวือหวาท่ายาก หรือเล่าเรื่องแบบเร็ว ๆ ก็ย่อมจะผิดหวัง แต่ฉากแอ็กชันในซีรีส์ก็แทนที่ด้วยฉากความรุนแรงโหด ๆ สมจริง โปรดักชันดี และจังหวะเข้าซีนแอ็กชันที่มีความทริลเลอร์ประมาณหนึ่งเลยแหละ
อีกสิ่งที่ซีรีส์ทำได้น่าสนใจก็คือ การปูพื้นหลังใน Ep. แรกให้เราได้รู้จักตัวตนของทั้งคู่แบบคร่าว ๆ แม้มันจะบอกไม่ได้ว่าอันไหนจริงหรือโกหก แต่มันก็เป็นอะไรที่เรียบง่ายและก็ทำให้เราได้เห็นว่า ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนเหงา ๆ ที่มีแบ็กกราวนด์อะไรบางอย่าง จอห์นคืออดีตทหารที่ทำงานพลาด ในขณะที่เจนมีปัญหาด้านการเข้าสังคม และทั้งคู่ก็กำลังจะหางานทำ และดันเป็นงานจารกรรมที่เสี่ยงตาย และอาจต้องสังหารเป้าหมายด้วย ซึ่งเอาจริง ๆ ทั้งจอห์นและเจนจะเป็นใครก็ได้ มันอาจจะเป็นเรากับคู่ชีวิตของเรา และมันก็เป็นปัญหาโลกแตกระดับสากลของผัวเมียทั่วโลกที่คู่ชีวิตต้องเจอกับปัญหาสารพันคล้าย ๆ กัน
ตั้งแต่ปัญหาชีวิตคู่ ที่ซีรีส์หยิบมาตั้งเป็นแกนกลาง และกลายเป็น Conflict ที่ทั้งคู่ต้องเจอ ทั้งการออกเดต เซ็กส์ การวางแผนมีลูก รสนิยมและความเห็นที่ไม่ลงรอย นิสัยเสียส่วนตัวที่อีกคนรับไม่ได้ ฝั่งผัวก็มีความมีความ Extrovert กวนโอ๊ย รักอิสระ ส่วนฝั่งเมียเป็น Introvert สายจริงจัง ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ การหึงหวงและนอกใจ การเข้ารับบำบัดชีวิตคู่ การหย่า หรือแม้แต่การผายลมใส่กัน ตามประสาปัญหาผัว ๆ เมีย ๆ นั่นแหละ ด้วยความที่เนื้อหาในแต่ละตอนก็จะแบ่งเล่าภารกิจที่ทั้งคู่ออกไปทำแบบเฉลี่ย 1 ตอน 1 ภารกิจ
นอกจากอุปสรรคปัญหาของนักสืบหน้าใหม่ตามแนวทางของหนังจารกรรมแล้ว พวกเขาก็ต้องพบเจอกับโลกของนายและนางสมิธ รวมทั้งองค์กรลับ ๆ ที่ทั้งคู่เรียกแบบขำ ๆ ว่า ไฮไฮ (HiHi) ซึ่งในซีรีส์ก็จะไม่ได้บอกว่าไฮไฮเป็นใครหรือมาจากไหน แต่ปูให้คนดูรู้แบบบาง ๆ ว่า โลกของนักสืบนั้นมีอยู่จริง และแม้ว่าโลกของจอห์นกับเจนจะดูไม่ได้ผิดแผกไปจากโลกปกติ ไม่ได้มีเครื่องมือทันสมัยเหนือจริงอะไรไปมากกว่าอาวุธปืน ระเบิด คอมพิวเตอร์ มือถือ สารเคมี ฯลฯ แต่สิ่งที่มีจริงก็คือโลกของนักสืบที่มีนายและนายสมิธ ที่ต่างก็ทำงานให้กับไฮไฮ และก็ดูไม่ง่ายด้วยที่จะเข้าหรือออกจากโลกแห่งนี้ไปได้
และพอซีรีส์ต้องการจะเล่าเรื่องมิติความสัมพันธ์ของนักสืบ 2 คนที่ดันทำงานเหมือนกันในที่ทำงานเดียวกันอีก คือถ้าเป็นคนโสด เงินดงเงินเดือน เจ้านายติติง งานผิดพลาด ฯลฯ ทุกอย่างจะยังเป็นความลับกับตัวเอง แต่พอเป็นผัวเมีย มันเลี่ยงไม่ได้ที่ความลับพวกนี้จะต้องถูกแบออกมา มันก็เลยกลายเป็นการทำงานที่ดันรู้ทันกันเองซะอย่างนั้น แล้วก็กลายเป็นการแข่งขัน ยิ่งแข่งขันก็ยิ่งเหลื่อมล้ำ กลายเป็นความบ้างาน ยิ่งทำงานดีแค่ไหน ก็ยิ่งพาให้มิติความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาในฐานะหุ้นส่วนชีวิตยิ่งห่วยแตกมากขึ้นเท่านั้น หรือในอีกมุมหนึ่ง ถ้าใส่ใจในความสัมพันธ์หรือความต้องการส่วนตัวของตัวเองมากเกินไป ภารกิจก็อาจจะผิดพลาดได้เช่นกัน
ซึ่งถ้าเข้าใจในมุมนี้ ก็จะเข้าใจว่าทำไมต้องเป็นโกรเวอร์ และเอิร์สคิน ที่อาจจะไม่ได้ดูเข้ากันกลมกลืน หรือดูมีเสน่ห์น่าดึงดูดเท่าไหร่ในแง่ของภาพลักษณ์ แต่ก็ต้องยอมรับแหละว่าทั้งคู่กลับมีเคมีเข้ากันอย่างน่าประหลาด ในตอนแรก ๆ บทฉลาดในการค่อย ๆ ทำให้ทั้งคู่ยังมีความเหินห่าง มีช่องว่างบางอย่าง ก่อนจะค่อย ๆ เข้าหากัน และจับออกห่างกันในตอนท้าย ๆ ในระหว่างนั้นก็จะมีความตลกร้าย พ่อแง่แม่งอน ทะลึ่งหยาบคาย แล้วก็ปิดท้ายด้วยจังหวะดราม่าขันขื่นตอนท้าย ซึ่งฉากสู้กันเองเนี่ย ถ้าเอาอาวุธออกไป มันก็คือผัวเมียทะเลาะตบตีกันดี ๆ นี่เอง ตรงนี้แหละที่ทำให้เคมีของทั้งคู่เข้ากันได้เกินคาดกว่าที่เห็นในภาพนิ่ง
คือถ้าดูไปเรื่อย ๆ ก็จะเข้าใจครับว่า ผัวเมียอเมริกันก็ควรจะทรงประมาณนี้แหละ คือถ้าเอาพ่อพิตต์กับแม่โจลีจับมาใส่ในจักรวาลนี้ มันก็ไม่เหมาะแน่นอน ลองนึกภาพให้ทั้งคู่ไปนอนบนเตียงแล้วตดใส่กัน หรือไปเจอสถานการณ์ตลกร้ายเหวอ ๆ มันก็ไม่ได้ไง อีกจุดที่อยากพูดถึงคือบรรดานักแสดงรับเชิญครับ จริง ๆ ก็เข้าใจได้แหละว่าตัวหนังโฟกัสชีวิตคู่ของจอห์นกับเจนเยอะหน่อย แต่ก็แอบอยากให้เน้นไปที่ตัวละครอื่น ๆ ที่มีความสำคัญบ้าง แล้วก็แอบเสียดายพี่ พอล ดาโน (Paul Dano) ที่มาโดนกระทำย่ำยี เอ๊ย มารับเชิญด้วย แต่แอบเสียดายที่บทพี่แกมันแอบไม่ค่อยมีบทบาทหรือสร้างสถานการณ์ Conflict ให้กับตัวละครหลักเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่ผู้เขียนพอจะแนะนำได้สำหรับการดูซีรีส์เรื่องนี้ให้สนุกก็คือ ลืมเวอร์ชันหนังไปเลยครับ ไม่ต้องเอามาเปรียบเทียบกัน แล้วก็ลืมไปเลยว่านี่คือรีเมก นึกซะว่านี่คือซีรีส์ออริจินัลเรื่องใหม่ไปเลย แน่นอนแหละว่ามันก็อาจจะเอามาเปรียบกันได้แหละ แต่แต่ทั้งเวอร์ชันหนังและซีรีส์ต่างก็มีดีที่แตกต่างกันคนละอย่าง ในขณะที่ฉบับหนังมีความหวือหวา หล่อเท่ บู๊สะบั้นหั่นแหลก เคมีฟินเวอร์ ในขณะที่ฉบับซีรีส์คือการบอกเล่าชีวิตและความสัมพันธ์ของนักสืบ 2 คนที่ใกล้ตัวขึ้นมาอีกนิด ปัญหาชีวิตคู่หยุมหยิมที่เกี่ยวพันกับงานที่เข้าใจง่าย และเคมีก็ถือว่าดีเกินคาด เป็นซีรีส์ที่เหมาะมาก ๆ ที่จะเก็บไว้ดูกับคู่รัก หรือถ้าดูคนเดียวก็สะใจดี
จริง ๆ ในซีรีส์ยังมีปริศนาหลายจุดที่ยังคลุมเครืออยู่ และตอนจบที่ทิ้งเอาไว้แบบปลายเปิด ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น หรือจะทำยังไงกับปมปริศนาหลายจุดที่ซีรีส์ทิ้งเอาไว้ให้คนดูสงสัย ถ้าเกิดจะมีโอกาสสร้างซีซัน 2 ต่อ จะเก็บเอาไปเฉลยตอนนั้นก็ถือว่าน่าสนใจ แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องทั้ง 8 ตอนของซีซันที่ลากเส้นมาปิดจบบทสรุปทุกอย่าง เฉลยบางปมที่ทิ้งไว้ตั้งแต่ Ep. แรก ๆ ค่อนข้างครบ เรื่องราวในตอนปลายซีซันก็เลยถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์ในตัวเอง ซึ่งถ้าครีเอเตอร์เลือกที่จะปาหมอน คือตัดจบเป็นมินิซีรีส์ไปเลย ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ร้ายกาจแสบสันดีเหมือนกันนะครับ