Short CommentEye of the Storm (2023)ไต้หวันชั้นเยี่ยมที่จัดการอารมณ์ได้อย่างอยู่หมัด เหมือนไม่มีอะไรแต่อึดอัดกดดันลุ้นแทบลืมหายใจเมื่อบทความก่อนหน้านี้ไม่นานดูไปบ่นไปเพิ่งได้ดูและเขียนถึงหนังจากไต้หวันที่เหมือนมาเอาฮาคือ Marry My Dead Body แต่งงานกับผี (2022) ที่หน้าฉากเป็นทีเล่นแต่เนื้อในเป็นทีจริงซึ่งก็คือเอกลักษณ์ของหนังไต้หวัน อีกประการที่หนังไต้หวันเป็นเสมอมาคือเหมือนเวลาหยุดอยู่กับที่ที่ยุค 90 เพราะหนังไต้หวันเท่าที่ได้ดูมาการเล่าเรื่องการกำกับการตัดต่อแสงสีเงาและเพลงประกอบจะดูคล้ายกับดูหนังฮ่องกงยุค 90 แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือความเนี้ยบในการรังสรรบทภาพยนตร์ที่มักจะเป็นเรื่องพื้นฐานในชีวิตหรืออาจเรียกได้ว่าเล่าเรื่องชีวิตที่ธรรมดาเป็นดราม่าเรื่องบ้านๆที่ใครๆก็สามารถเจอกับตัวเองได้ และสิ่งนี้เองที่ทำให้คนดูมากมายที่ถ้าได้ลองดูหนังไต้หวันดูและก้าวผ่านการเล่าเรื่องที่อาจดูโบราณไม่หวือหวาเพราะเล่าเรื่องจากบทที่มีดราม่าเป็นที่ตั้งจะหลงไหลในความเป็นหนังไต้หวันเช่นเดียวกับผู้เขียนอาจเพราะตัวเองเป็นคนชอบแนวดราม่าก็มีส่วน แล้วถ้าหนังไต้หวันมาแบบเอาจริงแล้วเล่าเรื่องทางการแพทย์ล่ะจะเป็นยังไงยังจะเล่าเรื่องดราม่าบ้านๆพื้นฐานทางใจได้อยู่หรือไม่ก็น่าเชิญชวนไปพิสูจน์กันในเรื่องนี้เหตุเกิดในปี 2003 ในเช้าวันหนึ่งหมอเซี่ยเจิ้ง (หวังปัวเจี๋ย) กำลังจะออกเวรกลับบ้านซึ่งหนังเปิดหน้าให้คนดูรู้ว่าหมอเซี่ยกำลังอยู่ในภาวะง่อนแง่นในชีวิตคู่อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในหน้าที่หมอทำให้เกิดอาการเบื่อหน่ายซึ่งหนึ่งคนที่ไม่พอใจที่หมอเซี่ยเป็นที่มักจะไม่รับคนไข้คือบุรุษพยาบาลอั้งไทเหอ (เซิงจิงหัว) แต่เมื่อออกไปไม่เท่าไหร่หมอเซี่ยก็มีคนไข้ด่วนเข้ามาทำให้เขาต้องเข้ามาผ่าตัดคนไข้คนนั้นโดยมีผู้ช่วยคือแพทย์ฝึกหัดหลี่ซิงเหยียน (โคลอี้ เซียง) ที่รู้สึกไม่ต่างจากบุรุษพยาบาลอั้งและสองคนนี้เป็นคู่รักกัน แต่แล้วเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นโรงพยาบาลไทเปยูไนเต็ดก็ถูกปิดไม่ให้คนข้างในออกเพราะต้องสงสัยว่าจะมีผู้ป่วยโรคซาร์สเข้ารับการรักษาอยู่ แล้วเหตุการณ์ก็เริ่มบานปลายเมื่อบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเริ่มล้มป่วยด้วยอาการของโรคที่ไม่รู้วิธีรักษา หมอเซี่ยจึงเริ่มค้นหาต้นตอของคนไข้ที่ต้องสงสัยคนแรกร่วมกับนักข่าวที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในขณะที่เมื่อมีผู้ป่วยมากขึ้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ก็ประท้วงเพราะโรคซาร์สเป็นอันตรายถึงชีวิตแล้วพวกเขาจะผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างไรเรียบง่ายสไตล์ไต้หวันที่มาตามครรลองของหนังแนวโรคระบาด เมื่อดูเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะไม่นึกถึงหนังแนวโรคระบาดคลาสสิคที่เคยผ่านตามาทั้ง Outbreak (1995) หรือ Contagion (2011) เพราะโครงเรื่องไม่ต่างกันคือมีการระบาดของโรคชนิดใหม่ที่ไม่มีทางรักษาและต้องสืบหาต้นตอคือพาหะนำโรคและในที่นี้คือคนไข้คนแรกที่เป็นโรคซาร์ส หนังไม่ได้บอกว่าอ้างอิงจากเรื่องจริงเลยไม่ทราบว่าสร้างจากเรื่องจริงหรือไม่แต่ก็เดาว่าใช่เพราะสถานการณ์ตอนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกจริง เพียงแต่หนังจากไต้หวันเรื่องนี้เลือกที่จะไม่หวือหวาเร้าใจแบบ Outbreak และไม่ไปทางละเอียดละเมียดเหมือน Contagion แต่มีสไตล์เป็นของตนเองนั่นคือเล่าจากภาวะภายในของบุคลากรทางการแพทย์เป็นตัวนำแล้วให้เหตุการณ์ที่ยากจะควบคุมเป็นตัวสนับสนุน หนังจึงออกมาไม่เร่งรีบค่อยๆไปผ่านมุมมองของสามตัวละครหลักที่ต้องติดอยู่ในโรงพยาบาลที่เกิดการระบาด แล้วเมื่อโรคระบาดจะสามารถทำให้ตายในเวลาอันรวดเร็วภาวะข้างในและสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดจึงโดดเด่นทำให้กลายเป็นความเหมือนที่แตกต่างอาจไม่หวือหวาเร่งเร้าแต่จัดการอารมณ์คนดูได้อย่างอยู่หมัดทั้งอึดอัดกดดันลุ้นแทบลืมหายใจ แน่นอนเมื่อเล่าเรื่องจากความรู้สึกของตัวละครสิ่งแรกเลยคือคนดูจะรู้สึกไปกับตัวละครคือหวาดหวั่นไม่เข้าใจสงสัยและกลัวตาย สิ่งนี้ทำได้ดีเพราะไม่ว่าจุดไหนก็ไม่น่าไว้ใจอาจเพราะคนดูเคยมีประสบการณ์ร่วมมาแล้วตั้งแต่ตอนนั้นหรือตอนที่โควิดระบาด หนังยังพาตัวละครหลักทั้งสามคนให้ไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องคิดหนักไม่ต่างจากอยู่ในสมรภูมิรบที่รู้ตัวว่าไม่มีทางชนะและเหมือนเดินไปหาความตาย ทำให้เหตุการณ์จากภายนอกมากดดันความรู้สึกภายในได้อย่างเคร่งตึงเช่นฉากที่หมอเซี่ยต้องไปส่งข้าวกล่องที่ต้องเดินผ่านทางเดินมืดๆที่แม้จะไม่ใช่หนังสยองขวัญแต่ก็กดดันแทบกลั้นหายใจ หรือจะอารมณ์ที่ต้องสั่นไหวเมื่อการต้องเดินเข้าไปสู่ปีกบีของบุรุษพยาบาลอั้งที่ไม่ต่างจากการร่ำลาคนรักคือหมอหลี่เดินเข้าสู่ลานประหาร ยังไม่นับไคลแมกซ์สุดท้ายที่เป็นการช่วยชีวิตคนด้วยหัวใจแม้ร่างกายจะแทบสิ้นแรงเพราะตัวเองก็แทบเอาตัวไม่รอดที่อาจไม่ใช่การห้ำหั่นแอ็กชั่นแต่ลุ้นระทึกเร้าใจได้อย่างต้องทึ่งยังคงเป็นหนังที่มีหัวใจและเล่นเรื่องดราม่างายๆที่มองเห็นการเชิดชูบุคลากรทางการแพทย์ เรื่องของหมอที่ทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ครอบครัวจนชีวิตคู่ต้องตกอยู่ในภาวะง่อนแง่นหรือเรื่องของหนุ่มสาวที่มีฝันร่วมกันมีความรักสดใส แต่แล้วต้องมาเจอกับสถานการณ์ความเป็นความตายที่ทำให้บางอย่างอาจต้องเปลี่ยนไปที่ท้าทายความเป็นบุคลากรทางการแพทย์ด้วยหัวใจมองยังไงก็ยังเป็นเรื่องสามัญที่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะแพทย์และพยาบาลก็ยังเป็นคนที่เจ็บได้ร้องให้เป็น ซึ่งก็คือการเล่าเรื่องดราม่าธรรมดาที่เคยเห็นในแบบของไต้หวันแต่คราวนี้ชัดเจนว่ามาในทางเชิดชูบุคลาการทางการแพทย์ที่ย้อนกลับไปตอนนั้นที่กลายมาเป็นแนวทางเป็นบทเรียนให้ไต้หวันรับมือกับวิกฤติโควิดได้ดีที่สุดของโลกประเทศหนึ่ง หนังเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่วัดใจเห็นภาพของความโหดร้ายในการอยู่ในสนามรบที่ศัตรูคือสิ่งที่มองไม่เห็นแต่เป็นโรคที่ไม่รู้ว่าจะสู้กับมันยังไง ทั้งฉากที่พยาบาลล้มลงไปแล้วลุกขึ้นมาชูสองนิ้วหรือพยาบาลบอกให้คนไข้สู้ๆแต่ข้างหลังกำลังเข็นศพออกไป ยิ่งได้ตอนสุดท้ายที่มองเห็นเลยว่าความเสียสละของหมอและพยาบาลน่ายกย่องเชิดชูขนาดไหนและหนังเรื่องนี้ก็ทำเรื่องง่ายๆให้มีหัวใจด้วยความจับใจเมื่อบทหนังเอาดีได้การแสดงก็ออกมาในระดับที่สื่อสารกับคนดูได้ทุกความรู้ลึก เพราะบทหนังจัดการอารมณ์ด้วยความรู้สึกและสามารถจัดการได้อยู่หมัดทั้งเรื่องสถานการณ์บรรยากาศและและแน่นอนการสื่อสารความรู้สึกของตัวละคร แม้มิติตัวละครไม่ต้องเล่ามากเรื่องพื้นฐานเพราะหนังว่ากันที่เหตุการณ์เฉพาะหน้าทำให้เรื่องปูมหลังใส่มาไม่มากแต่น่าทึ่งคือมีผลต่อความรู้สึกตัวละครเต็มร้อย สำหรับหวังปัวเจี๋ยในบทหมอเซี่ยนั้นคนดูจะรู้สึกไปกับเขาเพราะความเป็นมนุษย์พ่อที่แม้มีปัญหากับคู่สมรสแต่ก็ยังรักลูกและแน่นอนเมื่ออยู่ท่ามกลางความเป็นความตายความรู้สึกนั้นจะมากำหนดแต่สุดท้ายหมอก็ยังเป็นหมอที่ไม่อาจทิ้งคนไข้ได้หวังปัวเจี๋ยทำให้คนดูได้ลุ้นไปกับการตัดสินใจของเขาจนแทบจิกเท้า ส่วนความมีอุดมการณ์ความโลกสวยทำหน้าที่ด้วยใจเต็มที่ทุกครั้งใส่ใจทุกคนของบุรุษพยาบาลอั้งของเซิงจิงหัวนั้นอาจไม่ซับซ้อนแต่มิติเชิงความรักของเขาเมื่อความฝันพังทลายคือจัดการได้หมดจด ส่วนตัวละครสมทบอื่นๆทั้งเล็กใหญ่ล้วนทำหน้าที่ได้ดีจนทำให้ในโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นแดนมิคสัญญีโดยแท้นับเป็นงานชั้นเยี่ยมที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของไต้หวันไว้เต็มที่และขายความดีงามนั้นได้ตรงจุด ใจกลางของพายุคือความหมายของ Eye of the Storm และหนังก็เล่าได้อย่างทรงคุณค่าเมื่อวางสถานการณ์ไว้ในสถานที่ที่จำกัดทำให้ยิ่งอึดอัดคิดหาทางออกไม่เจอ หนังยังได้งานเพลงที่ส่งอารมณ์เต็มที่ที่เมื่อเวลากดดันก็ทำได้ดีเมื่อเวลาต้องลุ้นก็ทำได้เยี่ยมและที่ต้องชื่นชมคือไม่โฉ่งฉ่างแต่เคล้าคลอเรื่อยๆ ด้วยการเล่าเรื่องไปตรงๆง่ายๆใช้ความรู้สึกข้างในของตัวละครมากำหนดอารมณ์คนดูด้วยเรื่องง่ายๆกับสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ที่ใส่มิติการเชิดชูบุคลากรทางการแพทย์ได้เนียนๆ ทั้งยังเก็บทุกรายละเอียดไม่มีทิ้งอะไรไว้กลางทางทุกสิ่งอย่างมีที่มาที่จะพาไปหาเหตุการณ์ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในสถานที่ปิดตาย นั่นหมายความว่าหนังค่อยกดอารมณ์คนดูทีละน้อยจนไปสู่อาการลุ้นระทึกในตอนสุดท้ายที่ก็ยังคงเป็นเรื่องง่ายๆคือการทุ่มทั้งชีวิตเพื่อช่วยชีวิต แม้หนังจะมีฉากสุดท้ายที่เป็นปลายเปิดแต่คนดูก็คิดเอาเองได้ว่าหนังเรื่องนี้ว่ากันที่หัวใจล้วนๆคือหัวใจของความเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ดี และนี่คือหนังเรื่องเยี่ยมที่ต้องเชิดชูไม่ต่างจากวีรกรรมของบุคลกรทางการแพทย์เหล่านี้ดูไปบ่นไปhttps://www.youtube.com/watch?v=xmGP4xsp2k8&ab_channel=NetflixAsiaขอบคุณภาพประกอบภาพปก,ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7,8 จาก Instagram netflixtwVDO ตัวอย่าง จาก YouTube Netflix Asia ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/xyPA5Z6B14qMhttps://entertainment.trueid.net/detail/q572Qw8yGZMOhttps://entertainment.trueid.net/detail/OLOAzk4YbzVXแชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “ท่องเที่ยว”