2 จดหมายรักฉบับ "ชุนจิ อิวาอิ" จาก Love Letter สู่ Last Letter ยังตรึงใจเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวาน
วิจารณ์ รีวิวหนัง Last Letter จดหมายรักฉบับสุดท้าย
"お元気ですか ...私は元気です" (โอเกงกิ เดสกะ ...วาตาชิวะ เกงกิ เดส) ประโยคคลาสสิกตลอดกาลจากหนังญี่ปุ่นสุดประะทับเรื่องหนึ่ง ที่มีคำแปลที่ว่า "เธอสบายดีไหม? ...ฉันก็สบายดี" และหนังเรื่องนั้นก็คือ "Love Letter" (ถามรักจากสายลม) ที่เคยสร้างความประทับใจกับคนทั้งโลกมาแล้ว แต่ตอนนี้ความรู้ที่คุ้นเคยได้กลับมาอีกครั้ง ด้วยความหวนคิดถึงที่มาสะกิดตรงจุดกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ คำถามที่ว่า "ยังรักอยู่ได้ไหม?" กลับมาโจมตีห้วงหัวใจอีกครั้งใน "Last Letter" (จดหมายรักฉบับสุดท้าย) ที่เป็นผลงานของผู้กำกับคนเดียวกัน
Last Letter พาห้วนคิดถึงความรักครั้งแรกในอดีต
ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน "ชุนจิ อิวาอิ" ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงใดๆ ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวงการหนัง ด้วยการสร้างหนังรักที่เต็มไปด้วยบาดแผลทางใจ และความถวิลหาห้วงเวลาแห่งอดีต ทำให้ Love Letter กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จ กวาดเงินไปได้กว่า 8.5 พันล้านเยน และเป็นที่กล่าวถึงในหมู่คนดูหนังทั่วโลก ซ้ำผลงานชิ้นนี้ยังทำให้ราศีจับผู้กำกับผู้นี้ และทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้กำกับแนวหน้าของวงการหนังญี่ปุ่นถึงในปัจจุบัน
และเมื่อมาถึงในปัจจุบัน เขาได้กลับมาสานต่อเรื่องราวที่ยังบาดลึกลงในจิตใจของคนแบบคล้ายเดิม ส่งผ่านด้วยจดหมายฉบับสุดท้าย สร้างจากผลงานนิยายที่เขาประพันธ์เองและยังคงฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองเช่นเคย เมื่อต้องถูกถ่ายทอดออกมาเป็นหนังใน Last Letter บรรยากาศเก่าๆ ที่ยังคงคิดถึงได้กลับมาสู่ภาวะอารมณ์ของคนดูอีกครั้ง ความรัก ความคิดถึง และความสูญเสีย ต่างประดังเข้ามากัดกินหัวใจ แต่ครั้งนี้กลับมีโทนที่ต่างไปจากเดิม ด้วยความเปลี่ยนแปลง และการเติบโตของสังคม
ฉากตะโกนกู่ร้องถึงหุบเขาในตำนานของ Love Letter
ความเหมือนกันของ Love Letter และ Last Letter คือจุดเริ่มต้นที่มาพร้อมกับความสูญเสีย จู่โจมคนดูด้วยภาวะที่เศร้าหมอง และค่อยๆ พาไปสำรวจบาดแผลลึกๆ ของแต่ตัวละครว่าเกิดขึ้นจากสิ่งใด ในจดหมายรักฉบับเก่าได้พาย้อนไปดูความสัมพันธ์วัยเรียนของหนุ่มสาวที่มีชื่อเหมือนกัน บรรยากาศ แสง สี ภาพ ดูละมุนละไมและดูลงตัวไปในทุกๆ ด้าน คนได้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของคนคู่นี้
ในขณะที่จดหมายรักฉบับสุดท้ายได้พาไปดูหนทางการเยียวยาจิตใจของแต่ละตัวละคร กับเรื่องราวในอดีตที่ยังเกาะกินใจของพวกเขาอยู่เสมอมา ผู้หญิงคนหนึ่งปล่อยตามเลยที่สวมรอยเป็นพี่สาวที่ล่วงลับของตัวเอง เพื่อติดต่อกับรุ่นพี่ที่เป็นรักแรกของเธอ แม้จะเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว แต่ก็สมเหตุสมผลที่เธอเลือกทำเช่นนั้น และหนังก็ยังพาไปสำรวจที่มาที่ไปในอดีตที่คนดูจะเข้าใจได้ว่า...ทำไมเธอผู้นี้ถึงทำเช่นนี้
อีกฉากน่าประทับใจตลอดกาลจาก Love Letter
ถึงแม้ว่า Last Letter จะดูเป็นฉบับปรับปรุงที่ดูมีโครงสร้างที่แข็งแรงและทันสมัยขึ้นกว่า Love Letter แต่เรื่องราวในหนังฉบับก่อนก็ยังคงติดตรึงใจอยู่ได้ไม่เสื่อมคลาย และได้หนังฉบับใหม่เข้ามาช่วยเสริมและเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับความพยายามเล่าเรื่องที่ซึมซับเข้าสู่หัวใจคนดูได้ยิ่งกว่าเดิม
และการได้เห็นนักแสดงหลายๆ คนจาก Love Letter มาปรากฏอยู่ใน Last Letter ยิ่งตอกย้ำอารมณ์ความคิดถึงขึ้นไปอีกระดับ ภาพคาแรกเตอร์ที่คุ้นตา กลับมาในคาแรกเตอร์ใหม่ที่ช่วยเติมเต็ม คงต้องบอกว่าหนังทั้ง 2 เรื่อง ที่มาในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ต่างก็มีจุดเด่นและจุดด้อยไม่เหมือนกัน ฉากประทับใจยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอดทั้งเรื่องจากหนังทั้ง 2 เรื่อง
Love Letter อาจจะเป็นการจุดประกายการบอกรักของ ชุนจิ อิวาอิ ในขณะนี้ Last Letter คือการกลับมาเตือนใจผู้คนที่ยังเป็นทุกข์และติดอยู่ห้วงของอดีตที่ควรจะมูฟออน เดินก้าวไปข้างหน้าและดำเนินชีวิตต่อไปตามทางของตัวเอง
ข้อความจากจดหมายรักฉบับสุดท้ายของ มิซากิ ใน Last Letter ใจความว่า "...บางคนไปถึงฝั่งฝัน บางคนอาจจะไม่สมหวัง เมื่อจบจากช่วงชีวิตในสถานศึกษาแห่งนี้ ทุกคนต่างก็ต้องมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง" เป็นประโยคทิ้งทายที่ทำให้คนดูได้ทบทวนกับเส้นทางชีวิตที่ดำเนินมาถึงทุกวันนี้ ทั้งความสุข ความทุกข์ เราต่างฝ่าฟันผ่านมาได้ด้วยตัวเองแล้วทั้งนั้น
ดังนั้น ข้อความจากในจดหมายแบบฉบับของผู้กำกับ ชุนจิ อิวาอิ ก็ยังคงตรงตรึงหัวใจผู้คนได้อยู่ตลอดไป และน่าจะคงอยู่ไปตลอดกาล... Last Letter เข้าฉายแล้ว วันนี้ในโรงภาพยนตร์
----------------------------------------------------