หากตัดเรื่องของคำว่า “น่าเสียดายออกไป” ก็นับว่าเป็นหนึ่งในภาคที่มีห้วงอารมณ์ประกอบอยู่ในนั้นพอสมควร ก็ถ้าหากว่า ตัดคำนั้นออกไปได้ล่ะนะใช่ครับ สำหรับแฟนเดนตาย Star war ที่ดูมาทุกภาคก็คงจะรู้สึกเดียว ๆ กันคือ “ภาคใหม่ แต่ไม่มีอะไรใหม่เอาซะเลย”การมาของภาค 8 จึงนับได้ว่าเป็นการพยายาม นำ Star war ไปในทิศทางอื่นให้มากที่สุด แต่ก็ถูกจวกยับเหมือนกัน ฉะนั้น การกลับมาของภาค 9 ที่จะสานต่อเรื่องราวพานพบไปจนถึงจุดจบ ปิดตำนาน Star war เราก็คงจะเดาได้เลยว่า J.J กลับมาสานต่อครั้งนี้ Safe สุด ๆ แน่นอนและมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ภาคนี้คือภาคที่ทำมาเพื่อบูชา สิ่งที่ Lucus ทำเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน “Star War Episode: Return of the Jedi”แต่ถึงอย่างนี้อย่างนู้นก็ตามแม้ Star war 9 ไม่ใช่ภาคที่เพอร์เฟค แต่ก็นับเป็นภาคที่มีห้วงอารมณ์ประกอบไว้เยอะที่สุดครอบครัว,มิตรภาพ,ภารกิจ,การเสียสละ,การเป็นตัวเรา นี้คือภาคที่รวมคนแก่ไว้เยอะมาก ขนทัพนักแสดงที่เราคุ้นเคยกันดี กลับมาโลดแล่นใหม่ให้หายคิดถึง แม้บทของบางคนจะไม่มีที่มาที่ไปว่าโผล่มาแต่ใดเล่า แต่หากเราหลุดพ้นถึงคูหาของเหตุและผล แล้วหลุดเข้าไปในหนังก็อาจจะไม่ต้องการเหตุผลที่แน่ชัดนักก็ได้ โดยเฉพาะบทเจ้าหญิงเรอา แม้จะออกมาเพียงไม่กี่ซีน และไม่กี่คำพูด แต่เป็นคำพูดที่ทรงพลังที่สุด“คำพูดของคนเป็นแม่”การผจญภัยไปกับผองเพื่อนในภาคนี้ เรียกได้ว่า ดูไปแล้วก็รู้สึก "เปลืองน้ำมัน" ไปด้วยยังไงยังงั้น จอดลงดาวนี้ ไปดาวนู้น ไปดาวนู้นแล้วไปดาวนั้น ไปดาวนั้นแล้วไปดาวนู้น ก็กล่าวได้ว่า หากใครชอบการผจญภัย ในภาคนี้ถือเป็นอีกภาคที่พาเราไปพจญดาวหลากดาวเหลือเกิน แต่ก็น่าเสียดายอีกแล้ว ที่การผจญดาวหลากดวง มาพร้อมกับการไร้ชีวิตชีวิา ตัวหนังไม่ได้พาให้เราไปเห็นชีวิตของสรรพสัตว์ในดาว ต่าง ๆ มากนัก แต่มันคงจะไม่จำเป็นเท่าไรกระมัง เว้นแต่หนังจะยาวซัก 5 ชั่วโมงถึงจะทำอย่างงั้นได้ แต่นี้ก็ทำให้หวนนึกถึง ในภาค 6 ทั้งสามคน ที่ร่วมกันต่อสู้กับผู้นำสูงสุด ทั้งสามคนในตอนนั้น เราเห็นเงาของพวกเขาราง ๆ ในสามคน ณ ตอนนี้ในภาคที่แล้ว มีสิ่งที่ผมไม่ชอบมาก ๆ ก็คือ “ฉากฟันดาบ หายไปไหนหมดวะ” และปมบางอย่างที่ถูกปูไว้จากภาค 7 แต่ในภาค 8 กลับมาทำให้มันกลายเป็นอุทานลั่นโรงครั้งยิ่งใหญ่ ฉะนั้น การมาของภาคนี้ จึงเหมือนการอุดรูรั่วของภาคก่อน ทำบทออกมาตามแฟนคาดหวังไว้ที่สุด และ CGI ตู้มต้าม ยานอวกาศ และไลท์เซเบอร์ ก็กลับมาฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ลุ้นตัวเกร็งเลยทีเดียวกับการกลับมาของตัวร้ายที่ควรจะตายไปแล้วแท้ ๆ ในภาคก่อน แต่กลับมาในภาคนี้ ดันไม่มีเหตุและผลที่ดูจะฟังน่าชื่นใจซะหน่อยว่า กลับมาได้ยังไง แต่การต่อสู้กันระหว่าง คนหนุ่มสาวกับคนแก่ที่หวังจะยัดเยียดความคิดตัวเองลงสู่รุ่นต่อรุ่น ก็นับว่าสารในหนังที่สื่อออกมาอย่างชัดเจน ผ่านการปะทะดาบของไลท์เซเบอร์และพลังที่สถิตอยู่กับเราในทุกหนทุกแห่ง และหากเราเชื่อ และยอมรับการเป็นตัวตน ไม่ว่าตนจะเป็นใครก็ตาม นั้นแหละคือพลังอันยิ่งใหญ่ที่สถิตอยู่กับเราทุกคน“การยอมรับในตัวเอง”ไม่ใช่แค่ในช่วงสุดท้ายของหนัง แต่สารบางอย่างที่แฝงเอาไว้ในแต่ละเรื่องราวนั้น เป็นสารที่หากเรารับฟังอย่างตั้งใจ จะเข้าใจเจตนาของทีมงาน ผู้กำกับอย่างแน่นอน โดยการไปรับชมเรื่องนี้อย่าง ปล่อยวาง ตัดเรื่องของคำว่า “น่าเสียดาย ที่ Disney เอามายำเละ” ออกไป Star war ภาคนี้ ก็นับเป็นภาคที่ดูสนุกได้ โดยไม่น่าเบื่อ หรืออย่างน้อย ๆ นี่ก็ไม่ใช่การกระทำเดียวกับ ภาค 7 ที่เป็นเหมือนการนำภาค 4 มา Remake ใหม่สุดท้าย Star Wars: The Rise of Skywalker เป็นภาคจุดจบของสงคราม การจากลาแด่คนที่ต้องเสียไป และการเริ่มต้นใหม่ ของนามสกุล Skywalkerแต่ขอความกรุณาสปอยล์นึดนึงนะครับว่า ฉากสุดท้ายก็ของภาคนี้ มีความ อย่างงี้ก็ได้เหรอเป็นพอสมควร แต่ก็พอยอมรับได้ ว่าหากมันขึ้นหนัง ว่า Fantasy ไปแล้วอะนะในส่วน Timeline ของ STAR WARS canon ที่ก่อกำเนิดขึ้นมาใหม่ ในส่วนตัวของผมแล้ว ก็รักมันทุกภาคนั้นแหละ แต่ครั้งหนึ่งในชีวิต คุณก็ควรจะรับชมภาพยนตร์ระดับตำนานนี้สักครั้ง กดดูที่ True ID คลิกที่นี่เลยสิ คุณจะได้เดินทางร่วมไปกับจักรวาลเหล่านี้ด้วยกันขอขอบคุณรูปภาพจาก ดิสนีย์ประเทศไทย