รีเซต

"ทอม แฮงก์ส" สารภาพ ไม่ชอบดูหนังที่ตัวเองแสดง เพราะไม่อยากประสาทกิน

"ทอม แฮงก์ส" สารภาพ ไม่ชอบดูหนังที่ตัวเองแสดง เพราะไม่อยากประสาทกิน
แบไต๋
9 มกราคม 2566 ( 07:00 )
1.3K

กว่า 43 ปีในวงการบันเทิงฮอลลีวูด คงไม่ต้องนั่งกังขาถึงฝีมือการแสดงของ ทอม แฮงก์ส (Tom Hanks) นักแสดงฮอลลีวูดวัย 66 ปีผู้เป็นที่รักของคนทั้งโลก เพราะผลงานการแสดงภาพยนตร์ นับร้อยเรื่องของเขามักได้รับคำชื่นชมเป็นส่วนใหญ่ และได้รับการันตี 2 รางวัลออสการ์รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม 2 ปีติด ๆ ทั้ง ‘Philadelphia’ (1993) และ ‘Forrest Gump’ (1994) เรียกว่าคงไม่มีใครปฏิเสธว่าหนังเหล่านี้ และอีกหลายเรื่องทั้ง ‘Saving Private Ryan’ (1998), ‘You’ve Got Mail’ (1998), ‘The Green Mile’ (1999), ‘Cast Away’ (2000), ‘The Terminal’ (2004) ฯลฯ คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซขึ้นหิ้งของลุงแฮงก์สที่ได้รับคำชมทั้งสิ้น

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ดูเหมือนเจ้าตัวเองจะไม่ได้รู้สึกหลงไหลได้ปลื้มหรือคลั่งไคล้ในผลงานภาพยนตร์ของตัวเองมากนัก และเขาเองก็ไม่ชื่นชอบการดูผลงานภาพยนตร์ที่ตัวเองแสดงสักเท่าไร ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะเขามีความถ่อมตัวในระดับหนึ่ง

รวมทั้งเรื่องที่เขาได้เปิดเผยในรายการพอดแคสต์ ‘The Great Creators with Guy Raz‘ ว่า สาเหตุหลักที่เขาไม่ชอบดูหนังดัง ๆ ฮิต ๆ ของตัวเองมากนักก็เพราะว่า มันทำให้เขารู้สึกคล้ายกับว่าเป็นโรคประสาท เมื่อเขาดูหนังที่เขาแสดง เขามักจะรู้สึกประสาทจะกินเมื่อได้เห็นความปลอมในการแสดง และความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในผลงานต่าง ๆ จนทำให้เขารู้สีกว่าเหมือนยังทำงานได้ไม่ดีพอ แม้ว่าตัวของเขาเองจะทำงานในอาชีพนี้มาเกิน 40 ปีแล้วก็ตาม

“มันเหมือนว่าผมกำลังต่อสู้กับความจริง ผมต้องต่อสู้กับความแตกต่าง ระหว่างการโกหกเพื่อที่จะดำรงชีพในฐานะนักแสดง กับการโกหกตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง (ที่ไม่ดูหนังดัง ๆ ) เพราะว่าผมมองเห็นความปลอม ผมเห็นจุดผิดพลาดเต็มไปหมด ครั้งหนึ่งผมถึงกับพูดว่า ‘ให้ตายเถอะวะ ผมพลาดโอกาสนั้นไปแล้ว…’ “

“แต่มันก็ไม่ใช่เพราะว่าผมในตอนนั้นไม่ยอมทำนะ แต่มันเป็นเพราะว่า พอผมเลือกทำไปแล้ว ผมเพิ่งมาพบว่า ผมยังไปได้ไม่ไกลมากพอ ผมยังไม่รู้สึกว่าไปถึงจุดหมายที่ผมอาจจะไปถึงได้ ผมเลยมานั่งถามตัวเองว่า มันเป็นเพราะอะไรวะ ? เพราะผมไม่พอใจกับสิ่งที่ทำหรือเปล่า ? เพราะผมไม่พอใจกับบทเหรอ ? หรือผมเสนอไอเดียน้อยไปเหรอ ? หรือมันเป็นแค่เพราะว่าวันนั้นผมมากองสาย เลยต้องรีบถ่าย แต่แทนที่จะถ่ายได้สัก 6 เทก ก็อาจจะถ่ายได้เต็มที่แค่ 2 เทก มันเป็นความสงสัยที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในตัวผม”

ซึ่งสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ตรงกับที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ People ไว้ว่า ตลอดการทำงานในอาชีพนักแสดง เขารู้สึกในแง่บวกในระดับที่เขาใช้คำว่า รู้สึก ‘ค่อนข้างใช้ได้’ กับหนังที่เขาเล่นอยู่เพียงแค่ 4 เรื่องเท่านั้น โดยที่เขาเองไม่ได้เปิดเผยว่าเรื่องใดบ้าง

“ไม่มีใครรู้จริง ๆ หรอกว่าภาพยนตร์ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร แม้ทุกคนจะชอบคิดว่าพวกเขารู้อยู่แล้ว ผมเล่นหนังมาก็เยอะ ผมคิดว่ามีหนังที่ค่อนข้างใช้ได้สัก 4 เรื่องประมาณนี้ แต่ผมก็ยังแปลกใจในกระบวนการสร้างหนัง ตั้งแต่การกระพริบของไอเดียในหัว จนกลายเป็นภาพกระพริบบนหน้าจอ กระบวนการทั้งหมดผมว่ามันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์”

“สำหรับผม การสร้างภาพยนตร์เป็นงานที่หนักหนา และกินเวลายาวนาน ประกอบไปด้วยช่วงเวลาที่มีความสุข ที่ปะทะเข้ากับความรู้สึกเกลียดชังตัวเองพอ ๆ กัน มันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นงานที่สับสนวุ่นวายมากที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมา”

แต่แม้ว่าเขาเองจะไม่ได้เปิดเผยว่า ในบรรดาหนัง 4 เรื่องที่เขารู้สึก ‘ค่อนข้างใช้ได้’ ว่ามีเรื่องใดบ้าง แต่เขาเองก็เคยเปิดเผยว่า หนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่เขารู้ตัวว่าได้ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ ก็หนีไม่พ้นหนังที่ดังที่สุดของเขา ที่ส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมตัวที่ 2 มาครองได้สำเร็จอย่าง ‘Forrest Gump’ (1994) เขาได้เล่าช่วงเวลาในการเตรียมงาน เขาและผู้กำกับ โรเบิร์ต เซเม็กคิส (Robert Zemeckis) ต้องทำการค้นคว้าแก่นจากหนังสือนิยายต้นฉบับให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ

“ตอนนั้น เราทุกคนนั่งอยู่กับบ็อบ (เซเม็กคิส) อยู่หลายสัปดาห์ และบ็อบก็พูดว่า ‘เอาล่ะ เราจะทำยังไงกันดี’ เราเริ่มต้นคุยกันตั้งแต่บท คุยกันทุกเรื่องแม้แต่ฉากที่ไม่มีในบท และความหมายที่สื่อในข้อความ ไม่ใช่แค่ไดอะล็อกของคุณเท่านั้น แต่คุณต้องรู้ถึงสิ่งนั้น เพราะมันคือการตีความจากธีม และธีมคือเหตุผลที่ทุกคนเริ่มต้นทำสิ่งนั้นกันตั้งแต่แรก”


ที่มา: People, IndieWire, Variety