Short CommentBad Education: Directors Cut บทเรียนชั่ว (ไดเรคเตอร์ส คัท) (2023)เวลาผ่านไปแบบไม่รู้ตัวทั้งที่หม่นมืดอึดอัดกดดันกับหนังตลกร้ายจากไต้หวันที่เร้าใจได้อย่างร้ายกาจสำหรับดูไปบ่นไปแล้วหนังไต้หวันจัดว่าเป็นแนวที่ใช่ใจบอกว่าชอบเห็นไม่ได้มักจะต้องหาเวลาดูจนได้และเมื่อได้ดูจะมีพลังนั่งเขียนบทความมาแนะนำบอกต่อ ซึ่งหากจะถามหาสาเหตุที่ชอบหนังไต้หวันอาจบอกลำบากเพราะบางครั้งก็หาเหตุผลกับบางเรื่องไม่ได้เอาเป็นว่าถ้าจะให้บอกสิ่งที่ประทับใจในหนังไต้หวันคงมีประมาณนี้ นั่นคือความเรียบง่ายของบทที่มักไม่เล่นใหญ่ไม่เล่าเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมคือเล่าเรื่องที่เป็นปัจเจกสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้เป็นเรื่องที่คนทั่วไปรับรู้และมีส่วนร่วม ในบางครั้งนักแสดงเพียงไม่กี่คนในพล็อตเรื่องที่เรียบง่ายเล่าง่ายๆชั้นเชิงธรรมดาๆไม่ได้ซับซ้อนจนต้องปีนบันได้ดูแต่กลับยึดตรึงความรู้สึกให้ติดไปกับเวลาฉายของหนังได้ทุกนาที ต่อมาคืองานจากไต้หวันจะเหมือนเวลาหยุดอยู่กับที่ที่ยุค 90 เพราะงานด้านภาพ แสง เงา สี หรือเพลงจะคล้ายกับได้ย้อนไปดูหนังฮ่องกงยุค 90 ที่เป็นยุคเฟื่องฟู กระนั้นแม้จะเป็นความเรียบง่ายการบทหนังมักจะออกมาแน่นเล่าในสิ่งที่ต้องการจะเล่าได้ครบถ้วนเช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่เห็นก็รู้ทันทีว่าหนังไต้หวันที่ใช้เวลาเพียงน้อยนิดเล่าได้อย่างคุ้มค่ากับเวลาทุกนาทีจาง (เบแรนท์ ซู) กับฮั่น (เอดิสัน ซ่ง) และหวัง (เคนท์ ไช่) สามเพื่อนซี้ที่กำลังจบการศึกษาระดับมัธยมปลายและคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้รวมหัวกันเพราะเมื่อจบจากโรงเรียนแล้วก็คือทางใครทางมัน จางที่มีบุคลิกหัวโจกทรงอย่างแบดส่วนฮั่นก็เป็นพวกกลางๆรองลงมาส่วนหวังเหมือนเป็นไอ้ขี้แพ้จอมแหยประจำทีมแนวเด็กเนิร์ด แล้วความห่ามของวัยรุ่นวัยว้าวุ่นก็คือการท้าทายมิตรภาพด้วยการเล่าความลับให้เพื่อกำไว้เพื่อความเชื่อใจอีกขั้นซึ่งจางและฮั่นนั้นมีวีรกรรมเป็นวีรเวรที่อาจต้องเบือนหน้าหนี แต่กับหวังกลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยหน่อมแน้มไปหน่อยจางและฮั่นจึงท้าทายให้หวังไปทำอะไรมี่มันปังกว่านั่นคือไปตีกบาลนักเลง ทว่าจางและฮั่นคิดไม่ถึงว่าหวังจะทำจริงเพราะทุกสิ่งก่อนหน้านี้คือการล้อเล่นแต่หวังกลับฟาดไปเต็มๆทำให้สามเพื่อนซี้ต้องโกยอย่างไม่คิดชีวิต แต่แล้วฮั่นก็ถูกจับได้และสถานการณ์ก็พาให้จางกับหวังต้องขโมยรถแท็กซี่หนีจนไปเจอตำรวจ แต่แทนที่ตำรวจจะพาทั้งสองกลับโรงพักกลับพาไปส่งให้พวกนักเลงซะงั้นสามเพื่อนซี้จึงต้องพิสูจน์อะไรมากมายเพื่อชดใช้ความหฤห่ามในคืนนี้ทั้งอึดอัดทั้งกดดันแต่กลับลื่นไหลเดินหน้าไปอย่างไม่มีผ่อนเหมือนไม่สนุกแต่สนุก ยอมรับว่าไม่ได้ดูฉบับเดิมที่ออกฉายในปี 2022 แล้วมาดูฉบับที่ผู้กำกับอยากให้ดูเลย ซึ่งคงไม่ใช่ปัญหาเพราะหนังก็ออกมาแน่วแน่ด้วยการแบ่งหนังออกมาเป็นสามส่วนให้เล่าที่มีธีมการเล่าเรื่องชัดเจนด้วยบทแรกที่ชื่อว่าลิงคือว่ากันที่ความเป็นเด็กที่ซนไม่สนว่าอะไรจะตามมา บทที่สองคือคนดีก็คือการเป็นคนดีในสังคมที่เป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่อะไรจะบานปลายออกไปทำให้ไม่สามารถประคองความดีไว้ได้ และบทที่สามคนชั่วก็คือการเผชิญหน้ากับคนชั่วคือพวกนักเลงหัวไม้ที่ทำได้ทุกอย่างอย่างที่ได้บอกไว้ในหนัง ซึ่งสองบทแรกมีความสัมพันธ์กันอย่างยอดเยี่ยมทำให้ลื่นไหลไปด้วยความอึดอัดกดดันจนเหมือนจะไม่บันเทิงเพราะสถานการณ์บานปลายไปเรื่อยๆจนไม่รู้จะลงยังไง แต่กับบทสุดท้ายที่ใส่ความรุนแรงมาเต็มที่กลายเป็นส่วนที่โดดออกไปจากความลื่นไหลที่ผ่านมาอาจเพราะเรื่องหยุดอยู่กับสถานที่เดิม แล้วหันมาท้าทายมิตรภาพความภักดีและความแข็งแกร่งในใจทำให้แม้จะโดดออกไปก็น่าสนใจและสนุกจนเวลาผ่านไปไม่รู้ตัวด้วยส่วนเสริมชั้นดีคือความตลกร้ายที่มาพร้อมกับการท้าทายมิตรภาพผ่านบุคลิกตัวละคร ปัจจัยที่ทำให้หนังที่ทั้งอึดอัดกดดันออกมาเป็นความสนุกนั่นเพาะหนังมีความตลกร้ายอยู่ในตัว หนังเต็มไปด้วยพฤติกรรมห่ามๆที่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าไม่มีอะไรบานปลายแต่ทุกอย่างก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ถ้ามีอะไรผิดพลาดเพียงนิดเดียวหรือเสี้ยววินาที เช่นเรื่องนี้เพราะเพียงเสี้ยววินาทีที่คิดว่าเพื่อนหัวเราะเยาะหายนะก็ตามมาหลังจากนั้นอารมณ์ขันแบบไม่น่าจะขันก็มาเรื่อยๆผ่านการต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เกินกว่ากำลังสมองของวัยรุ่น จึงกลายเป็นส่วนเสริมชั้นดีทีทำให้อะไรที่ตึงๆมีรอยยิ้มมาเปื้อนหน้าบ้างแม้ว่าความตึงนั้นจะไม่ได้หย่อนหรือลดดีกรีลง นั่นเพราะการพยายามบอกเล่าถึงบุคลิกตัวละครให้รับทราบก่อนว่าใครเป็นอย่างไรก่อนไปถึงเกมวัดใจในตอนท้าย เพราะเมื่อเจอสถานการณ์ที่ท้าทายมีชีวิตเป็นเดิมพันธาตุแท้และบุคลิกที่แท้จริงจะปรากฏ ส่งผลให้หนังมีไคลแม็กซ์ที่ยอดเยี่ยมสื่อความหมายท้าทายมิตรภาพและมโนสำนึกในใจได้เต็มร้อยอันนำพามายังฉากสุดท้ายที่กินใจเมื่อใครกันแน่ที่แกร่งที่สุด สัดส่วนของคนดีและคนชั่วมีเท่าไหร่? คำถามตั้งแต่ต้นและตอนกลางซึ่งคำตอบที่หนังมีให้คือไม่ใช่ครึ่งต่อครึ่งแต่มีคนดีเพียงสิบส่วนคนชั่วเพียงสิบส่วนซึ่งคงจะดีมากถ้าสัดส่วนของคนดีกับคนชั่วมีครึ่งต่อครึ่งสังคมคงจะดีกว่านี้ ส่วนอีกแปดสิบส่วนคือคนที่พร้อมจะฝ่าไฟแดงเมื่อไม่มีคนเห็นหรือคนที่กินน้ำในขวดไม่หมดแล้ววางขวดน้ำไว้ในตะกร้ามอเตอร์ไซค์คนอื่นที่จอดไว้ นั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมแปดสิบส่วนจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำหรืออยู่ที่สถานการณ์ในเวลานั้นหรือเอาให้ชัดลงไปอีกคือชั่วไม่มีดีไม่ปรากฎเป็นคนส่วนมากในสังคมที่เฉยชากับความดีหรือความชั่ว หนังก็สื่อตรงนี้ออกมาชัดเจนทั้งธีมการเล่าเรื่องที่ถูกแบ่งไว้และการที่เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งใจทำชั่วอะไรแต่ด้วยความห่ามตามวัยทำให้คิดไม่รอบด้าน สิ่งที่ตามมาคือสถานการณ์บานปลายจนยากจะควบคุมทำให้หมิ่นเหม่มากที่วัยรุ่นสามคนนี้จะพลิกไปอยู่ด้านมืดเพราะต่อให้ตำรวจพาไปโรงพักก็คงมีประวัติติดตัว บางครั้งการได้สัมผัสกับความชั่วอย่างใกล้ชิดก็อาจพลิกชีวิตพลิกทัศนคติใครบางคนได้หรือหนังจะบอกกับเราแบบนั้นการแสดงที่พร้อมสร้างความเจ็บปวดในใจให้เพราะความไร้วุฒิภาวะ เพราะหนังเล่าเรื่องของเด็กสามคนซึ่งเด็กสามคนในหนังก็ยังทำได้ดีเยี่ยมตามสไตล์หนังไต้หวัน เพราะหนังไต้หวันจะไม่เล่นใหญ่ แต่เล่าเรื่องพื้นฐานทั่วไปเช่นเรื่องนี้ก็เล่าเรื่องแค่เด็กที่ไร้วุฒิภาวะทำอะไรแบบไม่คิดทำให้อะไรต่อมิอะไรไปไกลอย่างที่เห็น และทั้งสามคนทั้งแบเรนท์ ซู,เอดิสัน ซ่งและเคนท์ ไช่ก็ทำหน้าที่ในการเป็นเด็กเวรได้อย่างสัมผัสได้ เพราะมองให้ลึกยังไงก็ยังไม่เห็นว่าสามคนนี้เป็นเป็นคนชั่วอะไรแม้จะมีราศีความเกเรแต่ความเกเรไม่ใช่ความชั่วเสมอไป ยิ่งตอนสุดท้ายที่แต่ละคนได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเปิดธาตุแท้ออกมายิ่งเห็นชัดว่าการแสดงของทั้งสามคือความเป็นธรรมชาติในการเป็นเด็กไร้วุฒิภาวะพร้อมสร้างความเจ็บปวดหัวใจให้ผู้ใหญ่หรือผู้ปกครอง หนังยังได้นักแสดงสมทบที่อาจมีบทไม่มากเพราะหนังตามติดพฤติกรรมของเด็กห่ามทั้งสามคนแต่ก็ได้รับการสมทบชั้นยอดกับการแสดงที่เนียนตา ทั้งยังมาในเวลากลางคืนที่ค่อนข้างมืดเหมือนกับความรู้สึกของเด็กสามคนที่คงมืดมนไม่เห็นแสงสว่างไม่รู้ว่าจะมีทางออกอย่างไรกลายเป็นงานดีที่ไม่ควรมองข้ามแม้จะมีความย้อนแย้งในเรื่องของธีมการเล่าเรื่องบ้างแต่ก็ดีพอ นี่คืองานดีที่ดูสนุกในเบื้องหน้าและท้าทายมโนสำนึกให้ได้รู้สึกและได้คิดอยู่เบื้องหลัง ก็ใช่ที่สองบทแรกคือความลื่นไหลไปทางหนังตลกร้ายแนวฝนตกขี้หมูไหลที่ดูสนุกเพลิดเพลินยิ้มได้ทั้งที่ข้างในอึดอัดกดดันแต่เมื่อมาถึงบทที่สามก็ทิ้งทุกอย่างในสองบแรกเพื่อมาเป็นความรุนแรงเต็มพิกัด ซึ่งอาจเรียกได้ว่าหนังมีวุฒิภาวะพอด้วยซ้ำที่เมื่อเล่าถึงจุดวัดใจเอาตามตรงคนดูยังไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดเด็กทั้งสามคนมากมายอย่างร้ายคือไม่สงสาร เพราะเข้าใจว่ามันคือเหตุการณ์ที่บานปลายไปโดยความไม่ตั้งใจเป็นผลมาจากการที่วุฒิภาวะยังไม่ถึงที่ถ้าจะลงลึกไปอีกคือคงมีคนดูอีกไม่น้อยที่เคยทำอะไรผิดพลาดบานปลายเล็กใหญ่บ้างปะปน จึงกลายเป็นหนังที่ดีพอในการดูอย่างสนุกเวลาฉายก็ไม่นานมากแค่แปดสิบนาทีที่จะพาคนดูไปมีส่วนร่วมกับชะตากรรมแห่งความห่ามทำอะไรไม่คิดของเด็กสามคนนี้ และเป็นอีกครั้งที่หนังไต้หวันยังคงมีมาตรฐานที่ดีที่ไม่ควรมองข้ามหากท่านชอบความเป็นหนังไต้หวันเหมือนผู้เขียนดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram badeducation2023ภาพที่ 2,3,4,5,6 จาก Instagram netflixtw ถ้าคุณชอบหนังไต้หวัน คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/N3E61k7z882vhttps://entertainment.trueid.net/detail/OLOAzk4YbzVXhttps://entertainment.trueid.net/detail/q572Qw8yGZMOhttps://entertainment.trueid.net/detail/xyPA5Z6B14qMคอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน