นักแสดงหนัง "Romeo and Juliet" ฉบับปี 1968 ฟ้องสตูดิโอหนัง ถูกหลอกถ่ายทำฉากเปลือย
‘Romeo and Juliet’ (1968) ภาพยนตร์พีเรียดโรแมนติกดราม่าเวอร์ชันที่ได้รับความนิยม และได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์มากที่สุด ถูกพูดถึงอีกครั้งเมื่อ ‘โรมีโอและจูเลียต’ เวอร์ชันของ พาราเมาต์ พิกเจอร์ส (Paramount Pictures) ถูก 2 นักแสดงนำของเรื่องฟ้องร้องเกี่ยวกับประเด็นทางเพศของผู้เยาว์ในฉากเปลือยกาย แม้ตัวหนังจะฉายมานานกว่า 54 ปีแล้ว
ลีโอนาร์ด ไวติง (Leonard Whiting) วัย 72 ปี เจ้าของบทบาท โรมีโอ และ โอลิเวีย ฮัสซีย์ (Olivia Hussey) เจ้าของบทบาท จูเลียต วัย 71 ปี 2 นักแสดงชาวอังกฤษผู้ร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง Paramount Pictures เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ ต่อศาลสูงซานตามอนิกา (Santa Monica) รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันศุกร์ที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมาตามเวลาของสหรัฐอเมริกา ในข้อหาแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศในผู้เยาว์ และเผยแพร่สื่อลามกอนาจารผู้เยาว์
ฉากเจ้าปัญหาที่เกิดเรื่องก็คือ ฉากที่โรมีโอและจูเลียตนอนอยู่ในห้องนอน ซึ่งในฉากนั้นเผยให้เห็นบั้นท้ายของไวติงอย่างชัดเจน และยังเผยให้เห็นหน้าอกของฮัสซีย์อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน ทั้งที่ในระหว่างการถ่ายทำทั้งคู่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น โดยในขณะนั้นไวติงมีอายุ 16 ปี ส่วนฮัสซีย์มีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น ซึ่งสาเหตุที่ทั้งคู่อายุน้อยขนาดนี้ก็เพราะว่าต้องการให้อายุของโรมีโอและจูเลียตในหนังนั้นตรงกับบทละครดั้งเดิมของ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) ให้มากที่สุด
ตามรายละเอียดที่ระบุในสำนวนคดีที่เปิดเผยกับสื่อได้ระบุคำร้องเรียนว่า ในขณะถ่ายทำภาพยนตร์นั้น ผู้กำกับ ฟรังโก เซฟฟีเรลลี (Franco Zeffirelli) ที่ไม่มีชื่อในฐานะจำเลย เนื่องจากเสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2019 ได้ให้คำมั่นสัญญากับทั้งคู่ว่า จะไม่มีการถ่ายฉากเปลือยในหนังเรื่องนี้ และพวกเขาจะสวมชุดชั้นในสีเนื้อ ในฉากห้องนอนและฉากอีโรติกแทน แต่กลายเป็นว่า ในวันสุดท้ายของการถ่ายทำ เซฟฟีเรลลีกลับกล่าวอ้างว่าภาพที่ได้ออกมายังไม่ดีพอ จึงขอให้พวกเขาถอดเสื้อผ้าและถ่ายฉากเปลือยโดยใช้มุมกล้องช่วยบัง โดยอ้างว่าหากไม่มีฉากเปลือยกาย หนังเรื่องนี้อาจล้มเหลวก็ได้
ตามคำร้องเรียนได้ระบุว่า นับจากวันที่หนังออกฉาย ฉากเปลือยฉากนั้นทำให้ทั้งคู่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดทางจิตใจและร่างกายมาตลอด 54 ปี และทำให้พวกเขาสูญเสียโอกาสและสวัสดิภาพในการทำงานอย่างมาก รวมทั้งยังทำให้ทั้งคู่ได้รับโอกาสน้อยมากในอาชีพนักแสดง จนนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับเจ้าของหนังอย่าง Paramount Pictures ด้วยจำนวนเงินที่ถูกประเมินจากความเสียหายแล้วว่าน่าจะตกอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 17 ล้านบาท
โทนี มารินอซซี (Tony Marinozzi) ผู้จัดการธุรกิจของไวติงและฮัสซีย์กล่าวถึงคดีนี้ว่า “สิ่งที่พวกเขาบอก กับสิ่งที่เกิดขึ้นมันคนละเรื่องกันเลย พวกเขาไว้วางใจฟรังโกมาก ในฐานะนักแสดง ฟรังโกคือผู้นำของพวกเขา ที่ตอนนั้นอายุแค่ 16 ปี ว่าจะไม่ละเมิดความไว้ใจที่พวกเขามีให้ ฟรังโกเป็นเหมือนกับเพื่อนของพวกเขา พูดตรง ๆ ก็คือ ตอนอายุ 16 ปี พวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะ ไม่มีทางเลือกอื่นนักหรอก #MeToo ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ”
ในขณะที่ โซโลมอน เกรเซน (Solomon Gresen) ทนายความของทั้งคู่ได้กล่าวว่า “ภาพเปลือยของผู้เยาว์นั้นเป็นสิ่งผิดกฏหมายและไม่ควรถูกเผยแพร่ ในยุค 60’s พวกเขายังเป็นเพียงเด็กไร้เดียงสาที่ยังไม่เข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา จู่ ๆ พวกเขาก็มีชื่อเสียงในระดับที่พวกเขาเองก็คาดไม่ถึง และยังถูกล่วงละเมิดในแบบที่พวกเขาไม่รู้จะรับมืออย่างไร”
‘Romeo and Juliet’ เวอร์ชัน 1968 นี้เป็นเวอร์ชันที่ได้รับความนิยมจากนักวิจารณ์เป็นอย่างมาก และได้รับความนิยมในบรรดาผู้ชมวัยรุ่น เพราะเป็นหนังเรื่องแรกที่ใช้นักแสดงที่มีอายุใกล้เคียงกับโรมีโอและจูเลียต จากบทละครดั้งเดิมมากที่สุด ตัวหนังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ได้ถึง 4 รางวัล และ เซฟฟีเรลลี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยสามารถคว้ามาได้ 2 รางวัล คือ สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม และสาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พูดถึงฉากเปลือยที่พวกเขาเคยแสดง เพราะเมื่อปี 2018 ฮัสซีย์ได้ให้สัมภาษณ์กับ Variety ในเชิงปกป้องฉากเปลือยกายที่เธอและไวติงแสดงว่า “ไม่เคยมีใครในวัยเดียวกับฉันเคยทำแบบนี้มาก่อน มันจำเป็นสำหรับหนังเรื่องนั้น” และได้ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ในปีเดียวกันว่า “แม้ว่าฉากเปลือยจะเป็นสิ่งที่ต้องห้ามในสหรัฐอเมริกา แต่มันก็เป็นเรื่องปกติในภาพยนตร์ยุโรปในเวลานั้น”
“เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรขนาดนั้น ตอนนั้นลีโอนาร์ดไม่ได้รู้สึกเขินอายเลยด้วย ขนาดฉันเองยังลืมไปด้วยซ้ำว่าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอยู่”
ที่มา: Daily Mail, Variety, Screen Rant, Wikipedia