รีเซต

สวยไม่สร่าง! นก ชลิดา อดีตนางสาวไทย รับเคยอ้วน เพราะกินยาลดน้ำหนักจนโยโย่ (มีคลิป)

สวยไม่สร่าง! นก ชลิดา อดีตนางสาวไทย รับเคยอ้วน เพราะกินยาลดน้ำหนักจนโยโย่ (มีคลิป)
Entertainment Report_2
8 ตุลาคม 2563 ( 18:20 )
739

ข่าวบันเทิงวันนี้

จากอดีตนางงาม ที่ตอนนี้อยากจะขอมอบตำแหน่ง "นางงามอมตะ" เพิ่มให้อีกตำแหน่ง สำหรับ "นก ชลิดา เถาว์ชาลี ตันติพิภพ" ที่มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 กับความสวยเป๊ะ! เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน มีแต่จะเพิ่มเติมความเก่งขึ้นเพราะได้คว้าปริญญาเอกมาครอง แถมพ่วงด้วยความสวยที่เจ้าตัวนำมาเผย พร้อมยังพาย้อนอดีตที่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เพราะตัวเองเป็น เอฟซี ของรุ่นพี่นางงามปุ๋ย พรทิพย์ และการทำหน้าที่เทรนด์รุ่นน้องอย่าง "บิ๊นท์ สิรีธร" จนคว้ามงใหญ่ระดับโลก

 

 

เพิ่งจบด็อกเตอร์ทางด้านไหน?
นก ชลิดา : ด้านยาชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพค่ะ จริงๆ Anti-Aging (แอนไท เอจจิ้ง) คนจะคิดว่าต้องไปฉีดโบท็อกให้ดูอ่อนเยาว์เท่านั้น จริงๆแล้วไม่ใช่เลยค่ะ มันจะว่าด้วย การกิน การนอน การพักผ่อน คลายเครียด แล้วยิ่งเราเรียนลึกๆไปจะเป็นวิถีของธรรมชาติ พลังธรรมชาติ จนถึงสเต็มเซลล์ ไปเลย

ขอบคุณรายการ ต้มยำอมรินทร์ 

ถ้าคนที่ได้ยินคำว่า Anti-Aging (แอนไท เอจจิ้ง) มักจะคิดเรื่องสวยๆงามๆก่อน จริงๆเขาเน้นเรื่องสุขภาพเป็นหลัก
นก ชลิดา : มันต้องสวยงามมาจากความอ่อนเยาว์ของเซลล์มาจากภายใน แล้วก็ผลลัพธ์ก็จะออกมาสู่ภายนอก อย่าง นก เรียนจบด้านปรัชญามาเพื่อให้ความรู้ผู้คน และวิธีป้องกันยังไงในการดูแลตัวเอง

จากสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาอยากจะบอกอะไรกับคนไทย หรือเตือนอะไรบ้าง
นก ชลิดา : ตอนนี้นะคะ ปัญหาโรคอ้วนมัน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคต่าง ๆ มาจากพฤติกรรมทางการกินของเราทั้งนั้น ซึ่งเราเป็นอันดับที่สองลองจากมาเลเชีย เรียกว่า ระบบการกินของเราคือแย่มาก เพราะเราชนะเลิศทางด้านเรื่องอ้วนลงพุง เพราะว่า อย่างคนกรุงเทพ คือ นั่งทำงานเยอะมากอย่างเรานั่งทำงานตลอด และ กินๆเข้าไปตลอดทั้งวันไม่ได้ขยับตัว แล้วอาหารที่กินเข้าไปก็ไม่ใช่อาหารที่ดีด้วย แล้วคือ เราทานเข้าไปแล้วมันไปบมเป็นพิษ อาทิตย์หนึ่งเราอาจจะไม่รู้สึก แต่พอผ่านไปหนึ่งเดือน หนึ่งปี ค่าน้ำตาลในเลือด คือ สูงมากโดยที่เราไม่รู้ตัว เราคนไทยคือ นิยมทานอาหารแปรรูปเยอะมาก เช่น กระป๋อง กล่อง ซอง คือ ทุกอย่างที่วางในชั้นไม่บูด ไม่เน่า ไม่เสียคือเคมีทั้งนั้นเลย และอีกอย่างคือ อาหารแช่แข็งที่เราต้องเอาไปเวฟ ถ้ากินบางมื้อไม่เป็นไร แต่ก่อนจะมาตรงนั้นคือ ต้องมีกันบูดแล้วถ้าใส่ไปในไมโครเวฟอีก พลาสติก รังสี จากไมโครเวฟอีกละลายมันเลยทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายเรา เราคิดนะว่า Anti-Aging (แอนไท เอจจิ้ง) ที่เราไปเรียนมันดูหลายอย่างมันไร้สาระหรือเปล่า แต่หลายๆอย่างมันทำให้เราย้อนไปสู่วิถีธรรมชาติ แต่เราไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีเลยนะ อะไรที่เป็นนวัตกรรมเราลองทุกอย่างเลย แต่เราก็ต้องดูด้วยว่าอันตรายหรือเปล่า แต่อะไรที่ดีเราก็มาบอกต่อนะคะ

นก ชลิดา อดีตนางสาวไทยหน้าสุดหวาน 

แต่งานฉลองปริญญาเอกของ นก ชลิดา Anti-Aging (แอนไท เอจจิ้ง) มากจริง ๆ เพราะว่ามงแน่นมาก

 


นก ชลิดา : นี่คือธีมเราจัดเป็นงานเล็ก ๆ ค่ะ เราฉลองเราก็มีพี่น้องหลายกลุ่มมาก เพื่อนกลุ่มที่สนิทกันคือ พี่น้องนางสาวไทยเขาก็เอาใจช่วยเราอย่างตอนเราทำงานวิทยานิพนธ์ ทำงานวิจัย เราถอดใจหลายรอบมากก็จะมีพวกเขาที่ให้กำลังใจเราว่าไปต่อนก ไปต่อนก เราอยากได้ด็อกเตอร์มาอยู่ในกลุ่ม เราเป็นนางสาวไทยในปี 41 ค่ะ ที่ได้ไปประกวด มิสยูนิเวิร์ส

แล้วก่อนที่จะเข้ามาประกวดนางสาวไทยตัวของ นก ชลิดา คือ ทำอะไรอยู่
นก ชลิดา : คือ ก่อนที่ นก จะตัดสินใจมาประกวดนางสาวไทย คือ นก เรียนพยาบาลอยู่ค่ะ แล้วพ่อกับแม่ เขาก็ยื่นคำขาดกับเราว่าอยากให้เราเรียนจบก่อนแล้วค่อยมาประกวด ซึ่งเราก็ต่อลองกับเขาว่าถ้ารอเราเรียนจบเกินเกณฑ์พอดี เพราะเราอยากประกวดมาก
นก ชลิดา : เพราะว่าตอนเราเด็กๆเราไม่ได้อยู่กับคุณแม่ เพราะว่าคุณแม่ตัดสินใจมาเป็นพยาบาลที่ อเมริกา ครอบครัวเราปกติอบอุ่นกันดีนะคะ แต่เพราะว่าเรื่องค่าใช้จ่ายมันไม่พอจริง ๆ แม่ก็เลยตัดสินใจไปทำงานที่อเมริกา และ คุณพ่อเป็นคนที่เลี้ยงนกกับน้องสาวมาจนโต พอ นก จบมอ. 3 นก ก็ได้ไปอยู่กับแม่ที่อเมริกา
นก ชลิดา : ที่เราอยากเป็นนางงามเพราะตอนที่เราเล็ก ๆ เราได้ดู พี่ปุ๋ย ประกวด คือ พี่ปุ๋ย เป็นไอดอลเราเลย คือ เราอยากจะเป็นเหมือนพี่ปุ๋ยทุกอย่าง อยากจะเป็นผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลสำหรับผู้หญิงเหมือน พี่ปุ๋ย เรียกว่าเราเป็น FC พี่ปุ๋ยเลยตั้งแต่อายุ 14 เคยมีโอกาสเจอตั้งแต่ที่ พี่ปุ๋ย ได้เป็นนางงามจักรวาล นก จำได้ พี่ปุ๋ย ไปที่พระราชวังสนามจันทร์ เราเป็นหนึ่งในคนที่ยืนรอดู พี่ปุ๋ย ฝนตกก็ไม่ไปไหน เราตามทุกที่ ตัดเก็บทุกคำสัมภาษณ์ อยากจะเป็นคนนี้ คือ พี่ปุ๋ย คือแรงผลักให้เรามีการพัฒนาตัวเอง เพราะตอนนั้นเราไม่ได้อยู่กับคุณแม่ แบบอย่างของผู้หญิงเราไม่มีใครใกล้ชิด แต่พอเราได้เห็นพี่ปุ๋ย คือ ใช่เลยต้นแบบของเราเลย

แล้วตอนนั้น คือ ที่เราเรียนพยาบาลอยู่ แล้วมีแมวมองมาชวนเข้าวงการนางงาม หรือ ว่ายังไงเอ่ย
นก ชลิดา : คุณอาสมชาย วีระวรรณ มาชวนให้ไปประกวดค่ะ ตอนนั้นคือ การส่งนางงาม คือ เขาสามารถส่งได้ปีละคน แล้วตอนนั้น นก มีคนรู้จักอยู่ที่อเมริการู้จักกับคุณลุง สมชาย และด้วยความปรารถนาของ นก ที่อยากประกวด เขาก็เลยพาเราไปเจอคุณอาสมชาย พอเขาเจอเราครั้งแรก ตีแขนเราเลยว่า หนูไปเพิ่มน้ำหนักแล้วไปประกวดธิดาช้างดีกว่าไหมลูก เพราะตอนนั้นเรามาแบบไซส์ยุโรปมาก แล้วมีเวลาปีเดียวก็จะประกวดแล้ว ตอนนั้นน้ำหนักเรา 64 กิโล แต่จริง ๆ แล้วนางงามควรต้อง 52 กิโล ตอนนั้นคือ เราก็รีบทำน้ำหนักลงตามคำสั่งเลยค่ะ ให้เราทำอะไรเราทำได้หมด ตอนนั้นที่เราฝึกเดินฝึกยิ้ม คือ ต้องฝึกให้นกแก้วดู แล้วที่เด็ดสุดคือ ลุงให้ใส่ชุดว่ายน้ำอยู่ในบ้าน อย่างมีแขกมาที่บ้านเป็นแขกสนิทๆนะคะ ที่อยู่ในวงการนางงามเหมือนกันเขาให้ใส่ชุดว่ายน้ำมาหาแขกนั่งคุยเลยเพื่อให้เราชินกันการใส่ชุดว่ายน้ำและไม่เขิน

แต่มีช่วงหนึ่งที่น้ำหนักขึ้นเยอะมากจนต้องหนีไม่ต่างประเทศ
นก ชลิดา : คือ ก่อนที่จะได้มง เราเดินทางผิด กินยาลดความอ้วน และพอได้มงมันก็ยังคงกินยาลดความอ้วนไปเรื่อย ๆ จนครบปี แล้วคือ เรากินยาลดความอ้วนมันจะมีระดับตั้งแต่แรกจนสูงสุดจนมัน โยโย่ แล้วคือเราออกงานอะไรก็ถูกคนมองว่าเป็นนางสาวไทยทำไมถึงปล่อยตัวแบบนี้ เราก็รู้สึกไม่ดี เราก็พยายามลดเองแล้ว เพราะระบบเผาผลาญมันพังไปหมดแล้ว เพราะว่าเรากินยามาร่วม 2 ปี เราก็กลับบ้านไปหาคุณพ่อคุณแม่ แล้วเราคิดว่าในชีวิตนี้เราจะไม่กินยาลดความอ้วนอีกแล้วจะมีวิธีอะไรบ้าง เพราะจากจุดนี้เลยทำให้เราไปเริ่มเรียนการรู้จักอาหาร การกิน และเรียนรู้ว่าอาหารรักษาโรคได้จริง ๆ พอเราได้เรียนรู้ รูปร่างเราดีขึ้น เราก็ทำไดอารี่ แล้วส่งมาให้ แพรว แมกกาซีน เขาตีพิมพ์ 10 ตอน ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทาง แพรว เลยบอกเราว่ารวมเล่มเป็น ไดเอท ซีเครท เถอะพอตีพิมพ์ขายดีมาก หลังจากหนังสือ ได้วางไปคือเราก็ตอบคำถามเกี่ยวกับพวกอาหารเยอะมาก และคิดว่าทำยังไงให้คนเข้าใจข้อความที่เราจะส่งออกไป เราเลยทำรายการโทรทัศน์เลยแล้วก็เกิดการเปลี่ยนเราเลยตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาเอก

และในฐานะที่เป็นคนซึ่งอยู่ในวงการนางงาม แล้วก็ต้องบอกว่ารักในวงการนางงาม ประสบความสำเร็จในวงการนางงาม และเดินทางมาจนถึงทุกวันนี้ ต้องเรียกว่าเป็นโค้ช หรือพี่เลี้ยงในแวดวงนางงามหลายเวทีมาก เห็นความเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง
นก ชลิดา : ยุคนี้นะคะ โดยเฉพาะคนที่จะไปประกวดนางงามจักรวาลปีนี้คัดเข้มข้นมากแล้วก็ในเรื่องของนางงาม นก เข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่ามันเป็น ตำแหน่งการงาน ที่เวที มิสยูนิเวิร์ส จะมีแค่ตำแหน่งเดียวแล้วคนที่มาเป็นตรงนี้ ต้องเป็นคนที่ ต้องรู้จักตัวเอง สตรอง เข้มแข็ง สู้ เป็น BOSS LADY แต่ในขนาดเดียวกันไม่ว่าเขาอยู่กับใครก็ตามต้องทำให้คนที่รู้สึกไม่ดี ทำให้เขาสามารถมีความเข้มแข็งขึ้น แต่ตัวเราเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เราต้องแยกให้ออก

แล้ววิธีการเดินมันจะมีวิธี นวัตกรรม ในการเดินเกิดขึ้น คือ แบบไหน
นก ชลิดา : ใช่ค่ะ เพราะในยุคนี้เนอะค่ะ เป็นยุค social ที่ต้องมีความโดดเด่น แล้วทุกคนต้องรู้แบนด์ของตัวเองเลยว่ามาเป็นแบบไหน แล้วที่เรารู้สึกดีใจคือเวทีประกวดเดียวนี้เขาไม่ว่าแล้วไปประกวดเวทีโน้น เวทีนี้ กลับมองให้โอกาสเป็นสกิล เป็นประสบการณ์ ซึ่งมันดีมากๆค่ะ เพราะถ้าเราเพิ่งได้นางงามมาแล้วเป็นช้างเผือก ต้องมาฝึก มันไม่ทันนะคะ แต่ถ้าเราได้คนที่พร้อมใช้เลย ถ้าเกิดว่าเขามีทักษะการเดินแบบมาแล้วเป็นอย่างดี หรือ เป็นคนที่อ่านหนังสือมาตั้งแต่เล็กๆ การตอบคำถาม เราไม่สามารถไปบอกให้เขาจดจำอันนี้ได้นะเพราะการถามมันขึ้นอยู่กับโมเมนต์ขณะนั้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ เพราะฉะนั้น Mindset ที่นางงามต้องมีแล้วต้องมีสติในการแก้ไขสถานการณ์นั้นๆที่อยู่ข้างหน้าเขาได้ด้วย

 

เรียกว่าเป็นกูรูด้านสายนางงามจริงๆเพราะ นก ก็คือ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ บิ๊นท์ สิรีธร
นก ชลิดา : ใช่ค่ะ น้องเขาเป็น Miss International Thailand น้องบิ๊นท์ สิรีธร เขาเป็นคนที่พร้อมทุกอย่างแล้วนางสาวไทยคือ เป็นปีแรกที่น้องประกวด เขาเรียนจบเป็นเภสัชกร คือ เขามีความคิดที่ดี เราช่วยน้องเขานิดหน่อยเท่านั้นเอง ซึ่งเราก็ไปศึกษามาก่อนว่าเวทีนี้เขาต้องการอะไร เขาต้องการมาโปรโมททัวริสซึ่มของญี่ปุ่น เราจะฟังและแกะมาเลยว่าการตอบที่ดีเป็นยัง ต้องแก้ไขตรงไหน เราชี้ให้ดูแต่ละคนเลย แล้วคือ น้องเขาฉลาดพอที่จะไปคิด ตัวอย่างเช่น คนดูในห้องคือคนญี่ปุ่นทั้งหมด คือ ตั้งแต่วันแรกที่เราไปคือ เราเจอกับคนญี่ปุ่นทั้งหมด เรามีความมั่นใจได้ แต่ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกๆคำถามคือ จะมีการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น เราก็บอกว่าน้องว่า เห็นไหมเวลาที่นางงามคนนี้รอเวลาที่ล่ามเขาแปลคำตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วกล้องจับไปที่หน้าแล้วตาข้างมองบนเราอย่าไปทำแบบนี้นะ เราก็แนะว่า เวลาที่เรารอให้เขาแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น เราก็ทำเสมือนว่าเราได้ตอบคำถามนั้นอีกครั้งเพื่อให้หน้าตาเราได้เหมือนยังสื่อสารกับทางคณะกรรมการและคนดูอีกครั้ง อะไรที่มันดูเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่น้องเก่งอยู่แล้ว เราแค่แชร์สิ่งเล็กๆน้อยๆที่ไปอุดรอยรั่วเขา