หลังจากเปิดเส้นเรื่องใหม่ของแฟรนไชส์ด้วยการเปิดตัวสวนสนุกไดโนเสาร์บนเกาะ Isla Nublar ไปใน Jurassic World (2015) และตามมาด้วยภาคต่อ Jurassic World: Fallen Kingdom (2018) ภาพยนตร์ที่กล้าพาแฟรนไชส์ไปสู่ในจุดที่เรื่องราวยังไม่เคยไปถึงมาก่อนด้วยการทำลายล้างอาณาจักรที่น่ามหัศจรรย์บนเกาะแห่งนี้ทิ้ง และเปิดรั้วกั้นประตูให้กลายเป็น "Jurassic World" อย่างแท้จริงที่ ณ ตอนนี้ไม่อาจย้อนกลับไป และอาจจะถึงคราวที่จะต้องเปิดยุคสมัยใหม่บนโลกใบนี้กับภาพยนตร์ปิดฉากบทสรุปแห่งยุคไดโนเสาร์สุดยิ่งใหญ่แห่งปี Jurassic World: Dominion ทวงคืนอาณาจักรhttps://www.instagram.com/p/CcVftLkrLKF/?igshid=YmMyMTA2M2Y=Jurassic World: Dominion ทวงคืนอาณาจักร ภาพยนตร์เรื่องที่สาม ปิดฉากเรื่องราวของไตรภาค Jurassic World และถือเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 6 ของจักรวาล Jurassic Park เล่าเรื่องราว 4 ปีให้หลังจากการระเบิดของเกาะ Isla Nublar เหล่าไดโนเสาร์นานาชนิด ๆ ได้เข้ามาใช้ชีวิตบนแผ่นดินเดียวกับมนุษย์ ชีวิตประจำวันปกติสุขที่คุ้นเคยจึงต้องเปลี่ยนไปท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ แต่หารู้ไม่ว่า ความลับดำมืดที่อาจจุดประกายภัยคุกคามที่น่ากลัวต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติกลับเป็นฝีมือของมนุษย์เองแอ็กชันมันส์ระเบิด ไดโนเสาร์โคตรสะพรึงhttps://www.instagram.com/p/CXwGhDorgSF/?igshid=YmMyMTA2M2Y=ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนตร์ปิดฉากบทสรุปแห่งยุคไดโนเสาร์เรื่องนี้ คือ หนึ่งในภาพยนตร์แห่งปีที่แฟน ๆ และผู้ชมทั่วโลกต่างตื่นเต้นและให้ความคาดหวังกันเป็นอย่างที่สุด Jurassic World: Dominion ทวงคืนอาณาจักร จึงได้ตอบรับระดับความคาดหวังนั้นด้วยการทำให้ภาพยนตร์อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชันไล่ล่าขนานใหญ่ที่โคตรมันส์ และดุเดือดมาก ๆ ให้อารมณ์คล้ายกับภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยของแฟรนไชส์ Fast & Furious หรือแฟรนไชส์สายลับสุดเท่อย่าง James Bond กันเลยทีเดียว แต่พิเศษตรงที่แถมพ่วงเหล่าไดโนเสาร์มาร่วมแสดงในฉากแอ็กชันด้วย มันจึงทำให้เราเหล่าคนดูทั้งรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นระทึกเป็นอย่างมากกับภารกิจเสี่ยงตายที่เหล่าตัวเอกจะต้องเผชิญhttps://www.instagram.com/p/CXMHHN5FyW6/?igshid=YmMyMTA2M2Y=นอกจากในส่วนของฉากแอ็กชันที่มีความเล่นใหญ่และตระการตาขึ้นมากจากภาคที่แล้ว ส่วนของฉากการนำเสนอความดุร้ายของไดโนเสาร์ที่ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นขั้นสุดที่ทุกภาคขาดไม่ได้ เฉกเช่นเดียวกันในภาคนี้ จะเห็นได้ว่า มีการออกแบบให้ฉากดังกล่าวมีความน่าสะพรึงกลัวและสยองขวัญสูง ทั้งฉากการเอาตัวรอดด้วยการวิ่ง หลบหนี หรือซ่อนแอบ มันทำให้เรารู้สึกได้ชัดเจนว่า ไดโนเสาร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวจริง ๆ ดังเช่น Giganotosaurus ไดโนเสาร์กินเนื้อที่ตัวใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้ามันรู้ว่าตัวเองอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารละก็ ความหวาดกลัวของมนุษย์จะยิ่งทวีคูณได้เลย ถือได้ว่าการสรรสร้างฉากแอ็กชันและฉากของไดโนเสาร์ใน Jurassic World: Dominion ทวงคืนอาณาจักร สามารถทำได้ดีเยี่ยม และเป็นส่วนที่ดีงามที่สุดของภาพยนตร์ก็ว่าได้เลยจัดเต็มแฟนเซอร์วิสhttps://www.instagram.com/p/Caz3zvjpqsa/?igshid=YmMyMTA2M2Y=อีกหนึ่งสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มอบให้แก่ผู้ชมตรง ๆ คือ การเซอร์วิสแฟน ๆ ที่ต้องบอกว่า คนดูจะต้องทึ่งเมื่อเห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เซอร์วิสแฟน ๆ มากขนาดไหน ด้วยการดึงนักแสดงจากยุค Jurassic Park อย่างสามตัวละครหลัก Dr. Alan Grant (Sam Neill), Dr. Ellie Sattler (Laura Dern) และ Dr. Ian Malcolm (Jeff Goldblum) มาร่วมจอกับหลากหลายตัวละครจาก Jurassic World อย่าง Owen Grady (Chris Pratt), Claire Dearing (Bryce Dallas Howard), Kayla Watts (DeWanda Wise), Maisie Lockwood (Isabella Sermon), Ramsay Cole (Mamoudou Athie) และตัวละครอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ในภาพยนตร์ได้ทำการแบ่งเป็นสองเส้นเรื่องหลักเพื่อบอกเล่าการผจญภัยของตัวละครทั้งสองยุคในประเด็นที่ต่างกัน ก่อนที่จะมาบรรจบร่วมกันในตอนท้ายเรื่องที่ซึ่งแม้การมาบรรจบกันของสองเส้นเรื่องจะดูแปลก ๆ ไปนิดนึง แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากคุณเป็นคนที่ติดตามมาตั้งแต่ Jurassic Park (1993) คุณจะเห็นความเชื่อมโยงหรือ Easter Eggs ที่ทำให้นึกถึงภาคเก่า ๆ เยอะมาก ซึ่งจะทำให้คุณทั้งรู้สึกขนลุกและอิ่มเอมใจสุด ๆ ที่ได้เห็นพวกเขาทั้งสองยุคมาร่วมมือกันรับมือกับความอันตรายของเหล่าไดโนเสาร์ในครั้งนี้บทสรุปที่วนลูปอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Jurassic World: Dominion ทวงคืนอาณาจักร จะเต็มไปด้วยการยกระดับความน่าตื่นเต้นของฉากแอ็กชันที่โคตรมันส์ที่สุดในแฟรนไชส์ได้ดีงามมากแค่ไหน แต่บาดแผลที่สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ บทของเรื่องราวที่ดูเหมือนขาด ๆ เกิน ๆ และวนลูปกลับมาอยู่ ณ จุดเดิม อย่างที่เรารู้กันว่าตอนจบในภาคที่แล้วได้เปิดประเด็นเรื่องของการที่โลกไม่มีสวนสนุกอีกต่อไป มนุษย์และไดโนเสาร์จึงต้องมาอาศัยอยู่ในธรรมชาติเดียวกัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นไปในทางที่ดีหรือแย่ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ หากพูดถึงความเป็นเชิงไซไฟ (Sci-fi) ของความเป็นโลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในภาคต่อไป และถือเป็นมุมมองใหม่ของแฟรนไชส์ที่ยังไม่เคยไปถึงมาก่อนhttps://www.instagram.com/tv/Cb0LAiBP9hi/?igshid=YmMyMTA2M2Y=แต่ในความเป็นจริงตัวภาพยนตร์กลับไม่ได้เล่นหรือเจาะประเด็นดังกล่าวมากนัก แถมยังเล่าเรื่องแบบรวดรัดมาก ๆ สรุปให้ผู้ชมรู้แค่ช่วงหนึ่งแล้วก็ผ่านไป และเลือกที่จะหันไปเล่นประเด็นถึงธุรกิจหรือองค์กร การกระทำของมนุษย์(อีกแล้ว)เพื่อหาผลประโยชน์จากพวกไดโนเสาร์ ที่ในครั้งนี้มาในรูปแบบของบริษัทเทคโนโลยีที่น่าจะทำให้เชื่อมเข้ากับยุคปัจจุบันมากที่สุด ที่เบื้องหน้า คือ การหาและพัฒนาความรู้เพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติ แต่เบื้องหลัง คือ การทดลองสุดลึกลับเพื่อหวังสร้างผลกำไร อันเป็นต้นเหตุของความหายนะทั้งปวง ซึ่งเป็นประเด็นสุดคลาสสิคที่มีมาตั้งแต่ Jurassic Park (1993) รวมไปถึงสองภาคก่อนหน้านั้นด้วยอย่าง Jurassic World (2015) และ Jurassic World: Fallen Kingdom (2018) ก็มีประเด็นเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเส้นทางที่เกิดขึ้นจึงเหมือนเป็นการเดินเรื่องกลับมายังที่เดิม สไตล์เดิม ๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ๆ ที่บทสรุปส่งท้ายอันยิ่งใหญ่นี้ คือ การก้าวอยู่กับที่ของแฟรนไชส์ในแง่ของเส้นเรื่อง แต่ถ้าหากจะบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการกลับสู่รากเหง้าของแฟรนไชส์ดังที่เป็นมาเมื่อ 30 ปีก่อนหรือไม่ ก็ถือว่าตัวภาพยนตร์ทำหน้าที่ตรงนี้ได้เหมาะสมอยู่ในระดับหนึ่งทีเดียวโดยสรุป Jurassic World: Dominion ทวงคืนอาณาจักร ถือเป็นบทสรุปสุดยิ่งใหญ่(ที่พูดได้ไม่เต็มปาก)ของยุคไดโนเสาร์ โดยถึงแม้ว่าตัวเนื้อเรื่องจะเป็นส่วนที่รู้สึกจำเจอย่างที่เคยเป็นมา แต่ตัวภาพยนตร์ก็ยังเต็มไปด้วยฉากแอ็กชันอันใหญ่โต มโหฬาร บวกกับการมาถึงของแฟนเซอร์วิสผู้ชมครั้งใหญ่ ก็ช่วยยกระดับความบันเทิงของภาพยนตร์ให้ดูสนุก ชวนลุ้นระทึก และน่าตื่นเต้นที่สุดที่แฟรนไชส์ชุดนี้ได้เคยมีมา7/10 - Impressive but hard to say 'good'https://youtu.be/JyXeWCrNSyE Jurassic World: Dominion ทวงคืนอาณาจักร เข้าฉายแล้ววันนี้ในทุกโรงภาพยนตร์ขอบคุณข้อมูล รูปภาพและวิดีโอที่มาข้อมูล: JurassicWorld.comภาพปก | ภาพประกอบที่ 1 | ภาพประกอบที่ 2 | ภาพประกอบที่ 3 | ภาพประกอบที่ 4 | ภาพประกอบที่ 5 จาก Official Instagram jurassicworldคลิปวิดีโอจาก YouTube: UIP Thailand*STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี`คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565