รีเซต

เอมี ชูเมอร์ ยินดีรับบทอีกครั้งใน "Barbie" ถ้าได้กลับมารับบทบาร์บี้ที่เธอต้องการ

เอมี ชูเมอร์ ยินดีรับบทอีกครั้งใน "Barbie" ถ้าได้กลับมารับบทบาร์บี้ที่เธอต้องการ
แบไต๋
5 กุมภาพันธ์ 2567 ( 07:00 )
262

เหลือเวลาอีกประมาณเดือนเศษ ๆ ที่จะได้ทราบผลว่าหนังเรื่องใดที่จะได้รับรางวัลออสการ์ไปได้มากที่สุด โดยเฉพาะบรรดาหนังตัวเก็งที่มีลุ้นรางวัลออสการ์ไม่น้อยอย่าง ‘Barbie’ (2023) ที่มีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้งหมด 8 รางวัล (จาก 7 สาขา) แม้ก่อนหน้านี้จะตกเป็นกระแสถกเถียงของฮอลลีวูด (อีกแล้ว) ว่า การที่ 2 หัวเรือใหญ่ทั้ง เกรตา เกอร์วิก (Greta Gwerwig) ผู้กำกับและเขียนบท รวมทั้งนักแสดงนำและโปรดิวเซอร์อย่าง มาร์โกต์ ร็อบบี (Margot Robbie) กลับไม่ได้มีชื่อเข้าชิงในสาขาใหญ่ ๆ ของตัวเองเสียอย่างนั้น

หลายคนอาจไม่ทราบว่า ประวัติศาสตร์กว่าที่ ‘Barbie’ ของเล่นไอคอนแห่งบริษัทแมตเทล (Mattel) จะกลายมาเป็นหนังไลฟ์แอ็กชันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของปี 2023 และกำลังกลายเป็นหนังแมสที่ยืนอยู่ในเวทีประกวดได้อย่างสง่างามขนาดนี้ ต้องติดลูปนรกแห่งการพัฒนามาอย่างยาวนาน ในขณะที่บทบาทบาร์บี้ก็เคยตกเป็นของนักแสดงหลายคน ซึ่งนักแสดงหญิงคนแรกที่เกือบได้รับบทเป็นบาร์บี้ก็คือ นักแสดงตลกสาว เอมี ชูเมอร์ (Amy Schumer) นั่นเอง ที่ได้เปิดเผยในระหว่างให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Entertainment Tonight ในระหว่างการโปรโมท ‘Life & Beth’ (2022) ซีรีส์ตลกดราม่าเรื่องใหม่ที่เธอร่วมแสดง

ชูเมอร์ นักแสดงที่เกือบได้รับบทเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ ในหนังไลฟ์แอ็กชันของค่าย Sony ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ยังอุตส่าห์หยอดมุกตลกหยอกเย้าความสำเร็จของหนัง ‘Barbie’ ว่า หนัง Barbie เวอร์ชันของเธอก็กำลังเข้าชิงรางวัลออสการ์ ‘ในอีกจักรวาลคู่ขนาน’

ก่อนเธอจะตอบคำถามว่า ถ้าหนังเรื่องนั้นของเธอยังมีอยู่จริง เธอจะยังยินดีมาร่วมแสดงด้วยหรือไม่ พร้อบกับเผยบทบาทที่เธออยากร่วมแสดงมากที่สุด นั่นก็คือ มิดจ์ (Midge) บาร์บี้ตั้งครรภ์ แฟนของอัลลัน (Allan) ที่รับบทโดย ไมเคิล เซรา (Michael Cera) ซึ่งเซราเองก็ร่วมแสดงในซีรีส์ ‘Life & Beth’ ร่วมกับชูเมอร์ด้วยเช่นกัน

“โอ้พระเจ้า ใครจะกล้าปฏิเสธหนังเรื่องนั้นกันล่ะ แต่แน่นอน ฉันอยากแสดงเป็นบาร์บี้ของอัลลัน ใช่แล้ว และฉันเองก็คิดว่าตัวเองเป็นบาร์บี้ของอัลลันด้วยนะ”

ปี 2014 คือปีแรกที่ไอเดียการสร้างหนังไลฟ์แอ็กชันของ ‘Barbie’ ได้ถือกำเนิดเป็นครั้งแรก จากการจับมือกันของ Sony Pictures และบริษัท Mattel เจ้าของลิขสิทธิ์ตุ๊กตาบาร์บี้ หลังจากเล็งเห็นความสำเร็จจากไลฟ์แอ็กชันที่ดัดแปลงจากของเล่นทั้งแฟรนไชส์ ‘Transformers’ และ ‘The Lego Movie’ (2014) ต่างประสบความสำเร็จงดงาม โดยหนังไลฟ์แอ็กชัน ‘Barbie’ ที่ Sony อยากจะให้เป็นคือ อยากเห็นบาร์บี้ที่ฉลาด ในหนังตลกที่มีความแปลกใหม่ จนกระทั่งในปี 2015 ก็ได้ เดียโบล โคดี (Diablo Cody) มือเขียนบทเจ้าของรางวัลออสการ์จาก ‘Juno’ (2007) มารับหน้าที่แก้ไขบทใหม่

แต่ปัญหาจากบทที่โคดีเขียนขึ้นก็คือ บทที่ยังเข้าไม่ถึงความฉลาด ตลก และแปลกใหม่ และต้องการกลิ่นอายของความเป็นสตรีนิยมเข้ามา ในขณะที่คาแรกเตอร์ของบาร์บี้ในเวลานั้นกับความเป็นสตรีนิยมยังเป็นสิ่งที่คนยังไม่ได้ยอมรับมากนัก Sony จึงได้จ้างนักเขียนบท 3 ราย คือ ลินซีย์ เบียร์ (Lindsey Beer), เบิร์ต วี. รอยัล (Bert V. Royal) และ ฮิลลารี วินสตัน (Hillary Winston) มาแก้ไขบทใหม่

ในปี 2016 Sony ได้เลือกบทที่วินสตันเขียน และได้ประกาศว่าชูเมอร์จะเป็นนักแสดงที่มารับบทเป็นบาร์บี้ โดยบทดั้งเดิมนี้จะแตกต่างจากฉบับหนังแบบสิ้นเชิง เพราะในบทฉบับนี้ บาร์บี้ตัวหลักจะโดนขับออกจากเมืองบาร์บี้แลนด์ (Barbieland) เพราะไม่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป และต้องไปเผชิญเรื่องราวในโลกภายนอก (ขณะที่ในฉบับหนัง บาร์บี้เป็นคนที่ค้นพบว่าตัวเองไม่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป และเลือกออกเดินทางออกนอกเมืองเพื่อค้นหาสาเหตุที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง)

แต่เสียดาย ในปี 2017 ชูเมอร์ตัดสินใจถอนตัวจากบทบาทบาร์บี้ ด้วยเหตุผลในด้านความแตกต่างด้านความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่มีเสียงวิจารณ์ว่าเธอไม่เหมาะกับบทบาร์บี้ ในขณะที่โปรเจกต์หนังก็ยังคงอยู่กับ Sony ดังเดิม

ภายหลัง โคดีได้ออกมาแฉกับ GQ ว่าบทดั้งเดิมนั้นจะมีการพูดถึงคาแรกเตอร์บาร์บี้ที่เป็น ‘Anti-Barbie’ คือเป็นบาร์บี้ที่ผิดเพี้ยนไปจากคาแรกเตอร์ปกติ ซึ่งพฤติกรรมประหลาดที่มีอยู่ในบทหนังฉบับที่โคดีพูดถึงนั้น จะมีฉากที่ให้บาร์บี้ขับถ่ายบนเตียงนอนด้วย ซึ่งก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้ชูเมอร์ถอนตัวออกไป

Sony ยังคงเดินหน้าโปรเจกต์นี้ต่อไป พร้อมกับว่าจ้างให้ โอลิเวีย มิลช์ (Olivia Milch) มือเขียนบทจาก ‘Ocean’s 8’ (2018) และได้ อะเลเธีย โจนส์ (Alethea Jones) ผู้กำกับหญิงชาวออสเตรเลีย มารับหน้าที่กำกับ พร้อมกับหานักแสดงที่จะมารับบทบาร์บี้ต่อไป

จนในที่สุดก็ได้นางเอกสาวตากลม แอนน์ แฮททาเวย์ (Anne Hathaway) มาเป็นตัวยืนเพื่อรับบทนี้ พร้อมกำหนดการฉายในช่วงฤดูร้อน ปี 2018 ในขณะเดียวกันที่โคดีเองก็ถอนตัวจากโปรเจกต์นี้เช่นกัน เพราะเธอเองมองว่าในยุคนั้น ตุ๊กตาผมบลอนด์ผิวขาวอย่างบาร์บี้ไม่ใช่ต้นแบบที่เหมาะสมในการนำเสนอความเป็นสตรีนิยมสักเท่าไร

แต่สุดท้าย ด้วยปัญหาเรื่องบทและหลาย ๆ อย่าง ก็ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกเลื่อนตารางฉายมาจนถึงปี 2020 ในขณะที่ความร่วมมือของ Mattel ที่มีกับ Sony ก็หมดลง สิทธิการสร้างหนังบาร์บี้จึงตกไปอยู่กับสตูดิโอใหม่อย่าง Warner Bros. ซึ่งในตอนแรก วางตัวให้ แพตตี เจนกินส์ (Patty Jenkins) ผู้กำกับเจ้าของผลงาน ‘Wonder Woman’ ทั้ง 2 ภาคมากำกับ และได้บริษัท LuckyChap Entertainment ของร็อบบีมาดูแลต่อ

ซึ่งร็อบบีในฐานะโปรดิวเซอร์ เป็นคนเลือกให้เกอร์วิกมาเป็นผู้เขียนบทร่วมกับคู่ชีวิตของเธอ โนอาห์ บัมบาค (Noah Baumbach) และวางตัวให้ กัล กาด็อต (Gal Gadot) มารับบทบาร์บี้ แต่ด้วยเงื่อนไขอะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้เกอร์วิกตัดสินใจมารับหน้าที่กำกับเอง และด้วยตารางงานก็ทำให้กาด็อตมาร่วมแสดงไม่ได้ จนในที่สุดก็ได้ร็อบบีมารับบทบาร์บี้เวอร์ชันมาตรฐานอย่างที่ได้เห็นกันในหนัง


ที่มา: Entertainment Tonight, Huffpost