Short Comment: Thor: Love and Thunder ธอร์: ด้วยรักและอัสนี (2022)"สนุกเปี่ยมสีสันเหมือนมีอิสระ อาจเป็นหนัง MARVEL ที่ยังไม่ดีที่สุดแต่กลายเป็นรักที่สุด (เป็นการส่วนตัว)"ดูไปบ่นไปเคยสารภาพมาหลายครั้งแล้วว่าตนเองมิใช่สาวกหนังซุปเปอร์ฮีโร่สายพันธุ์ใดๆไม่ว่าจะเป็นจากค่ายไหนจะ DC หรือ MARVEL เพียงแค่มีตัวละคร Batman หรือมนุษย์ค้างคาวมะนาวค้างคืนที่ชื่นชอบจากหนังปี 1989 ผลงานของผู้กำกับ Tim Berton และรับบทมนุษย์ค้างคาวโดย Michael Keaton ที่กลายเป็นของคลาสสิคและผู้เขียนก็มีหน้าที่ที่ต้องดูฮีโร่นกมีหูหนูมีปีกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไม่เคยขาดแม้แต่เรื่องเดียวในแบบภาพยนตร์ แต่กับหนังซุปเปอร์ฮีโร่อื่นๆไม่ว่าจะพวกเราเหล่ามาชุมนุมหรือมาเดี่ยวไม่เคยเป็นหนังในดวงใจผู้เขียนอีกเลย แต่การที่มีลูกคนเล็กที่เกิดมาพร้อมการเริ่มต้นของจักรวาล MARVEL และการได้เลี้ยงลูกให้โตมาในโลกที่หนังซุปเปอร์ฮีโร่ครองโลกตั้งแต่นั้น จึงเหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องดูหนังเหล่านี้และยอมรับว่าดู (กับลูก) ทุกเรื่อง แต่ก็ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนที่กลายเป็นหนัง MARVEL ที่ผู้เขียนรักจนกระทั่งมาเจอเรื่องนี้เป็นที่ล่าสุดเพราะทุกอย่างมีเหตุผลในตัวเองหลังเหตุการณ์สยบ Thanos เทพเจ้าสายฟ้าหุ่นถังเบียร์ Thor (Chris Hemsworth) ก็ได้ออกไปแสวงหาสัจธรรมและวามสุขสงบ (มั้ง) กับกลุ่ม Guardians of the Galaxy ที่รับบทบาทผู้พิทักษ์ไปยังดาวต่างๆที่มีภัย ในระหว่างการค้นหาสัจธรรมแบบเทพๆก็ได้คนพบรูปร่างที่ฟิตเฟิร์มอีกครั้งก่อนที่การมาของ Gorr (Christian Bale) ชายที่ถูกทรยศความศรัทธาโดยเทพจนทำให้กลายมาเป็นนักล่าผู้พิฆาตเทพขั้นเทพที่สังหารเทพมากมายแบบเทพๆ จนเรื่องลุกลามมาถึง New Asgard ที่ราชาคนใหม่ Valkyrie (Tessa Thompson) บริหารจนเฟื่องฟู ในขณะเดียวกัน Jane Foster (Natalie Portman) ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายก็ถูกพลังของค้อน Mjolnir ดึงดูดเข้าหาและกลายเป็นเทพสายฟ้าเวอร์ชั่นสตรีนามว่า Mighty Thor เพื่อช่วยกันปราบ Gorr แต่เหตุการณ์ก็ตึงมือ Thor จึงต้องไปขอยืมสายฟ้ามาเป็นอาวุธจาก Zeus (Russell Crowe) จนทำให้ Thor ออกศึกนี้ด้วย (คน) รักและอัสนีผลการสนทนาหลังดูจบระหว่างผู้เขียนกับคนรักหนังตัวเล็กที่มีภูมิความรู้เรื่องจักวาล MARVEL มากกว่า ก็ได้ความว่าหลังจาก Thor: Ragnarok (2017) แล้วเหมือนทาง MARVEL ให้อิสระกับผู้กำกับในการคิดและสร้างสรรมากขึ้นเพราะ Taika Waititi ทำออกมาทั้งสนุกทั้งปั่นทั้งมีสีสันเป็นลูกกวาด และความสนุกนั้นมันดูต่างไปจากแนวที่ MARVEL เป็นมาก่อนหน้า หลังจากนั้นมาคนดูจึงได้เห็นหนัง MARVEL ที่เป็นกำลังภายในแอ็คชั่นคอมมิดี้ปานดูหนังเฉินหลงอย่าง Shang-Chi หรือออกมาเป็นหนังผีกับ Dr.Strange ล่าสุดเป็นอาธิ ซึ่งความจริงถ้าไม่ให้ความบันเทิงพาไปทั้งหมดก็จะเห็นว่าหนัง MARVEL ในช่วงหลังมีความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เดินตามสูตรแบบเป๊ะแล้วแต่จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ผู้กำกับจะใส่ตัวตนของตนเองลงไป และกับเรื่องนี้ก็ยังใช่เพราะนี่คือหนัง Taika Waititi เต็มที่ที่มีหมดทั้งกวนทั้งปั่น ทั้งจิกกัด ทั้งรั่วเรื้อน แต่หนังก็ออกมาสนุกในแบบ Taika Waititiซึ่งถ้าเข้าใจความเป็น Taika Waititi ก็จะเข้าใจในความรั่วเหมือนวุ่นวายแต่มีแบบแผน เพราะถ้าลองมองให้ดีในความรั่วและเหมือนปั่นจัดจิกกัดเจ็บๆนั้นได้ผ่านกระบวนการคิดมาแล้วอย่างแน่นหนา ทำให้แม้บทจะดูเหมือนเป็นสองส่วนแต่มันคือเป้าประสงค์ของผู้กำกับที่จะทำให้หนังเป็นอย่างที่เขาต้องการคือปั่นๆแบบ Taika Waititi ซึ่งแน่นอนว่าคงไปเทียบกับความจัดจ้านที่มาก่อนใน Thor: Ragnarok ที่ทั้งสนุกทั้งปั่นบันเทิงแบบลงตัวไม่ได้ เพราะความจัดจ้านผ่านอารมณ์กวนอวัยวะเบื้องต่ำแบบไม่เหมือนใครในจักรวาลอย่างที่ผู้กำกับต้องการให้ออกมาแบบนั้นและมันได้ผลดี ส่วนกับเรื่องนี้อัตราความปั่นและกวนมาแบบเต็มที่ในช่วงต้นที่ไม่มีทางจะไม่สนุกสนานขบขันไปกับการเล่าตำนานของ Thor ผ่าน Korg สหายตัวหินที่ Taika Waititi แสดงเอง เพียงแต่หลังจากนั้นมันคือความพยายามใส่หัวใจลงไปในงานแบบ Taika Waititi ที่จะว่าได้ผลก็ใช่แต่ก็น่าแปลกใจไม่น้อยซึ่งส่วนตัวแล้วมองว่าก็ได้ผลเพราะจัดการอารมณ์ได้อย่างที่ต้องการเพราะหัวใจของ Thor คือ Jane และหัวใจของ Jane ก็คือ Thor ด้วยการจับเอาตัวละคร Jane Foster มาเล่นสนุก ทั้งความเป็นตัวละครที่มาเป็นหัวใจและความสนุกในการเล่นมุขผ่านบทสนทนาที่ถ้าเข้าใจก็จะสนุกตาม แต่กระนั้นในความมีหัวใจอย่างที่ว่ากลับดูคล้ายทำให้ความกวนที่เป็นของพึงมีออกมาได้ไม่เต็มที่ ก็ใช่ที่ในความกวนๆปั่นๆยังสามารถเล่นงานคนดูได้เพราะอารมณ์ของตัวละครทั้ง Thor และ Jane ยังจัดการได้และหนังก็เล่าได้ไม่มีอะไรขาดตก เพียงแต่มันเหมือนเป็นภาพที่แปลกตาไปเพราะหลังจาก Thor: Ragnarok ก็ดูเหมือน Thor จะกวนมากขึ้นแต่คราวนี้มาโดนกวนคืนมันก็คือความสนุก แต่เหมือนมันยังไม่สุดเพราะคนดูมองเห็นว่าตั้งใจจะพาอารมณ์ไปสู่บทสรุปที่รู้ๆกันอยู่ แต่เมื่อพื้นฐานมันมาจากความกวนและปั่นมิติสุดท้ายเลยดูลอยๆออกมาแต่ถ้าไม่คิดมากก็โอเคอีกสิ่งที่ทำให้หนังดูสนุกและเอาดีได้แม้จะไม่เท่ากับภาคที่แล้วนั่นคือตัวร้ายที่ได้ใจ เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเอกอย่าง Chris Hemsworth , Natalie Portman ,Tessa Thompson หรือ Taika Waititi เองคือตัวละครที่คนดูเคยเห็นและคุ้นใจ การรับผิดชอบบทจึงไม่ต้องทำอะไรมากปล่อยให้บทหนังเล่าให้ได้ก็พอ แต่สิ่งที่ดีที่สุดคงต้องยกให้ตัวละคร Gorr ที่บทตั้งใจชัดว่าจะให้เป็นตัวร้ายที่น่าเห็นใจและมีเหตุผลในตัวเองเพื่อที่จะไปจับใจตอนท้ายและมอบตัวละครใหม่ให้ ด้วยบทที่เล่าได้ดีพอตัวและ Christian Bale ก็คือยอดฝีมือที่ถ่ายทอดได้เลยทำให้ทุกครั้งที่ตัวละคร Gorr ขึ้นจอจะเหมือนเขาขโมยสายตาคนดูไปได้ และแน่นอนว่าทุกนาทีของ Gorr คนดูจะรู้สึกเข้าใจดี แถมด้วยความกวนแบบตั้งใจป่วนจัดๆของ Russell Crowe ที่ดูแล้วทั้งขำทั้งหมั่นไส้แต่ก็เล่นสนุกได้เต็มที่จริง อ้อ และต้องไม่ลืมแพะสองตัวและอารมณ์เกี่ยงงอนของอาวุธคู่กายเทพเจ้าสายฟ้าที่ต้องบอกว่า ช่างกล้าคิดแล้วทำไมถึงกลายมาเป็นหนังที่ผู้เขียนรักทั้งที่ไม่เคยรักหนัง MARVEL นั่นเพราะเพลงถูกใจและจังหวะได้จนกลายเป็นงานที่ต้องรักเป็นการส่วนตัว เพราะผู้เขียนชมชอบดนตรีแนว Heavy Metal แม้จะฟังลูกทุ่งก็ได้และมีวงดนตรีในดวงใจคือ Guns N' Roses มีความคลั่งไคล้ในเสียงกีตาร์ไฟฟ้าและเสียงร้องของ Axl Rose ที่เป็นเอกลักษณ์ของวง ก็ใช่ที่เพลงของ Guns N' Roses ได้ถูกนำมาใช้ในหนังมากมายแต่เอาเข้าจริงๆเห็นจะมีเรื่องนี้ที่คัดเอาเพลงเอกที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็คุ้นหูคุ้นใจถึงสี่เพลงจนกลายเป็นเมนหลักในการเล่าเรื่องทั้ง Welcome to the Jungle , Paradise City , November Rain และแน่นอน Sweet Child o' Mine ที่บางทีหูและหัวใจของผู้เขียนอาจไปสั่งสมองให้เห็นว่าจะหวะของการปล่อยบางท่อนของเพลงเหล่านี้ออกมามันดูลงตัวไปกับภาพที่ต้องการเล่าบนจอได้สุดกลมกลืนและอลัง ทำให้ผู้เขียนคิดว่านี่คือหนังที่ดูสนุกและเพลงประกอบเพราะที่มาถูกจังหวะทำให้กลายเป็นงานที่ชอบที่สุดในจักรวาล MARVELสรุป นี่คืองานที่เป็นทีเล่นทีจริงที่อาจดูหมิ่นเหม่ว่าอันไหนทีเล่นอันไหนทีจริงที่ดูสนุกจริง แต่เมื่อมองอย่างละเอียดจริงๆคือหนังถูกแบ่งสองส่วนอย่างที่ว่าและเปิดตัวอย่างแช็งแรงแต่เมื่อเข้าสู่โหมดของหัวใจเรื่องกลับไม่ไปให้สุดทางเพราะทีเล่นมาปนกับทีจริง จึงทำให้เหมือนมีอารมณ์ต้องการยาระบายเพราะอัดอั้นไว้ไม่สุดเพราะถ้าจะเบ่งก็คงไปได้เมื่อช่วงหลังตั้งใจมาหม่นแล้วทั้งตัวร้ายที่ดูดีและงานด้านภาพ แต่เมื่อบทมาเท่านั้นเอาแค่พอเล่าได้ต่อให้นักแสดงเล่นดีแค่ไหนก็ทำได้แค่นั้นเพราะไม่เอื้อให้ จนทำให้ในบทสรุปสุดท้ายที่ต้องการจับใจกลายเป็นไม่ได้ดังหวังเพราะถ้าสามารถจับใจได้กว่านี้อาจมีน้ำตา แต่เมื่อตั้งแต่หนังเดี่ยวของตัวเองเรื่องที่แล้ว Thor เองก็กลายมาเป็นตัวละครเน้นความบันเทิงไปแล้วก็ทำให้ถ้าเข้าใจก็จะทำใจได้ว่านับแต่นั้นมาหนัง Thor ก็คือการมาเพื่อบันเทิง และเมื่อมันยังดูบันเทิงก็นับว่ายังบรรลุผลโดยเฉพาะกับคนดูรุ่นเยาว์ แม้ว่าถ้าไม่มีเพลงประกอบของ Guns N' Roses ก็อาจดูจืดๆไปไม่น้อยดูสนุกๆได้และกลายเป็นหนังที่รักเพราะปลื้มปริ่มไปกับเพลงดูไปบ่นไปวันนี้ ในโรงภาพยนตร์ของคุณภาพประกอบภาพปก 1,2,3 / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 5 จาก Instagram marvelstudiosภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 จาก marvel.comจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !*STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลก์คนที่ชอบ 'ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี'คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565