การแสดงลิเกไทใหญ่ หรือจ๊าดไต มีลักษณะคล้ายกับการแสดงลิเกของภาคกลางของประเทศไทยเรา ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปเที่ยงงานวัด และได้ชมลิเกไทใหญ่ ที่วัดพระธาตุดอยกองมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เมื่องานวันลอยกระทงที่ผ่านมา และได้สอบถามผู้ใหญ่ที่ชอบดูจ๊าดไต ได้ความว่าต้นกำเนิดจ๊าดไต อยู่ที่รัฐฉานของพม่า มีการพัฒนามาจากการแสดงข้างถนนจนเป็นมรสพที่ยิ่งใหญ่และนิยมเล่นกันโดยทั่วไป เมื่ออังกฤษมีอำนาจเข้ามาปกครองรัฐฉานของพม่า จนเกิดสงครามขึ้น ชาวไทใหญ่บางส่วนได้อพยพมาเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณชายแดนที่ติดต่อกับบ้านห้วยผึ้ง และได้เข้าตั้งครัวเรือนที่บ้านคาหาน อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งได้นำการแสดงจ๊าดไตมาด้วย และได้คิดรูปแบบการแสดง โดยใช้เครื่องดนตรีแบบง่ายที่หาได้ในตอนนั้น เป็นการดีด สี ตี เป่า ตามลักษณะวิถีชีวิตในขณะนั้น ส่วนการแสดงจ๊าดไตในจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้นจะเป็นการผสมกันระหว่างไทใหญ่กับพม่า ทั้ง ท่าทาง การร่ายรำ แนวเพลง รวมถึงเครื่องดนตรีที่ใช้ ยกเว้นเพลงที่ร้องที่ยังคงเอกลักษณ์ของไทใหญ่อยู่ผู้ที่ทำการแสดงจ๊าดไตนั้นจะแต่งหน้าตาสวย และดูโดดเด่น เครื่องแต่งกายจะใช้ผ้าสีสดตามแบบฉบับของชาวไตนิยม ผู้หญิงจะสวมผ้าซิ่นหรือผ้าถุงสีสดใส สวมเสื้อแขนสั้นหรือแขนยาว สาบเสื้อป้ายทับไปทางด้านซ้ายหรือขวา มีผ้าสไบคล้องคอ ก่อนการเริ่มเล่นลิเกไทยใหญ่ จะมีการไหว้ครู โดยจัดเป็นพานมีเครื่องบูชาประกอบด้วยกล้วย มะพร้าว ข้าวสาร พลู บุหรี่ เมี่ยง ใบชา ดอกไม้ ข้าวตอบ ผ้าขาว ผ้าแดง เทียน ธูป ปักธงอันเล็กบนกล้วย และข้าง ๆ พานจะมีเครื่องดนตรีชนิดเป่า ที่เรียกว่า ตี่ยอ และต้องจุดเทียนให้สว่างอยู่ตลอดการแสดง ห้ามมีการจับต้องจนกว่าการแสดงจะสิ้นสุดการแสดงจ๊าดไตจะมีการคละเคล้ากันไป เช่น การขับร้องเดี่ยว ร้องคู่เกี้ยวพาราสี เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความรักของหนุ่มสาว ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก คำสั่งสอนของผู้ใหญ่ เป็นมุขที่คิดขึ้นในตอนขณะเล่น บางครั้งคนดูจะภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาไทใหญ่โบราณ ต้องเป็นคนไทใหญ่แท้ ๆ จึงจะฟังออกได้ความ และเมื่อการแสดงหนึ่งชุดจบลงก็จะมีโฆษกออกมาพูดอธิบายหรือสอดแทรกแง่คิดให้เราได้ฟังในตอนท้ายของแต่ละตอน บางครั้งคนดูจะเขียนคำถามใส่กระดาษส่งให้นักแสดง แล้วนักแสดงก็จะร้องตอบพร้อมแสดงท่าทางฟ้อนรำประกอบ ถ้าถูกใจคนดูก็จะได้รับเสียงปรบมือ โห่ร้องด้วยถูกอกถูกใจเพลงที่นักแสดงใช้ร้องประกอบการแสดงนั้น ฟังจากผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง พอจับใจความได้ว่า จะมีเพลงที่ใช้ร้องแสดงลิเกข้างถนน เพลงพื้นบ้าน เพลงที่ใช้สำหรับร้องโต้ตอบระหว่างคู่พระนาง และการแสดงละครโโยจะมีการแสดงตลกขั้นเพื่อให้เกิดความสนุกสนานแก่คนดู เรื่องที่นำมาเล่นจะเป็นละครในตำนานของไทใหญ่ ละครเสียดสีสังคม ละครประวัติศาสตร์ของไทใหญ่ ก็จะมีประมาณนี้ค่ะ เวทีในการแสดงก็จะคล้ายกับโรงลิเกของไทยเรา มีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง ซึ่งมีไม่กี่แบบ คือ ฉากป่า ฉากหมู่บ้านหรือท้องถิ่นที่อาศัย ฉากท้องพระโรงในพระราชวัง ฉากเมืองหลวง และฉากสวนดอกไม้ ผู้เขียนยืนดูด้วยความทึ่งในท่าทางการร่ายรำของนักแสดง มีชีวิตชีวาแบบแปลกตา ท่าทางของหญิงนั้นเน้นการดีดส้นเท้าเพื่อเตะชายผ้าถุงที่ยาวให้สะบัดขึ้น พร้อมกับรำฟ้อน มีลีลาฉวัดเฉวียนมาก คิดเอาเองว่าถ้าเป็นผู้เขียนคงล้มลงเพราะสุดุดชายผ้าถุงเป็นแน่เรียกได้ว่า การแสดงจ๊าดไต หรือ ลิเกไทใหญ่ มีความเป็นเอกลักษณฺ์ที่แสดงศิลปะของไทใหญ่ได้ทั้งหมด ภูมิปัญญาที่แฝงภายในการแสดงจ๊าดไต คือการรวมศิลปะไว้ทุกแขนงเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการร้อง การรำ การแสดงละคร การเล่นดนตรี และการรักษาภาษาไทใหญ่ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น... ขอบคุณภาพจาก คุณประสิทธิ์ บุญลาด