Oscars 2022 กับ 8 โมเมนต์น่ารัก-น่าชัง ความพยายาม(ดันทุรัง)เรียกศรัทธากลับคืน
ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว กับงานประกาศผลรางวัล ออสการ์ 2022 หรือ Academy Awards ครั้งที่ 94 ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งที่ ดอลบี้ เธียเตอร์ นครลอสแองเจลิส เมื่อช่วงเช้าที่่ผ่านมาตามเวลาในบ้านเรา โดยในปีนี้มีเซอร์ไพรส์อย่าง "CODA" ที่กลายเป็นม้ามืดมาซิ่วรางวัลใหญ่ที่สุดของงานไปครอง พร้อมกับอีกหลายโมเมนต์ที่เกิดขึ้นในงานปีนี้
และในวันนี้ Movie.TrueID จึงขออนุญาตมารีวิวภาพรวมของบรรยากาศงานออสการ์ 2022 ในรูปแบบ New Normal ที่พยายามจัด ๆ ที่จะเรียกความศรัทธาและกระแสเรตติ้งจากผู้ชมกลับมา กลายออกมาเป็นงานออสการ์ที่กระท่อนกระแท่นพอสมควร...
ออสการ์รูปแบบ(พยายามจะ)ใหม่
หลังจากต้องนั่งกุมขมับ เพื่อหาวิธีและแนวทางที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์ให้กับงานประกาศผลรางวัลออสการ์ในปีนี้ ไม่ให้ซ้ำรอยเดิมที่ปีก่อนทำเรตติ้งดิ่งฮวบฮาบเป็นประวัติการณ์ ทีมผู้จัดก็พยายามปรับโฉมต่าง ๆ และกระชับเวลาในการถ่ายทอดสดรางวัลมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่พวกเขาพยายามนั้น ก็มีทั้งประสบความสำเร็จและไม่ปะปนกันไปตลอดทั้งงาน
ดูเหมือนว่าการตัด 8 สาขารางวัลออกไปเป็นการบันทึกเทปและนำฟุตเทจมาเปิดแทรกคั่นระหว่างการถ่ายทอดสดนั้น เป็นซีนที่แปลกใหม่ของงานออสการ์ แต่ก็กลับลดหลั่งความลื่นไหลและความเป็นมืออาชีพในงานออสการ์ไปด้วยในคราวเดียวกัน มนต์ขลังดั้งเดิมเกือบจะเลือนหายไป ซ้ำยังลดทอนซีนหนังที่ได้รางวัลไปอย่างน่าผิดหวังด้วย
อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานออสการ์ทุก ๆ ปีก็คือโชว์เพลงประกอบภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล แต่ปีนี้สัมผัสได้ถึงความกร่อยในแต่ละโชว์ แม้ว่าศิลปินทุกโชว์จะแสดงศักยภาพและปล่อยของเต็มพลัง กลับยังไม่ใช่โชว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและรู้สึกเฝ้ารอคอยเหมือนปีก่อน ๆ แต่กระนั้นการหยิบเอาเพลงที่ไม่ได้เข้าชิงมาแสดงโชว์ด้วยนั้น ก็นับว่าเป็นโมเมนต์ที่กระอักกระอ่วนพอสมควรอยู่เหมือนกัน (เหมือนกับรับจ้างมาช่วยเขาอวยอะไรทำนองนั้น)
3 พิธีกรสาวที่เหมือนจะไม่จำเป็น
ในตอนแรกที่ได้ยินว่าจะได้ 3 สาวสายฮาแห่งฮอลลิวูด "เรจินา ฮอลล์", "เอมี ชูเมอร์" และ "แวนดา ไซก์ส" มาเป็นพิธีกรออสการ์ปีนี้ ยอมรับว่าพวกเขาเธอน่าสนใจมาก ๆ และน่าจะทำให้งานออสการ์ครั้งนี้ขบขันบันเทิงอย่างแน่นอน แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ปรากฏว่าพอถึงวันงานจริง ๆ ออสการ์ก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรแล้วก็ได้ เพราะถือว่าการทำหน้าที่ของสาว ๆ ทั้ง 3 คนนั้น ไม่ได้น่าผิดหวัง แต่เหมือนยังไม่จำเป็นมากกว่า
พวกเธอเป็นสีสันให้กับงานออสการ์ครั้งนี้เป็นอย่างดี แต่โมเมนต์ต่าง ๆ ยังไม่มีอะไรให้น่าจดจำแม้แต่น้อย อีกทั้งแอร์ไทม์ที่กระชั้นชิดแบบหายใจรดต้นคอ จะมีพิธีกรถึง 3 คนเอาไว้ทำไมกัน? ในท้ายที่สุดก็เหมือนว่าพวกเธอไม่มีซีนเลย ออกมาทำหน้าที่เหมือนตัวคั่นเวลาไปเฉย ๆ นี่จึงกลายเป็นงานออสการ์ที่ใช้พิธีกรไม่คุ้มค่าอย่างน่าเสียดาย แม้ว่าพรสวรรค์ของพวกเธอพกมาเต็มตัว และทำให้เรายิ้มตามได้ทุกครั้งที่มีซีนของพวกเธอ แต่รูปแบบการจัดงานนั้น...ไม่สอดคล้องไปด้วยกัน
ซีนต่าง ๆ ของ วิล สมิธ
อู้ววว! งานปีนี้กลัวจะเงียบเหงาไปหรือเปล่า เลยจัดซีนเด็ด ๆ มาให้ "วิล สมิธ" ได้ละเลงจัดเต็มเลยทีเดียวเชียว แน่นอนว่าเขาได้ขึ้นคว้ารางวัลออสการ์ตัวแรกในชีวิตได้สำเร็จในครั้งนี้ จากหนัง "King Richard" แต่ในงานออสการ์ปีนี้เขาก็เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะฉากเด็ดที่เปิดศึกกับ "คริส ร็อก" กลางรายการสดที่ออนแอร์ไปทั่วโลก
หลังจากที่ คริส ร็อก ปากไวแซวภรรยาของ วิล สมิธ ที่โกนผมออกทั้งศีรษะ เนื่องจากอาการของภาวะโรคผมร่วง แต่มุกตลกของคริสไม่ใช่ทุกคนจะชอบใจ วิลจึงเดินบึ่งขึ้นไปบนเวทีและง้างมือตบหน้าเขา ก่อนจะกลับมานั่งที่และตะโกนตะคอกกลับไปว่า "ปล่อยเมียผมจากปากเน่าๆ ของคุณซะ!" กลายเป็นโมเมนต์ที่ชวนช็อกคนดูไปทั้งโลก ในเวลานี้หลายฝ่ายก็กำลังไตร่ตรองว่า นี่เป็น แอคติ้ง หรือ ของจริง ปริศนานี้มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่จะไขความกระจ่างได้
แต่กระนั้น วิล สมิธ ก็ปรับเข้าสู่อีกโหมดอารมณ์ เมื่อเดินขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ ด้วยสปีชที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังของเขา พร้อมทั้งน้ำตาไหลอาบแก้ม ที่ชวนให้รู้สึกทึ่งกับทักษะการแสดงของเขามากจริง ๆ เพราะเมื่อสิบนาทีที่แล้วยังเดือดดาลกับอารมณ์ไฟลุกขึ้นทั้งดอลบี้ เธียเตอร์ แต่ก็นับว่าเป็นโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญของอาชีพนักแสดงของเขา จึงทำให้งานออสการ์ปีนี้นั้น...เป็นช่วงเวลาของชายที่ชื่อว่า วิล สมิธ
CODA ม้ามืดมาแรงแซงโค้ง
โอ้โห้...วงแตกกันเลยทีเดียว ถือว่าแอบหักปากกาเซียนกันไปไม่น้อย เพราะกลายเป็น "CODA" หนังรีเมคจากหนังฝรั่งเศสเรื่องดัง กลายเป็นหนังม้ามืดในช่วงโค้งสุดท้ายที่มาแรงมาก ๆ และในท้ายที่สุดก็โฉบคว้ารางวัลใหญ่ที่สุดของานไปอย่างเซอร์ไพรส์ นี่คือหนังที่เพิ่งจะมาตีตื้นขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์เดียวก่อนจะถึงงานออสการ์ ด้วยการเก็บแต้มบนเวทีใหญ่ ๆ ได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้มีกระแสจับตามองว่าจะเป็นหนังที่ตัดหน้ามาซิ่วรางวัลไปครองแทนที่ "The Power of the Dog" ที่เป็นตัวเต็งมายาวนานตั้งแต่เริ่มต้น
และในผลสุดท้ายก็คือ CODA ที่เข้าชิง 3 สาขา ก็สามารถเก็บกลับบ้านไปได้ทั้ง 3 รางวัล เป็นปรากฏการณ์ที่คล้าย ๆ กับในปีที่ "Little Miss Sunshine" เคยทำเอาไว้ ด้วยการเข้าชิงเพียงแค่สาขาบทกับการแสดง อีกทั้งยังเกิดกระแสในโซเชียลมีเดียที่บางฝ่ายอยู่ ๆ ก็ออกมาบอยคอตและไม่ต้องการให้หนังเรื่องนี้ได้รางวัล Best Picture ไปครอง โดยที่ไม่มีเหตุผลที่แน่ชัด แต่ถึงกระนั้น CODA ก็ถือว่าเป็นหนังที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะคว้ารางวัลออสการ์กลับไปนอนกอดเช่นกัน จากรีวิวที่ Movie.TrueID เคยบอกเอาไว้
แซ็ค สไนเดอร์ เฉิดฉาย
ถึงแม้ว่าชิ้นงานของเขาจะยังค่อนข้างห่างไกลจากความยอดเยี่ยมเชิงรางวัลของออสการ์ แต่เพราะปีนี้มีการเปิดวัดคะแนนเสียงความนิยมจากมหาชนในช่องทางโซเชียลมีเดีย ทำให้ผลงานของ "แซ็ค สไนเดอร์" ผู้กำกับชื่อดัง ติดโผเกรียงไกรไม่น้อยหน้าใครเลย เพราะผลลัพธ์ที่ออกมานั้นปรากฏว่า "Zack Snyder's Justice League" ถูกโหวตให้เป็นหนังที่มีฉากประทับใจผู้ชมมากที่สุด
ในขณะที่สาขาใหม่ของออสการ์ปีนี้ อย่าง #OscarsFanFavorite ที่เปิดให้ผู้ชมโหวตภาพยนตร์ที่ชื่นชอบเข้ามาเป็นรางวัลขวัญใจมหาชนนั้น "Army of the Dead" หนังปล้นฝ่าวงล้อมซอมบี้เรื่องล่าสุดของแซ็ค ก็คว้าตำแหน่งอันดับที่ 1 หนังที่แฟน ๆ โหวตคะแนนเสียงเข้ามามากที่สุดในปีนี้ และได้ประเดิมเก็บรางวัลนี้กลับบ้านไปเป็นเรื่องแรกและครั้งแรกอีกด้วย
เล่นดนตรีไล่ผู้กำกับ Drive My Car
เป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่แย่ที่สุดในงานออสการ์ปีนี้เลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากที่ประกาศชื่อผู้ชนะรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ที่ตกเป็นของ Drive My Car จากประเทศญี่ปุ่น ผู้กำกับชื่อดัง "เรียวสุเกะ ฮามะกูชิ" ได้ขึ้นมารับรางวัลนี้ตัวด้วยเอง พร้อมกับล่ามภาษา แม้ว่าเขาพยายามจะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดก็ตาม แต่ปรากฏว่ามีการเล่นดนตรีตัดสปีชคำกล่าวขอบคุณของเขาแบบไร้มารยาท ถึง 2 ช่วงติดต่อกัน ทั้งที่เขายังกล่าวขอบคุณไม่ทันจบ
ซึ่งโมเมนต์ก็ได้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมาก หลายฝ่ายรู้สึกเหมือนกันว่าเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทที่สุดของงานประกาศผลรางวัลในครั้งนี้ และดูเหมือนว่าผู้กำกับ เรียวสุเกะ ฮามะกูชิ ยังพูดในสุดที่ตัวเองอยากพูดไม่จบ ก็มีทั้งเสียงดนตรีและผู้เชิญรางวัลต่าง ๆ เข้ามาแทรก เหมือนกับสั่งให้เขาตัดบทและเดินเข้าหลังเวทีไปโดยปริยาย
สปีชเด็ดดวงแห่งปี 2022
งานออสการ์ในทุก ๆ ปีย่อมมี "วาทะเด็ด" ปล่อยออกมาจากศิลปินและนักแสดงที่ได้ขึ้นเวทีรับรางวัล แน่นอนว่าปีนี้ก็มีสปีชเด็ด ๆ ถูกพ่นออกมาจากปากของพวกเขามากมาย ไม่ว่าจะเป็น "อาเรียนา เดโบซ" ที่กลายเป็นนักแสดง LGBTQ ผู้หญิงผิวสีและลาตินคนแรกที่ได้รางวัลออสการ์ เธอก็ได้กล่าวขอบคุณและสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่ม LGBTQ ด้วยคำพูดที่ทรงพลังอยู่ไม่น้อย
เช่นเดียวกับ "เจสสิก้า แชสเทน" ที่ชนะนักแสดงหญิงในปีนี้ ก็มาพร้อมกับวาทะเด็ดที่กล่าวถึงสังคมปัจจุบันของกลุ่ม LGTBQ ที่กำลังถูกกดขี่และกดดันอย่างหนักจากกฎหมายที่ไม่มีความยุติธรรมและไม่สนับสนุนอย่างเพียงพอ ทั้งที่เป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกัน เป็นอีกหนึ่งสปีชที่จับใจเป็นอย่างมาก "ทรอย คอตเซอร์" นักแสดงทุพพลภาพจาก CODA ที่แม้ว่าจะกล่าวเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ภาษามือของเขาที่ถ่ายทอดออกมาเป็นคำขอบคุณก็น่าประทับใจเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมี "ยุนยอจอง" เป็นคุณป้าเกาหลีน่ารัก ๆ คอยยืนซัพพอร์ตอยู่ข้าง ๆ ยิ่งเป็นโมเมนต์ที่น่าจดจำ
และแน่นอนว่า "วิล สมิธ" กับคำพูดทั้งน้ำตาของเขา ที่ออกมาจากห้วงอารมณ์โดยแท้ ที่มีทั้งถ้อยคำขอบคุณและขอโทษ ที่อาจจะเชื่อมโยงไปถึงกรณีดราม่าหมาด ๆ กับ คริส ร็อก ด้วย พร้อมกับปิดท้ายว่า "หวังว่าอคาเดมี่จะเชิญผมมางานอีกนะครับ"
ในขณะที่วาทะเกี่ยวกับสถานการณ์โลก ทั้งภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด รวมทั้งการรุกรานและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยูเครน ก็เป็นอีกประเด็นที่มีคนดังออกมาใช้เวทีแห่งนี้เป็นกระบอกเสียงพูดถึงความโหดร้ายและรุนแรงที่เกิดขึ้น พร้อมต่อต้านวิธีการนี้ออกมาเป็นเชิงสัญลักษณ์ เห็นได้จากคนดังหลาย ๆ คนร่วมกันติดริบบิ้นสีฟ้าและเข็มกลัดที่เป็นสัญลักษณ์สีธงชาติของยูเครนนั่นเอง
แด่..ผู้พลาดรางวัลในปีนี้
ปิดท้ายด้วยโมเมนต์ของคนอกหักในงานออสการ์ ที่ปีนี้คงจะต้องยกให้ "The Power of the Dog" ที่กลายเป็นหนังตัวเต็งที่น่าสงสารสุด จากจุดเริ่มต้นที่ส่อแววมาดีและเดินสายกวาดรางวัลเพียบ แต่กลับแผ่วปลายในภายหลัง ก่อนจะคว้ารางวัลกลับไปได้แค่เพียงตัวเดียวเท่านั้น จากการติดโผเข้าชิงสูงที่สุดถึง 12 สาขารางวัล
เช่นเดียวกับ "Flee" หนังที่สร้างประวัติศาสตร์ที่เข้าชิง ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม, ภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม และ ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ทั้ง 3 สาขา พร้อมกันในคราวนี้ แต่กลับไม่สามารถเก็บรางวัลกลับบ้านไปได้เลยสักตัวเดียว ทั้งที่ตัวหนังเองก็มีศักยภาพเพียงพอมาก ๆ นับว่าเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์อกหักที่เจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก แต่ยอมรับเลยว่า...หนังดีจริง ๆ
----------------------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa