“Ford vs Ferrari” จากเรื่องราวจริงสู่จอภาพยนตร์“24hr of เลอ ม็องส์” รายการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ถูกจารึกไว้ในยุค 60 นี้คือสังเวียนของคู่ปรับแห่งยุค ที่ต้องมาฟาดฟันศักดิ์ศรีกันบนสนามแข่งว่าใครจะมีสมรรถนะความเร็วความแรงที่เหนือกว่ากันเรื่องราวการแข่งขันที่มาจากความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้บริหารค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั้งสองบริษัท อันเป็นเรื่องราวสงครามแย่งชิงความเป็นหนึ่งในผู้นำแห่งโลกนวัตกรรมยานยนต์ จนถูกนำมาถ่ายทอดลงบนจอภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูดในอีก 60 ปีให้หลังในยุคปัจจุบัน เรื่องราวที่น่าจับตามองนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ตาม Swivel มาครับย้อนกลับไปยังปี 1963 “Ford Motor Company” บริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เกิดความสั่นคลอน เมื่อยอดขายตกลงต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง “General Motor”ผู้บริหารที่ได้ฉายาว่าเป็น “Henry Ford ที่สอง” ณ ขณะนั้น เล็งเห็นถึงศักยภาพของ Ferrari ที่เป็นเจ้าในด้านความเร็วแห่งยุโรป ณ ขณะนั้นถ้าหากรถของ Ford มีการพัฒนาให้มีความเร็วความแรงเหมือนกับ Ferrari ก็อาจจะช่วงชิงตำแหน่งจ้าวแห่งผู้นำด้านยานยนต์กลับคืนมาครอง “Henry Ford II” จึงมีแนวคิดที่จะร่วมมือกันกับ “Enzo Ferrari” แต่เมื่อ Ford ยื่นข้อเสนอไปแล้ว Enzo ไม่ได้ตอบรับข้อเสนอนั้นแต่อย่างใดเลยนั่นจึงเป็นจุดที่ก่อให้เกิดความไม่ลงรอยกันของทั้งสองบริษัท ในเวลานั้นที่ Ford ประสบปัญหายอดขายตกต่ำ มิหนำซ้ำยังโดนปฏิเสธอย่างไร้ใยดีกลับมาอีก ทางเดียวที่ Ford จะทวงคืนศักดิ์ศรีความเป็นผู้นำด้านยานยนต์แห่งโลกได้ก็คือ การแข่งขันในรายการ “24hr of เลอ มองส์” รายการแข่งขันระดับโลกที่เลื่องชื่มี่สุดในเวลานั้นFord ที่ต้องมีการพัฒนารถยนต์ขึ้นอีกมากมาย เพื่อที่จะเอาชนะคู่แข่งในรายการนี้ให้ได้ จึงได้มีการก่อตั้งทีมพิเศษที่จะมาทำงานในด้านนี้โดยเฉพาะ ด้วยจุดประสงค์เดียวที่ Ford ต้องการนั่นก็คือ แก้เผ็ดเจ้าแห่งโลกยานยนต์อย่าง “Ferrari”Ford จำต้องมีนักแข่งที่มากฝีมือ พร้อมจะแหกกฎฟิสิกส์บนสนามระดับโลกอย่างบ้าคลั่ง “Ken Miles” คือบุคคลที่ในตำนานของฟอร์ด ณ ขณะนั้น และอีกหนึ่งบุคคลที่เป็นตำนานในการแข่งขันทวงศักดิ์ศรีนี้ก็คือ “Carroll Shelby” นักออกแบบรถซิ่งที่ต้องชกให้ล้มในสังเวียนในตำนานให้จงได้สงครามยานยนต์ที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์ ถูกท่ายทอดยังจอภาพยนตร์ฮอลลีวูดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความมันส์ที่บ้าคลั่งที่สุดแห่งยุค 60 บวกกับการอิงประวัติศาสตร์ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวจริงออกมาอย่างน่าสนใจ บนภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า “Ford v Ferrari”