Movie Full ReviewUs and Them : ความรักแปลกหน้าของสองเรา (2018)สัจธรรมของความรักอาจไม่ต้องลงเอย แค่ไม่ทำให้ต่างฝ่ายผิดหวังก็พอแล้วเมื่อครั้งที่ดูไปบ่นไปมีโอกาสเปิดดูหนังที่มีท่านผู้อ่านแนะนำมาที่ก็ไม่รู้ตัวว่ามองข้ามผ่านงานหนังเรื่องนี้ไปได้ยังไง แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าด้วยวัยที่ไม่ใช่น้อยและความที่ระยะหลังก็เริ่มไม่ค่อยอินกับเรื่องราวโรแมนติกของวัยรุ่นหนุ่มสาวแล้วเลยมองไม่เห็น(ไม่ใช่มองข้าม) กระมัง แต่เมื่อมีท่านผู้อ่านแนะนำมาจึงเดาว่าต้องมีดีและท่านผู้อ่านคงจะอยากอ่านมุมมองของคนในวัยขนาดนี้ว่าจะมองความรักที่ได้เห็นในเรื่องในมุมไหน และทันทีที่ดูจบความรู้สึกคืออยากลุกมาเขียนถึงเรื่องนี้ในทันทีทันใด (ณ ตอนนั้น) เพราะเกรงว่าวันเวลาแม้แต่นาทีเดียวจะทำให้ข้อจำกัดทางด้านสมองที่เริ่มสูงวัยหลงลืมความงดงามแม้เพียงน้อยนิดคงก็ยอมไม่ได้ เราจึงตัดสินใจเขียนถึงหนังเรื่องนี้เพราะเมื่อมานั่งรำลึกถึงหนังรักน้ำตารินทั้งที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรือความสูญเสียใด ที่นึกออกทันทีคงมี The Classic (คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต 2003) และ Comrades : Almost Love Story (เถียนมีมี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว 1996) ที่เรื่องหลังเหมือนมีเงามาทับบนเรื่องนี้ด้วยเค้าโครง โทนเรื่องและสัจธรรมชีวิตจนผู้เขียนกำลังจะบอกท่านว่า นี่คือหนังโรแมนติกดราม่าที่ดีที่สุดที่เคยดูมาอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีแค่ไม่กี่เรื่อง นับจากวันนี้ไปชื่อของหนังเรื่องนี้จะติดอยู่ในใจจนกระทั่งเมื่อใครมาถามเรื่องหนังรักในดวงใจคงจะเอ่ยชื่อหนังเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปากต่อจากสองเรื่องที่ว่ามา เพราะแม้ความจริงบทสรุปอาจไม่สวยงามเหมือนดั่งนิยาย แต่มันคือความสวยงามที่จะบอกว่านี่คือความจริงที่มนุษย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยง Us and Them เรื่องย่อก่อนตรุษจีนปี 2007 ที่บนรถไฟเจี้ยนชิง (จิ่งป๋อหรัน)ได้พบกับเสียวเสี่ยว (โจวตงอยู่) ในการเดินทางกลับบ้านเกิด ตัดมาในวันก่อนวันตรุษจีนปี 2018 เขาและเธอกลับมาเจอกันอีกครั้งบนเครื่องบินที่กำลังเดินทางกลับปักกิ่งในอีก 11 ปีให้หลัง จากนั้นหนังก็ตัดสลับมาที่หลังจากเจอกันในปี 2007 ที่เขาและเธอคือคนแปลกหน้าแต่วันเวลาได้ทำให้ทั้งสองผูกสัมพันธ์กันจากเริ่มต้นเป็นคนบ้านเดียวกันเป็นชนชั้นฐานรากของสังคมจีนที่มาดิ้นรนต่อสู้ในปักกิ่งเหมือนกัน เริ่มจากคนบ้านเดียวกันพัฒนามาเป็นเพื่อนแล้วเป็นเพื่อนสนิท ชีวิตของเจี้ยนชิงและเสียวเสี่ยวอาจมีทางของตน แต่เส้นทางนั้นซ้อนทับกันชัดเจนเมื่อความสนิทในฐานะเพื่อนคือการเกื้อกูลและรับฟังในทุกเรื่องของกันและกัน แล้วเส้นทางนั้นก็ทาบทับกันสนิทเมื่อเสียวเสี่ยวไม่มีที่ไปเจี้ยนชิงจึงให้เธอมาอยู่ร่วมห้องเช่าที่คับแคบเท่ารูหนูชายหนุ่มและหญิงสาวที่ใช้ชีวิตในที่แคบๆด้วยกันจึงผูกสัมพันธ์จนเป็นความรักที่เกิดมาตั้งนานแต่ไม่กล้าเผยมันออกมาเพราะกลัวสูญเสียความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน และการใช้ชีวิตเป็นชนชั้นต่ำยากจนในเมืองใหญ่ของคนหนุ่มสาวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เจี้ยนชิงและเสียวเสี่ยวมีสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวให้ฝ่าฟันความแร้นแค้นนั่นคือ "กันและกัน" แต่จะด้วยความเยาว์หรือความเขลาก็คงไม่อาจบอกได้เมื่อการใช้ชีวิตที่ผ่านมาเหมือนมองเห็นแต่ทางตัน การตัดสินใจของเสียวเสี่ยวทำให้คนทั้งสองต้องร้างลากันและนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเจี้ยนชิงที่มีเสียวเสี่ยวเป็นแรงบันดาลใจแต่เสียวเสี่ยวเลือกที่จะไม่เป็นตัวถ่วงเจี้ยนชิง จนวันที่เขาและเธอกลับมาเจอกันใน 11 ปีให้หลังทุกอย่างก็มาบรรจบกันเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ว่าไม่มีใครถูกหรือผิดที่สูญเสียความรักดีๆครั้งนั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำลายชีวิตคนทั้งคู่เมื่อความรักที่แท้จริงอาจไม่ใช่การครอบครองหรืออยู่ด้วยกันเสมอไปบทที่งดงามบนความคมคายที่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในภาวะเป็นจริงของชีวิตมีไม่บ่อยนักที่การดูหนังสักเรื่องของผู้เขียนแล้วหลังดูจบยังมีฉาก มีบทสนทนา มีสีหน้าแววตาของพระเอกนางเอกติดอยู่ในห้วงคำนึงแทบทุกนาที ซึ่งมันคือหนังเรื่องนี้ที่ได้เข้าไปอยู่ในใจแล้ว สิ่งแรกที่ชอบมากคือความคมคายแต่ไม่ดูจงใจกับความเป็นธรรมชาติของบทที่เหมือนเป็นบทสนทนาของมนุษย์จริงๆที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกจริงๆไม่ใช่มีชีวิตอยู่ในหน้ากระดาษแห่งนิยายน้ำเน่า แต่ความคมคายนั้นมาถูกที่ถูกเวลาถูกสถานการณ์เลยดูจริงไม่ใช่การปั้นแต่ง อีกสิ่งที่ชอบมากคือการเลือกเล่าเรื่องของคนสองคนที่เป็นชนชั้นล่างของสังคมจีนหรือสังคมโลก ด้วยการที่หนุ่มสาวผู้มีฝันต้องมาต่อสู้ฝ่าฟันอยู่ในเมืองใหญ่เพื่อถักทอฝันร่วมกัน และเหมือนเป็นตลกร้ายหัวเราะไม่ได้ร้องให้ไม่ออกเมื่อความแร้นแค้นมักจะเอาชนะความรักเสมอ และเรื่องนี้ก็เสนอความจริงในมุมนั้นบนความงดงามอีกอย่างคือการมองความรักในมุมที่ต่างกันเมื่อเจี้ยนชิงมีความฝันเพื่อเสียวเสี่ยว แต่เสียวเสี่ยวกลับจะมีความสุขมากกว่าหากว่าเจี้ยนชิงจะมีฝันเป็นของตนเองที่เผยจากฉากทะเลาะกันในรถ และมันคือที่มาของการตัดสินใจที่จะเดินจากไปของเสียวเสี่ยวเมื่อเธอมองว่าตนคืออุปสรรคในการถักทอความฝันของชายที่เธอรัก แต่เมื่อถึงวันนั้นเจี้ยนชิงมีโอกาสที่จะไม่สูญเสียรักครั้งนี้แต่เขากลับไม่กล้าฉุดรั้งมันไว้จึงเกิดฉากสะเทือนใจตอนที่ประตูรถไฟปิดลง เพราะบทงดงาม เพราะบทเป็นธรรมชาติ เพราะบทคือความจริงในชีวิต เพราะบทใกล้ตัวเลยปักทะลุกลางใจไม่มีคำว่าถ้า และ I Miss Youแม้อดีตจะเป็นตัวกำหนดปัจจุบันแต่สิ่งที่จีรังคือเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้ ในวันที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันด้วยความรักบนความยากเข็ญแม้กระทั่งโซฟาเก่าที่ถูกทิ้งยังมีความหมายเพราะเรานั่งด้วยกันและเรามีกันและกัน แต่เมื่อถึงวันที่เรามีทุกอย่างเรากลับไม่มีกันและกัน และถ้าวันนั้นเสียวเสี่ยวไม่ตัดสินใจจากไปหรือเจี้ยนชิงตัดสินใจขึ้นรถไฟไปทั้งคู่จะเป็นอย่างไรในวันนี้ เรื่องนี้ไม่มีใครตอบได้เพราะความจริงในชีวิตคือไม่มีคำว่าถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนอะไรที่เกิดขึ้นแล้วได้จึงเกิดฉากสะเทือนอารมณ์เมื่อเสียวเสี่ยวสารภาพว่า I Miss You แต่มันกลับหมายความว่า "ฉันคลาดจากนายแล้ว" เพราะชีวิตไม่มีคำว่าถ้า เพราะเวลาไม่เคยย้อนกลับ เพราะอดีตคือสิ่งที่ผ่านแล้วก็ผ่านเลย เพราะชีวิตที่เดินมาขนาดนี้จะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยความเสียสละของเสียวเสี่ยวได้จุดประกายความฝันและความมุมานะของชายที่เธอรักหรือการจากไปของหญิงอันเป็นที่รักคือไม้ขีดที่จุดไฟในตัวเจี้ยนชิงเมื่อเขายังคิดถึงเธอเสมอ และเขาก็แทนตัวเองเป็นตัวละครในเกมที่ชื่อเอียนที่จะบุกบั่นฝ่าฟันอุปสรรคตามหาตัวแทนของเสียวเสี่ยวในเกมที่เขาคิดไว้ตอนที่อยู่ร่วมกันที่ชื่อเคลลี่เพื่อจะเอ่ยคำว่าขอโทษ และเกมประสบความสำเร็จเปลี่ยนชีวิตเจี้ยนชิงแต่จะมีประโยชน์อะไรเมื่อไม่มีเสียวเสี่ยวอยู่เคียงข้าง และในเกมนั้นถ้าเอียนหาเคลลี่ไม่เจอโลกก็จะไร้สีสันแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียนประทับใจเมื่อสื่อออกมาผ่านงานด้านภาพที่เป็นภาพขาวดำเมื่อเขาและเธอมาเจอกันในปัจจุบัน แต่เมื่อยังตามหาหัวใจกันไม่เจอภาพนั้นก็จะไม่เปลี่ยนเป็นภาพสีจนกระทั่งเมื่อทั้งคู่ได้ตามหาหัวใจของตนเองและของคนที่รักเจอ และได้กล่าวลากันอย่างจริงใจ โลกจึงมีสีสันอีกครั้งคำถามกับความรักโง่ๆ?เมื่อความรักตั้งอยู่บนความแร้นแค้นแต่ยังทนอยู่ด้วยกันหลายคนอาจมองว่าเป็นความรักโง่ๆ แต่หากลองมองในมุมของเจี้ยนชิงและเสียวเสี่ยวจะเห็นว่าว่ามันคือความกล้าที่จะรัก เพราะเอาจริงคือหนังเผยว่าคนทั้งสองมีใจให้กันตั้งแต่แรกเจอ แม้เสียวเสี่ยวจะคบกับใครอยู่แต่ทุกครั้งที่เธออยู่กับเจี้ยนชิงสายตาเธอจะมีเขาอยู่เสมอ เช่นกันเจี้ยนชิงเองแม้จะเห็นเสียวเสี่ยวคบกับใครเขายังคงมีเธอในใจ แต่ความกลัวที่จะสูญเสียความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนจึงสร้างระยะห่างไว้จนทำนบมันทลายเพราะความรักมันเอ่อล้นผ่านความยากลำบากในการดำรงชีวิต และแม้มันอาจดูไม่ฉลาดที่เลือกที่จะคบกันในขณะที่มองไม่เห็นอนาคตแต่คือความกล้าที่จะเดินฝ่าขวากหนามไปด้วยกันทั้งที่เห็นอุปสรรคมากมายรออยู่ตรงหน้าแต่พร้อมที่จะจับมือกันไปด้วยความรักเพียงแต่ความกล้านั้นมันไปไม่สุดทางเมื่อความแร้นแค้นมันเอาชนะความรักได้ในที่สุด แต่ความคงมั่นในรักนั้นยังไม่เสื่อมคลายเมื่อถึงคราวสารภาพออกมาว่าที่ผ่านมาเสียวเสี่ยวรักเจี้ยนชิงอยู่เสมอ ส่วนเจี้ยนชิงนั้นเห็นชัดว่าภาพรอยยิ้มของเสียวเสี่ยวที่มีความสุขไม่เคยเลือนหายไปจากความฝันในใจเขากับฉากระเบิดอารมณ์ในรถ และคนดูก็ยังลุ้นว่าเขาและเธอควรจะมีความสุขร่วมกันแต่นั่นมันอาจไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง แต่ถึงที่สุดบทสรุปยังสวยงามบนความจริงนั้นว่า "เอียนจะรักเคลลี่ตลอดไป" เพียงแต่ “อย่ารอจนสายเกินไปที่จะพูดว่าขอโทษ อย่ารอจนสายเกินไปที่จะพูดว่ารัก”ส่วนเรื่องพรมลิขิต แค่ไม่ทำให้ต่างฝ่ายผิดหวังก็พอประโยคที่พ่อของเจี้ยนชิงเขียนในจดหมายถึงเสียวเสี่ยวที่อาจทำให้ขอบตาร้อนชื้น และมันคือส่วนที่ดีที่สุดในมุมของคนเป็นพ่อที่มองความรักของลูกอย่างรับรู้ พ่อที่มองออกว่าบางคราวลูกต้องเสแสร้งเพื่อให้พ่อสบายใจ บางคราวลูกก็ไม่เข้าใจ พ่อที่มองความรักของลูกด้วยการสนับสนุนและเป็นสายลมไต้ปีก พ่อที่เข้าใจโลกว่าความรักที่แท้จริงอาจไม่ใช่การครอบครอง แม้ใจพ่อจะรักและเอ็นดูเสียวเสี่ยวและอยากเห็นเธอกับลูกมีความสุขร่วมกัน แต่เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ก็ขอแค่ต่างฝ่ายต่างมีความสุขนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้เป็นพ่อ และมันพาให้ขมในคอเมื่อพ่อที่สายตาฝ้าฟางจับมือภรรยาของเจี้ยนชิงแล้วพูดว่า "เสียวเสี่ยวกลับมาแล้ว"เพราะมุมมองของคนเป็นพ่อ “ในฐานะพ่อ ไม่ว่าลูกจะคบกับใครหรือไม่ว่าจะประสบความสำเร็จไหม นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ฉันแค่หวังว่าเธอจะได้มีชีวิตในแบบที่เธอต้องการ และมีสุขภาพดี” และสิ่งนี้ก็คือความจริงอีกอย่างที่หนังสื่อออกมาให้ผู้ชมรับทราบในมุมของความรักของพ่อที่มีต่อลูกที่แฝงไว้อย่างลงตัวและกินใจ หากแต่ไม่รู้สึกถูกยัดเยียดไม่รู้สึกบีบคั้น เพราะเมื่อคนสองคนมีชีวิตวัยหนุ่มสาว มีความรัก และความรักนั้นก็กำลังเติบโตและเบ่งบานไปพร้อมๆกับการเติบโตในชีวิต แต่มีความรักอีกมุมหนึ่งที่อาจถูกหลงลืมไปนั่นคือความรักของพ่อและแม่ใช่หรือไม่การแสดงที่เชื่อหมดใจในความรักนอกจากบทที่สมจริงเป็นความจริงและเป็นธรรมชาติแล้ว สิ่งที่ส่งเสริมความจริงนั้นอย่างที่สุดคือนักแสดงที่เมคอัพไม่ให้หล่อหรือสวยเกินความเป็นชนชั้นล่างสุดของสังคม ภาวะเป็นจริงของมันคือการทำให้ดูเป็นคนธรรมดาที่สามารถเห็นได้ในชีวิตประจำวันไม่ใช่เทพบุตรเทพธิดา ประกอบกับการแสดงที่เป็นธรรมชาติที่สุดการเข้าถึงบทที่สุด ที่จริงการที่ผู้เขียนไม่ได้ติดตามงานของนักแสดงจีนมากนักอาจมีส่วนทำให้ไม่ติดภาพเขาและเธอจากบทอื่นแต่เท่าที่ดูนี่คือการแสดงระดับชั้นเยี่ยมทั้งสองคน ทั้งฉากแสดงอารมณ์ดราม่า ฉากนิ่งเงียบสื่อสารผ่านสายตา สีหน้ามีความสุขบนความทุกข์เบื้องหลัง จิ่งป๋อหรันและโจวตงอยู่รับผิดชอบได้ไม่น้อยหน้ากันและเข้ากันดีถึงดีที่สุดบนความกลมกล่อมในส่วนผสมที่พอดีไม่มีที่ติสำหรับการใส่มิติให้ตัวละครที่ความจริงลึกมาก อีกคนที่ไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้คือพ่อของเจี้ยนชิง (เถียนจวงจวง) ที่อบอุ่นและต้องจดจำ ซึ่งจะว่าไปไม่น่าเชื่อว่านี่คืองานกำกับชิ้นแรกของเรเน่ หลิว (A World Without Thieves – จอมโจรหัวใจไม่ลวงรัก แสดงร่วมกับหลิวเต๋อหัวและหลี่ปิงปิงในปี 2004) ที่งานด้านภาพสวยงามกับทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหิมะสื่อถึงความเหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยวเมื่อไม่มีกันและกันในปัจจุบัน และสื่อถึงความอบอุ่นใจในเมื่อความรักอุ่นระอุข้างในเมื่อพาร์ทอดีต ถ้ายังไม่พอการสื่อความหมายแฝงผ่านงานด้านภาพอย่างเช่นซีนกินบะหมี่สองคนและฉากที่เสียวเสี่ยวเหลือบะหมี่ไว้ให้เจี้ยนชิงก่อนตัดสินใจเดินจากมา ประกอบกับงานดนตรีที่เพราะติดหูกับความโรแมนติกปนเศร้าเศร้าซึ้งตราตรึงทำให้นี่คือหนังโรแมนติกดราม่าที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาอีกเรื่องหนึ่งในชีวิตถ้าจะมีอะไรติดในใจนิดๆคงจะเป็นอิทธิพลของงานจากเกาหลีในหนังเรื่องนี้ ซึ่งถ้ามองดีๆเรื่องนี้มีเงาของหนังเกาหลีทับลงแทบสมบูรณ์ด้วยการเดินเรื่องที่เงียบนิ่ง การสื่อสารด้านภาพ ชั้นเชิงการเล่าเรื่อง ประเด็นที่คมคายเบื้องหลังที่ทับซ้อนไว้ งานดนตรีแผ่วๆเพราะๆ ที่ถ้าลองเปลี่ยนเป็นเสียงเกาหลีอาจมีคนเข้าใจผิด ซึ่งเหมือนตลกร้ายที่เมื่อก่อนงานจากเกาหลีจะได้รับอิทธิพลจากจีนแต่ตอนนี้จีนกลับมีเงาของงานจากเกาหลีทาบไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำร้ายความงดงามของหนังเรื่องนี้ที่เป็นความสมบูรณ์แบบในความเป็นโรแมนติกดราม่า หนังให้อารมณ์เปี่ยมสุขปลื้มปริ่มตื้นตันกับความรักที่งดงามของคนหนุ่มสาว เจ็บปวดรวดร้าวโศกสลดไปกับการตัดสินใจละทิ้งความรัก หรือร้าวรานไปกับตัวละครเมื่อวันที่กลับมาเจอกันตอนที่มีทุกอย่างแต่ไม่มีกันและกัน เช่นเมื่อเจี้ยนชิงมองรถซาเล้งบรรทุกโซฟาเก่าๆที่เขาเคยนั่งกับเสียวเสี่ยวผ่านไปในวันที่เขากำลังจะซื้อบ้าน และแน่นอนมอบความเข้าใจในชีวิตที่ความจริงบนโลกหาใช่สวยงามไปทุกอย่าง พรหมลิขิตอาจไม่มีจริงสำหรับบางคน ความรักอาจไม่ใช่การลงเอยกันอย่างมีความสุขเสมอไปแต่การเลือกที่จะเห็นคนที่เรารักใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีคือความจริงแท้ ด้วยบทที่งดงามและคมคาย การเล่าเรื่องที่ไม่เร่งเร้าแต่คนดูน้ำตาไหล เรียบนิ่งแต่ทรงพลัง การแสดงที่ดีจนยากจะบรรยาย ง่ายๆคือจะมีหนังกี่เรื่องที่คุณดูจนวินาทีสุดท้ายของเอ็นด์เครดิต และด้วยความงดงามอย่างที่สุดต้องประทับตราว่า "อย่าเพิ่งตายถ้ายังไม่ได้ดู"ดูไปบ่นไป์NETFLIXขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก,ภาพที่ 1,2,3,4,5,6,7,8,9 จาก maoyan.com หมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไป บทคววามหนังโรแมนติกดราม่าที่คล้ายกันในความทรงจำ THE CLASSIC : คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต (2003) เหตุผลที่ว่า ทำไม THE CLASSIC ถึง CLASSICในความทรงจำ Comrades , Almost a love story (1996) : เถียนมีมี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว หนังรักคลาสสิค ที่เดินทางข้ามเวลามาเกินกว่า 3650 วัน *STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี` คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565