รีวิวหนัง "Tenet" สงคราม เวลา และความบ้าคลั่งจากโนแลน by Kanin The Movie
วิจารณ์ รีวิวหนัง Tenet เทเน็ท
เชื่อว่าเดือนสิงหาคม คงไม่มีใครไม่สนใจการมาของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุดจาก คริสโตเฟอร์ โนแลน อย่าง "Tenet" ผลงาน แอ็คชั่น-ทริลเลอร์-ไซไฟ ที่โนแลนยังคงหยิบเอาเรื่อง “เวลา” มาสร้างสรรค์ผ่านกฎกติกาใหม่ๆ ที่ท้าทายผู้ชมเรื่อย ๆ เสมอ (ความหมกมุ่นนี้ได้กลายเป็นลายเซ็นต์ไปแล้วเรียบร้อย)
โดยคราวนี้เขาได้นำเสนอเรื่องราวของปฏิบัติการยับยั้งสงครามโลก โดยมีเรื่องของ “เวลาย้อนกลับ” เข้ามาเกี่ยวข้อง แน่นอนว่ากลับมาคราวนี้ โนแลนได้ขนของเล่นทางภาพยนตร์หลาย ๆ ชิ้นมาให้เราได้เชยชม (จนถึงตกตะลึง) และปฏิเสธไม่ได้ว่า จากสถานการณ์ โควิด-19 ที่ทำให้โลก(ในโรง)ภาพยนตร์ตลอดปี 2020 มีสภาวะอมพาต การได้ดูเรื่องนี้บนจอ IMAX นับเป็นประสบการณ์ที่ทรงคุ้มค่าที่สุดของปี (เพราะแทบจะไม่มีอะไรใหญ่ ๆ ให้ดูแล้ว)
เอาจริงๆ เราก็จำความรู้สึกตอนดู Inception (2010) ครั้งแรกในโรงไม่ค่อยได้แล้วอะนะ แต่ที่พอจะจำได้ก็คือความงง ๆ มึน ๆ ตามหนังไม่ทันนี่แหละ (แต่ไม่รู้ว่าถ้าเอามาดูในวัยนี้จะยังรู้สึกแบบนั้นไหม) แต่สิ่งที่เรารู้สึกว่า คริสโตเฟอร์ โนแลน เก่งเสมอมา คือการฉกฉวยผู้ชมไปกับความยิ่งใหญ่ตระกาลตา ในการสร้างโมเมนต์ลงบนผลงานตัวเอง แม้ว่าคุณจะไม่ได้เข้าใจกลไกฝันอย่างครบถ้วน แต่เราก็ยังตื่นเต้นกับการซิงค์ฝันซ้อนฝัน
ฉากโรงแรมหมุน เมืองถูกพับ น้ำท่วมตึก และสารพัดซีนที่ถูกดีไซน์มาเพื่อรับใช้ภาพยนตร์อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือแม้ว่าคุณจะไม่ได้เข้าใจฟิสิกส์ อวกาศ หรือกฎแรงโน้มถ่วง เราก็ยังตื่นเต้นกับดาวคลื่นยักษ์ รูหนอน หลุมดำ หรือการ Docking ใน Interstellar (2014) อยู่ดี - เฉกเช่นเดียวกับ Tenet เราสารภาพตามตรงว่าไม่สามารถตามหนังได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ทั้งด้วยภาษาการเล่าของเขา จนถึงกฎกติกาที่จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ (และข้อมูลก็ถูกป้อนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสนุก ระทึก และตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ว่าจะภาพและเสียง โนแลนยังคงใช้ความเป็นตัวเองมาเล่าได้สดใหม่อยู่เรื่อยๆ เสมอ อาจมีทั้งที่เวิร์คบ้าง และไม่เวิร์คบ้าง ทำงานกับแต่ละคนแตกต่างกัน (อย่างเช่น เรื่องการตัดต่อ เรื่องนี้ได้ เจนนิเฟอร์ เลม คนตัด Manchester by the Sea กับ Marriage Story มาทำ คือถ้าใครดูสองเรื่องนี้มาก็จะพบหนังมีเทคนิคการลำดับเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ แต่บางคนก็ไม่ได้ชอบเมื่อมันมาอยู่กับ Tenet)
คอนเซ็ปต์การย้อนกลับของเวลานี่สุดยอดมากๆ ซึ่งอาจะต้องพูดออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือโนแลน Vis-ualize มันออกมาได้สุดยอดมาก ๆ เขาใช้งานมันมาบิดเบือนโครงสร้างหนังสายลับแบบ James Bond ให้มันกลายเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาด้วยการนำเสนอ Action Sequence ย้อนกลับ ซึ่งดูบ้าบอคอแตกมากๆ ตั้งแต่สิ่งที่เราเห็น ไปจนถึงวิธีการทำมันขึ้นมา
คือถ้าคอนเซ็ปต์ย้อนกลับไม่ได้ปรากฎในหนัง มันก็คงจะเป็นหนังสายลับทั่วๆ ไปที่เราพบเห็นได้ แต่พอหยิบมันมาประกอบกับกฎกติกาดังกล่าว คนดูก็ได้ประสบการณ์ที่น่าสนใจมากๆ เพราะเรากำลังเอนจอยกับสิ่งที่เคลื่อนที่ไปข้างหลัง ความเป็นอื่นจากชีวิตประจำวันเราถูกใช้เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับคนดู และเมื่อมันถูกทำให้ซับซ้อนขึ้น ท่ายากขึ้น เราก็ยิ่งตื่นตาตื่นใจกับมันยิ่งกว่าเดิม (แม้ว่าทำไปทำมาจะไม่ได้เข้าใจเลยก็ตาม)
อีกประการก็คือ มันสร้างภาษาใหม่ที่น่าสนใจให้กับหนัง คือจริงๆ ก็ไม่ใช่กระบวนการที่ใหม่ของโนแลน เพราะที่ผ่านมาเขาก็มักจะมอบเงื่อนไขของหนังให้คนดูก้าวเข้าสู่โลกของเขาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นโลกความฝัน (Inception) ภารกิจอวกาศ (Interstellar) หรือสมรภูมิรบ (Dunkirk) เพียงแต่เรารู้สึกว่า Tenet มันคุกคามความจริงเรามาก ๆ คือพล็อตมันไซไฟ คอนเซ็ปต์มันเหนือจริง แต่วิธีการสร้างภาษาในหนังมันรุนแรง และน่าสนใจมากๆ ตรงที่เมื่อถึงจุดหนึ่งเราอาจไม่สามารถมองภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะหนังที่เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ได้
การจะเข้าใจทั้งหมดแบบเบ็ดเสร็จ เราอาจต้องเปลี่ยนวิธีมองให้ต่างออกไป ซึ่งพอได้ดูแล้ว เรื่องมันไม่ได้ Linear แบบตอน Interstellar หรือ Inception แต่คนดูเหมือนกำลังประกอบจิ๊กซอว์แบบตอนดู Memento (2000) ที่ก็ใช้ฟอร์มการเล่าน่าสนใจเช่นกัน (การย้อนกลับ & เดินไปข้างหน้า สร้างภาวะการหลงลืมกับคนดูที่เจอชุดข้อมูลซ้อนไปมา) จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่นักหากใครดู Tenet จบจะเกิดความรู้สึกอยากดูอีกรอบ เพราะเราเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
ชอบโครงสร้างในเรื่องนี้ คือถ้าเทียบกับ Inception หรือ Interstellar ก็จะเห็นว่า Tenet ไม่ได้วางเรื่องความสัมพันธ์เป็น Structure หลักแบบที่ผ่านมา (พ่อหาทางกลับบ้านไปหาลูก / พ่อจากลาลูกไปกู้โลก) แต่เขาเข้มข้นในเรื่องของภารกิจมาก ๆ มันเลยออกมาเป็นหนังที่ดุดัน รุนแรง ไม่ได้โฟกัสกับเคมีของตัวละคร หรือความสัมพันธ์ปลีกย่อยเท่าไหร่
อาจจะชวนให้นึกถึง Dunkirk (ที่พยายามโฟกัสความเป็นมนุษย์เท่ากัน ไม่ได้สนใจ หรือให้ใครเป็นพิเศษในเรื่องเล่า) แต่มีสีสัน และน่าสนใจกว่านั้น เกิดเป็นมวลอารมณ์ที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความตั้งใจแรกไปแต่อย่างใด ซึ่งเราก็ชอบแบบนี้นะ รู้สึกว่ามันเข้ากับเส้นเรื่องปฏิบัติการดี และทำไปทำมา Execution ช่วงท้ายกลับทำงานมาก ๆ อย่างน่ามหัศจรรย์ (แต่จะเพราะอะไรต้องไปตามดูเอาเอง)
มีหลายๆ ฉากที่ตื่นเต้นสุดขีดแต่ไม่สามารถพูดได้เพราะจะเป็นการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ ตอนนี้นอกจากจะอยากเข้าไปดูอีกรอบ ก็คืออยากดู Behind the Scene อยากเห็นการ Breakdown ฉากต่างๆ ของหนังทั้งหมด เรารู้สึกว่างานโนแลนทะเยอทะยานในการ Visualize มาก ๆ เพราะเขากำลังบิดเบือนความจริงให้เราเชื่ออยู่ มันไม่ใช่โลกความฝัน หรือการเดินทางไปอวกาศ แต่มันคือโลกปกติของเราที่บิดเบี้ยว เดินถอยหลัง และก็ถูกแทรกแซงด้วยตัวละครที่เคลื่อนที่ตรงข้ามกับเวลา (จริงๆ ตรงนี้หนังจะอธิบายทุกอย่างไว้ละเอียดมาก แต่พูดหลวมๆ ก็จะประมาณนี้)
ฉากที่ได้เห็นใน Trailer แทบจะเป็นน้ำจิ้มทั้งหมดเลย เพราะของจริงดีเทลละเอียดมาก แน่นมาก เกิดคุณค่าในการตามเก็บซ้ำมากๆ อีกอย่างที่อยากชมคือเขาดีไซน์ฉากต่อสู้ดีขึ้นเยอะ ที่ผ่านมาจะรู้สึกว่างานเขาอ่อนด้านนี้ แต่กับ Tenet เราจะได้เห็นฉากต่อสู้เดือดๆ อาจจะมึนๆ มากกว่า แต่รุนแรงหนักแน่นขึ้นแน่นอน
สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยชอบใน Dunkirk เท่าไหร่ คือการพยายามเล่าภาพยนตร์ที่ดูเป็นเครื่องจักรเกินไป คือการพูดถึงสมรภูมิรบหลายๆ พื้นที่ที่สุดท้ายซิงค์กันเป็นหนึ่งเดียวในบทสรุปมันฟังดูน่าสนใจ แต่พอทำไปทำมาแล้วมันดูไม่ได้จำเป็นต้องเล่าแบบนั้นเลย ซึ่งใน Tenet ก็อาจจะมีปัญหาคล้ายๆ กันแต่อยู่ในระดับโอเคกว่า คือในจังหวะหนึ่งเราก็จะรู้สึกว่าหนังมันพยายามทำให้ยากขึ้น ท้าทายขึ้น ตามไม่ทันขึ้น แต่เกิดขึ้นโดยความไม่จำเป็นของภาพยนตร์ ซึ่งตรงนี้ไม่มีผิดไม่มีถูก เพียงแต่บางทีเราจะรู้สึกว่าหนังมันลำดับเรื่องได้กลมกว่านี้ ง่ายกว่านี้ แต่เขาจะไม่ทำ หรือในหลาย ๆ จังหวะก็จะรู้สึกว่าหนังมันเร็วมากเป็นพิเศษ ผลลัพธ์ก็คือเราไม่ค่อยได้ Take a Moment กับหนังเท่าไหร่ กระทั่งฉากสนทนา ฉากป้อนข้อมูล ก็ไปมาอย่างรวดเร็ว (ถึงบอกอยากดูอีกรอบไง 555)
โดยรวม Tenet เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ทะเยอทะยาน และน่าสนใจจาก คริสโตเฟอร์ โนแลน แม้ว่าจะไม่ได้มอบประสบการณ์ที่ขีดสุดเหมือนกับ Inception เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังเป็นงานไซไฟที่สนุก ระทึก และท้าทายสมองเราเฉกเช่นหลาย ๆ ผลงานที่ผ่านมา และแม้หลายๆ คนจะรู้สึกว่าหนังยังคงความเป็นโนแลนเอาไว้อย่างครบถ้วน แต่เราก็จะเห็นได้ว่าผลงานเรื่องนี้มีความเข้มข้นขึ้น จริงจังขึ้น ซึ่งมาพร้อมกับอารมณ์ขันที่น้อยลงเช่นกัน (แต่ก็ยังมี และทำงานเช่นเคย)
สำหรับใครที่รอคอยโอกาสอันดีในการเข้าโรงภาพยนตร์ Tenet เป็นโปรแกรมที่เหมาะสมมาก ๆ ไม่ว่าจะในโรงภาพยนตร์ปกติ หรือ IMAX (ซึ่งฉายฟิล์ม 70 มม. ด้วย) และอาจจะฟังดูเป็นมุก แต่ทางที่ดีเตรียมหาเวลาสำหรับดูรอบสองเอาไว้เลยครับ เพราะมันอาจจำเป็นกับคุณมาก ๆ แน่นอน
คุณสามารถดูหนัง Dunkirk อีกหนึ่งผลงานระดับตำนานของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้ที่ TrueID
----------------------------------------------------