'Blue Again' หนังไทยนอกกระแส แนวดรามา ที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย ได้เข้าฉายและเข้าชิงรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์หน้าใหม่ยอดเยี่ยม ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน กำกับการแสดงและเขียนบทโดย ฐาปณี หลูสุวรรณ โดยหนังเรื่องนี้มีที่มาจากงานจุลนิพนธ์ของผู้กำกับที่ทำเพื่อจบปริญญาตรี ใช้เวลาสร้างนานถึงกว่า 8 ปี ขยายเรื่องราวจนเป็นภาพยนตร์ขนาดยาวถึง 3 ชั่วโมง เรื่องย่อhttps://www.youtube.com/watch?v=1Ix5xu-g0Yc ในปี 2554 เอ เด็กสาวลูกครึ่ง หน้าฝรั่ง ผมสี รูปร่างสูงใหญ่ จากสกลนคร ตัดสินใจซิ่วจากคณะวิทยาศาสตร์ หอบกระเป๋าเดินหน้าเข้ากรุงเทพ เพื่อเรียนต่อปริญญาตรีด้านแฟชั่น เพื่อทำตามความฝันคือเปิดแบรนด์เสื้อผ้าของตนเอง และสร้างกิจการโรงย้อมครามให้แม่ อนึ่งบ้านของเธออยู่อาศัยกัน 3 คน คือ ตัวเอ แม่ และ ยาย ซึ่งอาชีพดั้งเดิมคือ ทำโรงย้อมครามเล็ก ๆ สไตล์วิถีชาวบ้าน เมื่อเข้ามาเป็นเฟรชชี่ปี 1 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอ คือการเข้าร่วมกิจกรรมรับน้อง เจอพี่ระเบียบ พี่ว้าก เบื้องต้นเอ ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกิจกรรมนี้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่จรรโลงใจและสังคม แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็เปลี่ยนใจเข้าร่วมกิจกรรม เพราะ แพร เพื่อนร่วมเอกที่พยายามผูกมิตรและให้ใจเธอ เอ อยากเป็นเพื่อนกับแพรจึงยอมทนอยู่ใต้ระบบที่ขูดรีดและกดทับ เพียงเพราะกิจกรรมเหล่านี้น่าจะทำให้เธอและแพรเป็นเพื่อนกันจนจบปี 4ต่อไปหนังก็ค่อย ๆ เล่าเรื่องในแต่ละชั้นปี ว่า เอ คนที่เป็นตัวของตัวเองจนเกินไป จนดูไม่แคร์ใคร เธอตั้งตัวเป็นปรปักษ์ต่อระบบและเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่มีใครชอบเธอ เพราะเธอไม่เอาใคร จึงไม่มีใครเอาเธอ แต่เธอก็ไม่แคร์ แต่ดูเหมือนว่าแพร จะเริ่มแคร์ เพราะเธอต้องการมีเพื่อน ต้องการคอนเนคชั่น ช่วงปี 2 เอได้ผูกมิตรกับ กันต์ เพื่อนชายร่วมรุ่น ที่ถูกระบบกดทับ แต่เข้าไม่ยอมจำนน ยอมไม่เอารุ่น แยกตัวออกมาเป็นเศษใช้ชีวิตคนเดียว และในปี 2557 เป็นช่วงที่ เอ เรียนปีสุดท้าย เธอได้กลับไปบ้านเกิดเพื่อติดตาม คราม ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการทำธีสิสแฟชั่น เพื่อใช้จบปริญญาตรี แต่การจะเลี้ยงครามให้เติบโตนั้น ก็เหมือนคน คือต้องเลี้ยงให้ดี ไม่งั้นครามก็ตาย ให้ผลผลิตไม่ได้ ซึ่งผู้ที่ดูแล คือ แม่ของเธอซึ่งปัจจุบันหมดไฟ มีชีวิตไปวัน ๆ เพื่อรอย้ายประเทศออกไปอยู่กับแฟนชาวต่างชาติ ที่นี่ เอ ได้กลับมาเจอกับ สุเมธ เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวในชีวิตมัธยมปลาย ที่เป็นเศษเกินเหมือนกันกับเธอท้ายที่สุดแล้ว เอ จะประคับประคองหม้อเลี้ยงครามของตัวเอง ไปจนจบปี 4 ได้ไหม และความสัมพันธ์ต่าง ๆ เธอจะรักษาไว้ได้ไหม หรือ ท้ายสุดเธอต้องกลายเป็นเศษส่วนเกินในชีวิตของทุกคน รับชมได้ใน Blue Again นักแสดงตะวัน จริยาพรรุ่ง รับบทเป็น 'เอ' เด็กสาวลูกครึ่ง ที่ไม่ได้รวยเหมือนลูกครึ่งส่วนใหญ่ นับถือคริสต์ โตมากับแม่และยายที่เป็นคนสกลนคร ส่วนพ่อทิ้งไป ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ และหน้าฝรั่งจึงทำให้เธอดูโดดเด่น ในแง่ของการที่คนอื่นไม่ชอบหน้า ซึ่งนิสัยของเธอก็แสดงให้คนเห็นจริงๆ คือ เธอไม่เอาใคร ไม่เกรงใจคน ไม่เข้าหาใคร ขวานผ่าซาก คุยกับแค่คนที่อยากคุย ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตน จนคนอื่นมองว่าเห็นแก่ตัว ไม่ยืดหยุ่น หรือ เห็นใจผู้อื่นเอ ไม่ใช่ตัวละครที่คนดูส่วนใหญ่จะสงสารเห็นใจ เพราะเธอไม่ใช่ดาวพระศุกร์ เอ มีหนามแหลมคม ที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย ใครลองดี เข้ามารุกล้ำ เธอก็พร้อมจะปล่อยของเพื่อทิ่มแทง หรือเพื่อบรรลุผลประโยชน์ของตน เอ ไม่อยากเอาสังคม แต่สุดท้ายเธอก็ปฏิเสธสังคมได้ยาก เพราะลึกๆ เธอก็ยังเอาตัวเองเข้าไปในสังคมของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น แพร กันต์ สุเมธ หรือ แม่ของเธอเอง อสมาภรณ์ สมัครพันธ์ รับบทเป็น 'แพร' เด็กสาวชาวกรุงเทพ บ้านอยู่แถวพาหุรัด กู้กยศ.เรียนเหมือนกันกับ เอ ตอนเรียนมัธยม แพร รู้สึกว่าตนยังใช้ชีวิตวัยรุ่นได้ไม่เต็มที่ เธอจึงขอแก้ตัวอีกครั้งในรั้วมหาลัย แพร เข้าทุกกิจกรรม และมักอุทิศตนเพื่อคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นยอมตกเป็นเบี้ยล่างของ เอ ในการช่วยทำกิจการ เอไปไหนแพรไป เอไม่ไปแพรไม่ไป แพร เริ่มรู้ตื่นเบิกบาน เมื่อเธอยอมแหกคอก เทเอ ไปเข้าร่วมกิจกรรรมออกทริปต่างจังหวัดกับรุ่น แพร คือ ภาพแทนของ คน ๆ หนึ่งที่ไม่ได้มีอุดมการณ์แรงกล้า จุดมุ่งหมายของเธอคือต้องการกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของรุ่น ไม่เหมือนกับ เอ ที่มีอุดมการณ์แน่วแน่คือ มาเรียนเพื่อเอาความรู้ไม่ได้มาเพื่อเอารุ่น เมื่อเอเริ่มออกลาย ทำให้แพรต้องตัดสินใจว่าจะยอมแปลกเหมือนเอ หรือ จะยอมทิ้งเอไว้กลางทาง แล้วเดินหน้าต่อไปกับคอนเนคชั่นที่อยู่ตรงหน้า ศรัณย์เมศ รัตนพงษ์ รับบทเป็น 'สุเมธ' เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวของ เอ นับถือคริสต์เหมือนกัน เมธ เรียนดี จนได้เป็นวิศวกร แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ทนระบบที่ขูดรีดไม่ได้ จึงกลับมาตายเอาดาบหน้าที่บ้านเกิด เมธต้องการบวชเป็นพระให้ย่าของเขา เพราะเชื่อว่าจะต่ออายุของย่าได้ โดยที่พ่อและแม่ค้านหัวชนฝา และมองเป็นเรื่องผิดบาป ณพรรธร์ ตรีผลาวิเศษกุล รับบทเป็น 'กันต์' เพื่อนร่วมรุ่นเอกแฟชั่น นิสัย introvert โลกส่วนตัวสูง เขาตัดสินใจไม่เอารุ่น หลังจากที่ถูกพี่ว้ากกดทับและริดรอนสิทธิความเป็นมนุษย์ กันต์ ชอบอนิเมะ เขาจึงมักแต่งกายแนวคอสเพลย์ และถูกเพื่อนๆในรุ่นจิดกัดอยู่เสมอ แต่กันต์ก็หาแคร์ไม่ เขารู้ว่าคนพวกนี้มาแต่เปลือก สวมหน้ากากเข้าหา กันต์จึงแยกตัวเป็นอิสระ สู้ชีวิตคนเดียวจนจบปี 4 ฉัตรรวี เสนธนิลศักดิ์ รับบทเป็น 'พี่หยก' รุ่นพี่เอกแฟชั่น เป็นคนดัง อินฟลูเอนเซอร์ เคยเป็นพี่ติวให้กับเอ ในสายตาคนส่วนใหญ่จะมองว่า เธอห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนฝูง แต่แท้จริงเธออยู่กลับกลุ่มคนเหล่านั้นเพียงเพราะต้องอยู่ การอยู่กับคนไม่ได้หมายความว่าเราอยู่กับเพื่อน ตัวพี่หยกเองก็มีภูมิหลังคือ เธอเข้าร่วมชุมนุมเมื่อปี 2553 ซึ่งสังคมสมัยนั้นยังไม่เปิดกว้าง พี่หยกต้องทนกล้ำกลืนเพราะเธอยังต้องใช้ชีวิตต่อไปในสังคม วโรชา สุนทรศิริ รับบทเป็น 'ริชชี่' ลูกครึ่งไทย-แคนาดา เพื่อนร่วมรุ่นเอกแฟชั่น ในรุ่นนอกจาก เอ จะผมสีและหน้าฝรั่ง ก็มีริชชี่นี่แหละที่เป็นเหมือนกับเธอ จะต่างก็ตรงที่ ริชชี่ ตัวเล็กกว่าและบ้านมีฐานะ ตัวเธอมีความฝันอยากเป็นนางแบบ เบื้องต้น เอ จะเป็นที่สนใจของคนในรุ่นมากกว่า แต่พออยู่ ๆ ไป ความน่ารักของริชชี่ก็สามารถชนะใจจนเป็นที่รักของคนในรุ่นได้ริชชี่ ไม่ได้เกลียดเอ เหมือนคนอื่น เธอพยายามผูกมิตรแต่กลับถูก เอ ปฏิเสธมิตรภาพนั้นอย่างไม่ใยดี สุณัฐชา กามินี รับบทเป็น 'กวาง' เพื่อนสนิทของริชชี่ พ่อทำกิจการด้านเสื้อผ้า ลุคดูไฮโซ ลูกคุณหนู เรียนเก่ง เป็นแฟนคลับของพี่หยก แต่ก็มาช็อตฟีลเพราะ พี่หยกสนิทกับเอมากกว่า กวาง พยายามผูกมิตรกับ เอ แต่ก็เหมือนเดิมคือ เอ ปฏิเสธ กวาง กลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ เอ เพราะกวางเรียนได้ที่ 1 ของรุ่น จน เอ อดได้เรียนทุนเรียนดี กวางก็เหมือนกับริชชี่ คือ เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ในรุ่น เป็นตัวเด่นตัวดัง และ ศิวกร ขจรศรัณย์พงศ์ รับบทเป็น 'น้องรหัสของเอ' ผู้ที่ถูกตั้งความหวังไว้สูง เพราะเป็นน้องรหัสของเอ ภายหลังกลายมาเป็นไก่รองบ่อนของเอ ช่วยดูแลเป็นนางแบกคอยซัพพอร์ตเอ บางครั้งก็เป็นที่ปรึกษาดึงสติพี่รหัสของตน ประเด็นที่น่าสนใจตีแผ่ชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ระบบโซตัส พี่ระเบียบ พี่วเาก ที่กดทับและริดรอนสิทธิความเป็นมนุษย์ โดยอ้างว่าที่กระทำลงไปเพราะต้องการให้รุ่นน้องมีความสามัคคี รู้จักอยู่ในกฎระเบียบ ใครที่ไม่ทำตามต้องถูกลงโทษ ซึ่งแทนที่จะไปโฟกัสกับระบบการศึกษากลับมาจำกัดกรอบที่ร่างกายผู้อื่นแทน สังคมในมหาวิทยาลัย หรือ ทุกที่ ย่อมมีบุคคลหลายประเภท ทั้ง คนที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ร่ำรวย เป็นเซเลป เป็นที่รักของใครหลายคน ประเภทต่อมา คือ คนกลาง ๆ ที่พร้อมปรับตัวเข้ากับทุกคน เพราะต้องการที่ทางรวมถึงคอนเนคชั่นในการเติบโต และ ประเภทที่สันโดษ มาเพื่อเรียนเอาความรู้ ใบปริญญา แค่ต้องการอยู่ในมุมของตน ไม่ได้อยากเป็นที่รักของใคร คนส่วนใหญ่ที่เอารุ่นและคลั่งรักหนักมากจะจับจ้องคนพวกนี้เยอะ ในชีวิตจริงมีนะที่คนหมู่มากที่เอารุ่น รวมหัวกันแบนหรือกลั่นแกล้งคนประเภทนี้ หรือ บางทีพวกคนกลาง ๆ ก็เซฟตัวเองด้วยการร่วมวงกับคนพวกใหญ่ไปด้วย เพื่อเอาตัวรอดสะท้อนเรื่องราวของบรรดา ผู้มาก่อนกาล ในทุก ๆ สังคม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไหนที่แลกมาด้วยสันติ ต้องมีการกระทบกระทั่งกัน ถึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลง ในหนังสะท้อนเรื่องราวของผู้มาก่อนกาล ไว้หลายประเด็นอาทิไม่เอารุ่น = ตัวประหลาด ต้องถูกขับออก กลายเป็นเศษ ไม่มีใครอยากคบ สะท้อนผ่านตัวละครกันต์ เขาแค่อยากแต่งตัวในแบบที่ชอบ ใส่ตุ้มหู ใส่เสื้อนศ.รัดรูป แต่ก็ยังคงความสุภาพ เอาเสื้อใส่ในกางเกง รองเท้ายังถูกระเบียบ แต่กลับถูกรุ่นพี่ประจาน ใช้ถ้อยคำเสียดสี จนกันต์เลือกที่จะเดินออกมาจากความ toxic หรือแม้แต่ เอ ที่ผมไม่ดำ เพราะเธอเป็นลูกครึ่ง รุ่นพี่ประจานและสั่งทำโทษหนักถึงขั้นเอาสีสเปรย์มาพ่นใส่ จนหัวเธอเกือบเน่า เบื้องต้นเอลุกขึ้นมาประท้วง แต่สุดท้ายก็ยอมจำนน เพราะไม่อยากให้เพื่อนที่เข้ารับน้องต้องโดนทำโทษผู้เขียนดูแล้วก็คิดว่า ไอระบบโซตัส นี่มันตัวสร้างความแตกแยกเลยนะ พี่ว้ากอะไรแบบนี้ แทนที่จะจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ ที่ไม่ริดรอนสิทธิมนุษยชน ในสมัยก่อนใครไม่เอารุ่นนี่เรื่องใหญ่เลยนะ จะถูกมองว่าแปลกแยก ตัวประหลาด และมีระบบแบบที่ในหนังมีนี่แหละ คือแบ่งพรรคแบ่งพวก คนพวกมากรุมคนพวกน้อย ดีที่สมัยนี้เรามีโซเชียล ผู้คนและหน่วยงานเริ่มตื่นตัวกับระบบโซตัสมากขึ้น จนสมัยนี้พวกหัวรุนแรงที่รับน้องแบบนี้กลายเป็นตัวประหลาด ถูกไล่ล่า รถทัวร์ไปลงแล้ว แต่ระบบพวกนี้ก็ยังคงมีอยู่ ทัศนคติทางการเมือง ยังเป็นเรื่องที่พูดสู่สาธารณะได้ยาก ผ่านตัวละครของพี่หยก ที่เคยไปเข้าร่วมชุมนุมเมื่อปี 2553 และภายหลังได้ถูกขุดเรื่องนี้ขึ้นมาแฉ หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา พี่หยกต้องกล้ำกลืนฝืนทน เธอบอกกับคนอื่นว่าแค่บังเอิญผ่านไปเฉย ๆ เพื่อเอาตัวรอดในสังคม เพราะอาจตกเป็นเป้าของสังคมในตอนนั้นที่ยังอยู่ในยุคล่าแม่มด ชาวคริสต์แบบใด ผ่านตัวละคร สุเมธ เขาอยู่ในชุมชนคริสต์ บรรพบุรุษนับถือคริสต์ เมื่อเขาเกิดมาศาสนาก็ย่อมต้องนับถือตามผู้ให้กำเนิด แต่เมื่อโตขึ้นเขากลับสนใจในศาสนาพุทธ ซึ่งเมธทำได้เพียงแอบอ่านหนังสือพุทธศาสนา และทนใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้ต่อไปจนเรียนจบทำงาน วันหนึ่งเมื่อย่าของเขารอดตาย โดยบอกว่าพระมาช่วยชีวิตไว้ในฝัน เมธจึงอยากบวชเพื่อต่ออายุของย่า และย่าเองก็ต้องการให้เป็นแบบนั้น แต่พ่อและแม่ของเมธค้านหัวชนฝา หากเมธทำเขาจะกลายเป็นคนบาปในทันที ประเด็นเรื่องศาสนาในยุคปัจจุบันมีการหยิบยกขึ้นมาพูดในวงกว้างมากขึ้น แต่ในสมัยของเมธ สามารถถูกล่าแม่มดได้บ้านที่มีบางทีก็เหมือนไม่มี อยู่ในบ้านของตนแต่เหมือนอยู่ในบ้านของคนอื่น ผ่านตัวละคร สุเมธ ที่เขาโตเรียนจบทำงานแล้ว แต่ก็ยังนอนห้องเดียวกับพ่อแม่ ไม่มีอิสระที่แท้จริง จะทำอะไรก็อยู่ในสายตาพวกเขาหมด พ่อและแม่ชอบกะเกณฑ์และตั้งความหวังกับเขามากเกินไป จนเมธไม่มีที่ว่างได้หายใจและลองถูกลองผิด ค้นหาคำตอบว่าชีวิตของตนต้องการอะไรและอีกตัวละคร คือ เอ แม่ของเอ อยากจะไปจากสกลนครและประเทศไทยนานแล้ว แต่ที่ยังอยู่ก็เพราะต้องทน แง่หนึ่งผู้เขียนมองว่าเพราะเอยังเรียนไม่จบ แม่เลยพยายามกัดฟันส่งเรียนให้จบ เพื่อที่แม่จะได้ไปตามทางของตน แม่คือคนที่จิตใจไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว อาจจะนานตั้งแต่ตอนที่พ่อเอทิ้งไป แม่อับอาย และชาวบ้านแถวนั้นตีตราว่าแม่ถูกผัวทิ้ง ถ้าเอรั้งแม่เอาไว้ ก็จะได้ไว้แค่ร่างกายของแม่ เอนอนเตียงเดียวกับแม่และยาย แต่เธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนอยู่กับคนแปลกหน้าแม่ก็ไม่ใช่แม่คนเดิม ยายก็เฉยชาจนเกินไป ฉากที่ชอบซีนหน้ากระจกห้องน้ำหญิง ที่เอไปล้างสีสเปรย์ที่ถูกพ่นทับสีผมจริงของเธอ แล้วพี่หยกเข้ามาเห็นพอดี พี่หยกชวนคุยปกติ หน้าระรื่น เหมือนกับสิ่งตรงหน้าเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่รุ่นน้อง 4 คนยืนล้อมพี่หยกที่ล้างมืออย่างหน้าตาเฉย โดยไม่คิดจะ take action อะไรสักอย่าง เราไม่เห็นพี่หยกร่วมวงระบบโซตัส แต่เธอก็ ignore ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าและพร้อมซุกมันเอาไว้ใต้พรมตลอดไป สายตาของรุ่นน้องทั้ง 4 กินขาดจริง ๆ ซีนที่เอคุยกับริชชี่บนรถ ไดอะล็อกและการแสดงเป็นธรรมชาติมาก เท้าความก่อนว่าริชชี่คือเพื่อนสนิทของกวาง ซึ่งกวางกับเอดูจะมาคุกันมาก ฟีลคู่แข่ง ไม่ถูกกัน ไม่มีวันรักกันได้ แต่ริชชี่แยกแยะ อยากผูกมิตรกับเอ แต่ลึก ๆ เธอก็น้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเป็นลูกครึ่งเหมือนกัน แต่เธอตัวเล็กกว่าเอมาก และคนส่วนใหญ่จำได้แต่เอ เอมาแย่งความเด่นความยูนีคไปจากเธอ ที่เอยอมขึ้นรถของริชชี่เพราะแพรอยากขึ้น พอเหลือกัน 2 คน แล้วริชชี่เริ่มเปิดประเด็นก่อน แรก ๆ ก็ไปด้วยดี แต่สุดท้ายเอก็ปล่อยหนามคมของเธอออกมาทำลายบรรยากาศการสนทนาและมิตรภาพที่ริชชี่ยื่นมาให้ เราดูแล้วอึดอัดดี ซีนที่เอมีปากเสียงกับเพื่อนร่วมรุ่น เรื่องงานแฟชั่นโชว์ ไดอะล็อกและการแสดงดูสมจริง ฟีลคนทะเลาะกันจริง ๆ แรงกับแรงมาเจอกัน เอไม่แคร์ใครอยู่แล้วเป้าหมายเธอคือมาเพื่อตัวเอง ลากยาวไปจนถึง ฉากที่เอมองแพรเป็นอื่น ไปจนถึงฉากที่เอรู้จากปากแพรว่าแท้จริงแล้ว เพื่อนรุมว่าแค่เอแต่ปล่อยผ่านเรื่องของแพรไป ทำให้เแหลุดด่าเพื่อนออกไป โดยที่ไม่รู้ว่าทุกคนแอบหลังฉากเพื่อรอเซอร์ไพรส์วันเกิดแพร เป็นวันที่ร้าย ๆ ของเอ ที่เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและแตกสลายหนักมากซีนที่เอเคลียร์ใจกับแพร หลังจากที่แพรทิ้งเอไปรวมกลุ่มกับพวกกวางและริชชี่ แพรแอบช่วยเอลับหลัง ตอนที่กลุ่มของตัวเองไม่อยู่ เมื่อพวกนั้นมาแพรจะรีบกลับไปที่เดิม ทำห่างเหินกับเอ เหมือนเอเป็นอากาศ แพรใจร้ายถึงขั้นไม่ช่วยเอตอนเอเดือดร้อนหนักมาก เพราะกลัวคนอื่นเห็น ซึ่งเอเปรียบเหมือนเธอเป็นเมียน้อยที่แพรต้องแอบเมียหลวงมามีสัมพันธ์ด้วย แพรพยายามหาความชอบธรรมให้กับตัวเอง ฟีลตบหัวแล้วลูบหลังซีนท้าย ๆ เรื่องความสัมพันธ์ของเอและกันต์ ถึงแม้กันต์จะไม่ได้สนิทกับเอ และเอไม่ได้ก้าวล่วงเข้าไปในชีวิตของกันต์มากนัก แต่ตอนที่เอเดือดร้อนก็มีกันต์นี่แหละที่เข้าใจและให้ความช่วยเหลือ กันต์ไม่ได้สุดโต่งมากเท่าเอ ที่พยายามไขว่คว้าและรักษาความสัมพันธ์อะไรไว้มากนัก ฟีลของกันต์คือถึงไม่สนิทแต่ยามเดือดร้อนก็พึ่งพาได้ เป็นเพื่อนที่ไม่ต้องเจอกันบ่อย แต่ใส่ใจ และคอยช่วยเหลือ รอดูความสำเร็จของเราซีนสุดท้ายการตัดสินใจของเอ ที่เลือกถ่ายรูปหน้าคณะแค่คนเดียว เธอเลือกเจ็บแล้วจบอยู่กับตัวเอง เป็นการปิดฉากช่วงชีวิตของการเป็นนักศึกษาที่เจ็บปวดและงดงาม สุดท้ายทุกคนล้วนเข้ามาเพื่อเดินจากไป ต่อจากนี้จะมีแค่เอเดินหน้าต่อไป เธอต้องประคับประคองหม้อครามของเธอเอง ภาพรวมของหนังบทภาพยนตร์ เรื่องนี้เน้นเล่าเรื่องด้วยบทสนทนา เป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนใหญ่บทเป็นธรรมชาติดีค่ะ ดูได้ ฟังรู้เรื่องไม่เข้าถึงยากจนเกินไป ตัวละครหลัก อย่าง เอ และ เมธ เป็นคนอีสาน แต่ไม่มีหลุดพูดภาษาถิ่นเลย ตรงนี้คิดว่าอาจจะต้องการสื่อถึงความแปลกแยกจากสังคมบ้านเกิดตัวหนังไม่ได้เข้าใจยากหรือดูยาก ไม่ต้องคิดซับซ้อนมาก เพราะเนื้อเรื่องส่วนใหญ่พูดถึงชีวิตของเอ เน้นเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเธอกับคนรอบข้าง เรื่องราวดูเข้าถึงได้ เป็นเรื่องที่สามารถเจอได้ในชีวิตจริง พาร์ทชีวิตมหาลัยถ่ายทอดได้ดี สมจริงในแง่ของสถานการณ์ต่าง ๆพาร์ทสกลนครอันนี้อาจต้องตั้งใจดู และคิดตามในหลาย ๆ ประเด็นการแสดงของนักแสดงหลัก เล่นได้ดีเราชอบพาร์ทของ เอ และ แพร โดยเฉพาะแพรเล่นเป็นธรรมชาติ และมีการปรับเปลี่ยนบุคลิก ทะศนคติ การแสดงออกตามช่วงวัยนั้น ๆ ส่วนพาร์ทสกล เราว่าการแสดงของนักแสดงบางคนอาจมีติดขัดอยู่บ้าง แต่อย่างว่าเรื่องนี้นักแสดงล้วนเป็นหน้าใหม่ ประมาณนี้คือโอเคแล้วสถานที่ถ่ายทำ ฉากมหาวิทยาลัยถ่ายที่คณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ สวยและเสริมบรรยากาศในเรื่องได้ดีเลยค่ะฉากที่สกลก็แปลกตาดี เทศกาลแห่ดาว สวยงาม การเลือกดำเนินเรื่องในชุมชนที่นับถือคริสต์ก็น่าสนใจ งานภาพรวมถึงโปรดักชั่น เราดูแล้วให้อารมณ์ยุคเมื่อ 10 กว่าปีก่อนจริง ๆ ช่วงแรกเราดูแล้วต้องไปย้อนดูเลยว่าหนังถ่ายปีอะไร การกำกับเราดูแล้วเหมือนหลุดไปอยู่ในยุคนั้น ฉากที่ตัวละครบอกว่ากรุงเทพฯ เริ่มหนาว เราดูแล้วก็หนาวตามจริง ๆ ฉากที่สกลฯ รวมถึงได้เรียนรู้เรื่องครามไปในตัวโดยรวมตัวหนังถือว่ายาวมาก แต่เราดูได้เรื่อย ๆ นะ อย่างที่บอกหนังมันไม่ได้อินดี้ มันคือชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ที่ต้องต่อสู้ ดิ้นรน และจัดการความสัมพันธ์ต่าง ๆ เพื่อพาตัวเองไปเพาะพันธุ์ในกระถางและสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการเติบโต อย่างที่บอก ครามก็เหมือนกับมนุษย์ เลี้ยงดีมันก็เติบโตดี ดูแลไม่ดีมันก็ตาย ถือว่าเป็นหนังแนว Coming Of Age อีกเรื่องที่แนะนำให้รับชมเลยค่ะให้คะแนนภาพรวม 8/10 คะแนนรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ทาง Netflix เครดิตภาพหน้าปกออกแบบโดย canva่ภาพพื้นหลังหน้าปก ภาพที่ 1 ภาพประกอบหน้าปก ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5ภาพประกอบเนื้อหา tha.thapanee.l : ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 / ภาพที่ 11 / ภาพที่ 12 / ภาพที่ 13 / ภาพที่ 14ลิงก์คลิปวิดีโอประกอบเนื้อหา Thapanee Loosuwan : คลิปที่ 1 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !