Series Full Review : Squid Game : สควิดเกม เล่นลุ้นตายไม่ใหม่ไม่ยากเกินแนว ลูกเล่นและชั้นเชิงยังเป็นของเก่า แต่ลูกล่อลูกชนกลับทำให้กลายเป็นความเก๋าNETFLIX : 1 Season 9 Episodes (2021)ถ้าว่ากันที่ในสองสามปีหลังมานี้งานจากเกาหลีดูจะมีอิทธิพลมาขึ้นในเวทีโลกเพราะความสำเร็จของ Parasite (2019) ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงขั้นไปถึงรางวัลออสการ์ ทว่าหากติดตามงานจากเกาหลีมาก่อนหน้านั้นก็จะพอทราบว่า การเขียนบทของเกาหลีดูเข้าท่าเข้าทางมานานแล้วเพียงแต่แค่รอเวลาที่ความลงตัวและเข้าถึงผู้คนจะสมบูรณ์เมื่อไหร่เท่านั้น ดังนั้นเมื่อค่าย NETFLIX ได้เริ่มมีการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นซีรีส์เกาหลีที่ดูต่างจากซีรีส์เกาหลีที่เคยได้ดูกันจึงน่าสนใจ เมื่อมาตรฐานงานซีรีส์ NETFLIX ได้ถูกรังสรรค์ผ่านงานด้านบทและการแสดงที่อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดขายอีกอย่างของเกาหลี จึงมีซีรีส์เกาหลีที่ดูเป็นความต่างแต่เป็นความลงตัวที่ดูแปลกไปมาให้เห็นเช่น Extracurricular (2020) หรือ Move To Heaven หรือล่าสุดอย่าง D.P. ที่ความจริงอาจจะมีรสชาติที่แปลกลิ้นไปจากงานซีรีส์เกาหลีที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ที่เคยสัมผัสกันมา อีกอย่างที่ดูไปบ่นไปรู้สึกได้คือความเก่งในการปรับแต่งหรือการเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ แล้วใช้บทที่ดีปรับ ตัด แต่ง เติมใส่ชั้นเชิงและลูกเล่นเข้าไปทำให้เหมือนเป็นความสดใหม่ในความเก่า เช่นเดียวกับซีรีส์ NETFLIX Original จากเกาหลีที่ผู้เขียนต้องลัดคิวดูให้จบก่อนเพราะหลบสปอยล์ ผลที่ได้คือไม่ได้มีอะไรใหม่ไม่ได้ยากต่อการคาดเดา ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแนวของงานแนวเอาชีวิตรอดซึ่งมันชัดเรื่องความสนุกอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ดูมีความต่างคือสิ่งที่เรียกว่า "ลูกล่อลูกชน" Squid Gameเรื่องย่อซงกีฮุน (อีจุงแจ) คือมนุษย์ผู้ล้มเหลวในชีวิตที่เปิดตัวมาพร้อมกับชีวิตที่เหลวแหลกเต็มที่เมื่อเขาเองยังอยู่บ้านแม่ผู้ชรา และแม่ให้เงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการพาลูกสาวที่อยู่กับภรรยาเก่าไปทานข้าววันเกิด แต่กีฮุนกลับขโมยกดเงินในบัญชีแม่ไปเล่นพนันม้าแข่งแล้วก็ตามมาด้วยหายนะ เมื่อสิ้นไร้หนทางเขาก็ได้เจอกับชายลึกลับ (กงยู) ที่มาท้าให้เล่นเกมแล้วมอบนามบัตรประหลาดให้เขา และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่สังเวียนเกมที่มีผู้เล่น 456 คนซึ่งกีฮุนคือผู้เล่นคนสุดท้าย ด้วยกติกาง่ายๆคือเอาชีวิตให้รอดในการเล่นแต่ละเกมไปเรื่อยๆจนเหลือผู้ชนะคนสุดท้ายจะได้รับรางวัลเป็นเงินมหาศาลและทุกคนที่เข้ามาอยู่ในเกมก็คือคนที่อับจนในการใช้ชีวิตที่ต่างกันไป และที่นั่นกีฮุนก็ได้เจอกับโจซังอู(พัคแฮซู) รุ่นน้องที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กที่เป็นความภูมิใจของย่านซังมุนดง ในที่สุดเกมที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพันก็ได้เริ่มขึ้นแต่...ความตายที่สยดสยองของผู้เล่นเกมที่ไม่ผ่านก็ทำให้เหล่าผู้เล่นกลัวจนโหวตกันเพื่อยุติเกม ทว่าการออกมาจากพื้นที่เล่นเกมเหล่าผู้เล่นก็ได้พบกับความจริงที่ว่าโลกไม่มีความปราณีกับพวกเขาเลย ถึงที่สุดเมื่ออยู่ในโลกแห่งความจริงก็ไม่ต่างจากตายไปแล้ว เหล่าผู้เล่นจึงยอมกลับมาสู่เกมชีวิตนี้อีกครั้ง ซึ่งนอกจากกีฮุนกับซังอูแล้วยังมีผู้เล่นที่บุคลิกที่น่าสนใจอีกหลายรายเช่น คังแซบยอค (จองโฮยอน) หญิงสาวชาวเกาหลีเหนือที่เคยล้วงกระเป๋ากีฮุน ชายชราที่ป่วยสมองเสื่อมที่จำชื่อตัวเองยังไม่ได้ (โอยองซู) รวมถึงจางด็อกซู (แฮซุงแท) นักเลงชั้นต่ำที่หักหลังได้กระทั่งลูกน้อง ฮันมีนยอ (คิมจูรยอง) มนุษย์ป้าปากปลาร้าที่มีที่มาไม่เด่นชัด และอาลี(อานุภาม ทรีปาตี) แรงงานต่างด้าวชาวปากีสถาน ที่ต้องมาร่วมเกมนี้เพื่อเงินรางวัลเปลี่ยนชีวิตตัวเองและครอบครัว อีกด้านหนึ่งสายสืบฮวังจุนโฮ (วีฮาจุน) ที่กำลังสืบหาพี่ชายที่หายสาปสูญไปก็สงสัยอะไรบางอย่าง จึงได้แอบเข้าไปเป็นพนักงานในเกมเพื่อสืบความจริงว่าอะไรคืออะไรแล้วเกมก็เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางการใช้สันดานดิบของมนุษย์มาเป็นตัวขับเคลื่อน เมื่อผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดการรวมกลุ่มจึงเริ่มขึ้นเพื่อเกาะกลุ่มคานอำนาจกัน แต่ทว่าสิ่งที่ผู้เล่นหลงลืมไปคือนี่คือเกมที่ต้องแลกด้วยชีวิตไม่คนอื่นตายก็ต้องเป็นตัวเองและผู้รอดชีวิตต้องมีเพียงหนึ่งเดียว และการรวมกลุ่มก็คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ผูกมัดโดยไม่จำเป็น แล้วคนแบบไหนถึงจะเอาชีวิตผ่านไปจนถึงจุดสุดท้ายคนสุดท้าย ที่ความจริงก็ไม่ได้ยากต่อการคาดเดาเพียงแต่บางครั้งของบางสิ่งก็ไม่ใช่ความหมายของทุกสิ่ง เมื่อการผ่านไปจนถึงเส้นชัยต้องแลกกับชีวิตและความรู้สึกข้างในที่ไม่มีวันหวนคืนมาเก่าแต่เก๋าด้วยลูกล่อลูกชนทำให้เรื่องที่ไม่ยากต่อการคาดเดายังคงแพรวพราวเรื่องของเกมชีวิตที่ต้องมีผู้รอดชีวิตได้เพียงหนึ่งเดียว จะด้วยเหตุผลใดหรือวิธีการใดก็ตามจะมีเส้นเรื่องที่ถูกขีดไว้หนาๆอยู่เสมอ แล้วมันก็เป็นสูตรนั้นเสมอมาเมื่อการดูเรื่องนี้ก็ยังมีภาพของงานอย่าง Alice In Borderland , The Hunger Game หรือที่ยังไงก็ต้องคิดถึงอย่าง Battle Royale มันคือสูตรสำเร็จที่ไม่ต้องคาดเดาถึงจุดสุดท้ายของเกมว่าที่สุดจะเหลือใครมาถึงสุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้ชนะ ยิ่งบทออกตัวมาเลยว่านี่คือเรื่องของเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดทาสีตัวละครเพื่อนสนิทในวัยเด็กให้ออกมาคนละโทนยิ่งไม่ต้องเดา เพราะมันชัดเจนแล้ว ยังรวมถึงตัวละครที่รู้เลยว่าคนไหนจะไปถึงตรงไหนเพราะสีของตัวละครชัด ด้วยชั้นเชิงที่เล่นมาจนปรุแล้วในเรื่องของไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่มิลลิเมตร ซึ่งเรื่องที่เก่าเก็บแบบนี้ถ้าจะให้ได้ผลดีบทต้องมีความน่าเชื่อถือหรือแน่นพอที่จะมองไม่เห็นหรือมองข้ามจุดเล็กจุดน้อยได้ซึ่งเรื่องนี้เป็นอย่างหลัง เมื่อยังมีจุดเล็กจุดน้อยที่ยังขาดนิดเกินหน่อยแต่ที่ยังออกรสอร่อยจนลืมมองไปก็คือชั้นเชิงและลูกเล่นเดิมๆได้ถูกปล่อยออกมาถูกจังหวะเวลา บางอย่างก็ต้องบอกว่าเข้าใจเล่นเช่นเกมแผ่นน้ำตาลจึงกลายเป็นความเร้าใจตามสูตรที่กดสูตรติด แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ดูแปลกตาไปคือลูกล่อลูกชนที่ปะทะกับอารมณ์คนดูเป็นพักๆมีจังหวะบีบจังหวะคลาย เช่นเมื่อเข้าไปในเกมแล้วยังสามารถตัดสินใจออกมาได้เพื่อมาเจอกับความจริงที่โหดร้ายและมันคือดราม่าที่มาตรงๆไม่มีแอบแต่เล่าบนความหมายแฝงในเรื่องของสังคมเมื่อทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง แล้วเหตุผลนั้นก็มีจุดเริ่มต้นที่ต่างกันไปตามอุปนิสัยของตัวละคร มันคือการทาสีตัวละครอย่างที่เอ่ยมาแล้วให้คนดูตัดสินใจว่าถ้าเป็นตัวเองจะกลับไปหรือไม่ แล้วค่อยไปใส่รายละเอียดข้างในด้วยเรื่องของสันดานดิบของมนุษย์ แล้วสีของตัวละครที่ถูกทานั้นก็มอบลักษณะตัวละครให้คนดูรู้สึกรัก เฉยๆ และเกลียดที่ส่งผลต่ออารมณ์คนดูเมื่อถึงเวลาที่ต้องบีบ อีกส่วนที่ทำให้พลังยังดีไม่มีตกจนบางคนอาจสามารถดูรวดเดียวจบได้คือความไม่ถนอมน้ำใจ เพราะนี่คือเกมที่วัดกันด้วยชีวิตบทจึงชี้นำให้คนดูรู้สึกผูกพันและมีหัวใจยึดติดกับตัวละคร เพื่อพาไปยังหน้าผาแล้วผลักลงมาซึ่งมันมองเห็นความจงใจแต่มันคือความตั้งใจที่ทำให้เรื่องมีมิติเมื่อใครบางคนไม่ได้เป็นอย่างที่คิด สันดานดิบที่ถูกเก็บซ่อนไว้ได้ใบหน้าเหมือนกับสังคมปัจจุบันที่ต่างใสหน้ากากเข้าหากัน แต่ลูกล่อลูกชนแบบนี้ก็ส่งผลต่อการปิดซ่อนบางอย่างในเรื่องที่กะจะให้คนดูอึ้งตอนท้าย แต่เมื่อเล่าถึงจุดหนึ่งคนดูจะเดาออกแล้วและเรื่องราวก็กลายเป็นความง่ายไปในช่วงหลัง เพราะเป็นการเล่าเรื่องที่ตรงเกินไปไม่ได้พลิกผันให้รู้สึกว่าต้องหลบสปอยล์ให้ได้ กับอีกสิ่งที่พาไปสุดทางคือความสงสัยและความตื่นเต้นที่ยังคงมอบความเร้าใจ ผ่านการเล่นกับความรู้สึกเรื่อยๆจนถึงนาทีสุดท้ายก็ว่าได้ชนิดจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันในการโดนบีบอารมณ์ของคนดูจะสูงต่ำขนาดไหนต่างกันไปมีเงินมหาศาลแต่กลับสิ้นไร้ทุกสิ่งแม้ว่าเรื่องของจุดสลบใหญ่ที่เป็นเรื่องหลักอาจไม่ได้ยากต่อการคาดเดาและบทสรุปยังคงเป็นไปตามแนว แต่รายละเอียดปลีกย่อยก็ยังมีให้สัมผัสถึงอะไรที่ควรหรือไม่ควรบอกออกมาบ้าง เมื่อแท้จริงแล้วเรื่องนี้อาจฟาดงวงฟาดงาใส่มิติทางสังคมเต็มที่แต่ทุกเรื่องราวก็ถูกเล่าให้มีมุมมองที่ต่างกันไป เมื่อพื้นฐานของตัวละครต่างมีสีสันที่ต่างกันแม้ทุกคนจะมีเป้าหมายเดียวคือเงินจำนวนมหาศาลในกระปุกหมู ซึ่งมันคือเหตุผลเดียวกันแต่จุดเริ่มต้นเป็นความต่างที่เหมือนกันเมื่อแต่ละคนต่างก็มีความดำมืดในชีวิต บทจึงได้บอกกับคนดูว่าบางคนก็ถูกภาวะทางสังคมทำร้ายและตัดโอกาสการใช้ชีวิตไป บางคนก็เริ่มต้นจากจุดที่ว่าแล้วความพยายามที่จะแก้ตัวหรือพยายามดิ้นรนได้ทำให้ยิ่งจมลึกจนกระทั่งกลายเป็นมนุษย์ที่สิ้นทุกอย่าง บางคนก็เริ่มมาจากความโลภและเชื่อมั่นในตัวเองจนพาตัวเองไปสู่จุดอับ หรือบางคนที่ต่ำตมโดยเนื้อแท้ (ซึ่งใครเป็นใครให้ไปดูแล้วนึกภาพเอง) แต่ทุกคนที่เป็นมนุษย์ย่อมมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่หนึ่งอย่างนั่นคือสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด เมื่อทางรอดจากชีวิตที่ถูกตราหน้าว่าล้มเหลวอันเนื่องมาจากปัญหาสังคมอีกหรือไม่ และที่ยืนตรงนั้นมันมีแค่ที่เดียวสิ่งที่ตามมาคือสันดานดิบและกฎแห่งป่าเมื่อผู้แข็งแกร่งคือผู้เอาชีวิตรอด บทจึงขับเน้นเรื่องของสันดานดิบออกมาอย่างเต็มที่เมื่อผู้แข็งแกร่งที่สุดอาจไม่ใช่มีร่างกายที่แข็งแรง แต่อาจเป็นคนที่มีสมองที่คดเคี้ยวเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแต่ถึงที่สุดก็ได้บอกว่าแม้มนุษย์ทุกคนอาจมีสันดานดิบหรือมีสัญชาตญาณสัตว์ป่าก็จริง แต่ในส่วนลึกแล้วยังคงมีความดีงามเหลืออยู่ข้างใจแม้ว่าในบางคนอาจมีเพียงเศษเสี้ยว และสิ่งที่หล่อหลอมให้กลายเป็นแบบนี้ก็วกกลับมาที่บริบททางสังคมที่แก่งแย่งอีกเช่นเคยจนกลายเป็นวังวนที่ไร้ทางออก เพราะทุกจุดเริ่มต้นของทุกตัวละครก็ล้วนมาจากการพยายามมีที่ยืนในสังคมทั้งสิ้น แต่ที่ยืนนั้นก็ไม่ต่างจากเกมที่เล่นเมื่อผู้ที่ท้อแท้อ่อนแอก็ต้องตกรอบไปพร้อมกับชีวิตที่ดับสูญ แต่...เงินคือทุกสิ่งทุกอย่างจริงหรือ ก็ใช่ที่เงินสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แต่เมื่อมีเงินมหาศาลแต่กลับสิ้นไร้ทุกอย่างเช่นเดียวกับในเรื่อง เมื่อความพยายามมีเงินจากการเล่นเกมนั้นคือการพยายามรักษาบางอย่าง แต่เมื่อได้เงินมาสิ่งที่พยายามรักษาก็ไม่อยู่อีกต่อไป แล้วยิ่งแย่ไปกันใหญ่เมื่อหัวใจยอมรับไม่ได้เพราะเงินที่ได้มานั้น ต้องผ่านการเหยียบย่ำลงบนคราบเลือดและซากศพของคนที่เคยกินนอนมาด้วยกัน อาจบางทีเหมือนดูย้อนแย้งกับสังคมปัจจุบันแต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ใช่หรือไม่ว่า เรื่องราวที่ถูกบอกเล่ามามันคือความจริงที่ถูกหลงลืมไปเพราะสายตาไปจับจ้องในสิ่งที่สังคมกำหนดเมื่อการแสดงมันได้เลยพาเรื่องที่ง่ายๆไปได้จนถึงฝั่งของความบันเทิงในความเห็นส่วนตัวผู้เขียนเลยคือนี่คืองานด้านบทที่ไม่ได้เลิศหรูจนไร้ที่ติ มีบางเรื่องที่ตัดทิ้งได้เช่นเรื่องของการค้าอวัยวะ เรื่องของการสืบหาตัวพี่ชายที่เหมือนจงใจให้มาเป็นความน่าสงสัยระหว่างทางหรือเรื่องบางเรื่องก็ถูกบอกเล่าอย่างเบาบางไป การเล่าเรื่องก็เดินตามสูตรเกินไปหรือเรียกง่ายๆว่ายังขาดๆเกินๆอยู่บ้าง แต่สิ่งเหล่านั้นก็มองข้ามไปได้ด้วยความสนุกเร้าใจ และสิ่งที่พาไปได้ถึงจุดนั้นได้คงต้องคารวะเรื่องของการแสดง ง่ายๆเลยในตอนแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นการเจอกันของกงยูกับอีจุงแจที่ต้องเรียกว่าเป็นการเผชิญหน้าแห่งความทรงจำหรือเป็นนาทีทองของเรื่องเลยก็ว่าได้ถ้าว่ากันที่เรื่องของการประจันหน้ากันของสองยอดนักแสดง เพราะมันดูลื่นไหลเชื่อถือได้แม้ว่าจะมีมาแค่ไม่กี่นาทีแล้วหลังจากนั้นก็ส่งไม้ต่อให้อีจุงแจกับพัคแฮซูที่ยังไม่เคยทำให้คนดูที่ชื่นชอบการเล่าเรื่องผ่านการแสดงเข้มๆได้ผิดหวังเลยสักครั้ง ทั้งสองคนคือตัวละครที่ดูเหมือนแต่ก็ดูต่างเป็นสองขั้วสองสีที่ชัดเจน และการที่จะทำให้หัวใจคนดูรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะเทใจให้ให้ใครนั้นต้องมาจากการแสดงที่ดูไม่น่าไว้ใจใครของนักแสดงทั้งคู่ ที่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเอ่ยถึงมิติตัวละครได้มากกว่านี้เพราะจะทำให้เสียอรรถรสในการรับชม เอาเป็นว่าท่านที่ได้ดูแล้วจะทราบว่ามิติตัวละครของทั้งสองคนได้พาเรื่องเดินไปอย่าทรงพลัง ตัวอย่างง่ายๆคือเมื่อตอนที่ต้องยิ้มตอนถ่ายรูปท่านรู้สึกว่านั่นคือรอยยิ้มจริงๆหรือเป็นความตั้งใจซึ่งถ้าจะว่ากันที่เรื่องของการแสดงพาบทไปเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นเบอร์ต้นๆ เช่นความสัมพันธ์เพียงไม่กี่อึดใจของแซบยอคกับจียองที่มีเวลาเล่าเพียงไม่กี่นาที แต่คนดูรู้สึกได้ว่าสื่อสารกันได้ด้วยใจจริงๆผ่านการแสดงของจองโฮยอนกับอียูมี และที่น่าทึ่งคือสำหรับคนแรกนี่คืองานแสดงชิ้นแรกของเธอ หรืออย่างอีบยองฮอนที่อาจไม่มีอะไรให้เล่นมากแต่ก็มีนาทีที่น่าจดจำที่ริมหน้าผา และที่มองข้ามไม่ได้คือการแสดงของคุณปู่โอยองซูที่แสดงให้เห็นว่านักแสดงอาวุโสเต็มไปด้วยฝีมือการแสดงระดับสูง และเรื่องนี้คุณปู่มอบความน่าสงสัยปนน่าสงสารแต่ก็ดูอบอุ่นได้อย่างน่าจดจำ หรือกระทั่งนักแสดงสมทบคนอื่นๆที่ไม่ว่าใครที่มามีบทพูดแม้ไม่กี่วินาทีก็รู้สึกได้ว่าไม่ใช่การแสดง เพราะเอาตามจริงคือทุกคนที่มาเล่นเรื่องนี้ไม่ใช่จะเล่นกันได้ง่ายๆ การสื่อสารออกมาถึงความสิ้นหวัง ความหดหู่ ความหวาดกลัวในแววตาต้องทำให้เชื่อให้ได้ทุกคนไม่ใช่แค่นักแสดงหลัก แต่ใครก็ตามที่กล้องไปจับภาพใบหน้าคนดูจะไม่รู้สึกว่านี่คือการแสดง เพราะแม้กระทั่งบทเล็กบทน้อยก็ยังสื่อในสิ่งที่บทต้องการได้ นับว่านี่คือเรื่องที่มีการแสดงที่จัดจ้านและละเอียดมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งมันทำให้ความเร้าใจมันเกิดได้และทวีความแรงขึ้นได้เมื่อสถานการณ์บีบ เพราะคนดูเชื่อได้สนิทใจว่าพวกเขารู้สึกเช่นนั้นจริง กลัวจริง สิ้นหวังจริง และมีหัวใจจริงๆนี่คือความบันเทิงคุ้มค่า เพราะผู้เขียนเองอายุก็ไม่น้อยแล้วต้องมาทรมานสังขารยิงยาวจนจบเก้าตอนจนดึก แต่เมื่อดูจนจบก็ยังคิดว่าเรื่องหลักก็ไม่ถึงกับต้องหลบสปอยล์อะไรที่ควรเดาได้เดาออกหมด แต่สิ่งที่ควรต้องซ่อนไว้คือรายละเอียดปลีกย่อยที่เป็นปัจจัยหรือตัวแปรต่อความคิดการตัดสินใจและความน่าเชื่อถือของตัวละครมากกว่า ซึ่งก็ถือว่า เป็นการหยิบเอาเรื่องที่เก่าที่เล่ามาแล้วซ้ำๆให้ออกมาดูดูสนุกโดยมีรายละเอียดเป็นตัวกำหนด กระนั้นความสนุกและเร้าใจส่วนหนึ่งคือมันคือของมันต้องมีของเรื่องแนวนี้อยู่แล้ว ด้วยเรื่องของการต้องเอาตัวรอด เรื่องของเวลา พื้นที่แคบๆ ที่สูง กระจก ความยากของเกมผ่านการตัดสินใจ สิ่งประดานี้มันคือสิ่งที่ต้องมีอยู่แล้วตามสูตรแต่จะได้ผลในระดับไหนมันอยู่ที่จังหวะและลูกล่อลูกชนซึ่งเรื่องนี้จัดว่าสอบผ่านฉลุย เพราะทีแรกผู้เขียนเองก็กะจะทยอยดูดันกลายมาเป็นดูรวดเดียวจบ และส่วนหนึ่งที่ต้องยอมรับคือการแสดงพาไปได้มากด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่แรกเริ่มการแสดงของอีจุงแจก็สะกดผู้ชมได้แล้วเพียงแต่นั่นมันคือสิ่งที่เห็นมาจนชินจากผลงานของเขา แต่ทันที่ที่อีจุงแจเจอกับกงยูความรู้สึกจึงไม่ต่างจากการดวลกระบี่ของสองยอดจอมยุทธ แล้วพอเข้าสู่เกมอีจุงแจต้องมาตัดกับพัคแฮซูที่ไม่ได้น้อยหน้าในเรื่องการแสดง มันจึงเป็นมิติที่ดูดีขึ้นมากเพราะการแสดงที่ยอดเยี่ยมจนเชื่อได้จะพาผู้ชมไปถึงจุดหมายได้โดยที่มองข้ามบางเรื่องที่ถูกแทรกเข้ามาเหมือนเป็นส่วนเกิน หรือการที่เรื่องเริ่มทื่อในครึ่งหลังแล้วเดินหน้าเป็นงานเอาชีวิตรอดตามสูตรแบบเต็มตัว ก่อนที่จะกลับมาเป็นความคมคายในตอนสุดท้ายทำให้การจบแบบลุ้นให้มีซีซันต่อไปกลายเป็นที่น่าจดจำ เพราะบางทีงานบางงานบทที่ดีแต่การแสดงง่อยก็อาจกลายเป็นความน่าเบื่อ เพราะคนดูไม่เชื่อ หรือบทที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ได้การแสดงชั้นเยี่ยมมายกระดับให้ดูดีขึ้น แต่ถ้าบทก็มีดีพอตัวแล้วการแสดงยังพาไปได้ก็ทำให้ความสนุกที่มีอยู่แล้วกลายเป็นความเพลิดเพลิน เพราะความไหลลื่นได้ และสำหรับเรื่องนี้นี่คืองานคุณภาพอีกหนึ่งเรื่องที่คู่ควรต้องดูดูไปบ่นไปNETFLIXขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 / ภาพที่ 12 จาก Facebook Netflixภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 11 จาก Instagram netflixkrเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !