รีเซต

หนังจากเกม เทรนด์ใหม่ที่จะมาแรง หรือแค่กระแสชั่วคราว?

หนังจากเกม เทรนด์ใหม่ที่จะมาแรง หรือแค่กระแสชั่วคราว?
แบไต๋
5 พฤษภาคม 2566 ( 06:30 )
276

หลังจากความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ของหนัง The Super Mario Bros. Movie ที่เดินหน้าทำเงินเกิน 1,000 ล้านเหรียญ ทั่วโลกทำให้กระแสหนังจากวีดีโอเกมกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ภาพยนตร์จากเกมทำเงิน แต่การทำเงินมากมายขนาดนี้นั้นไม่ธรรมดา

เพราะหากย้อนเวลาไปเกือบ 30 ปีที่มีการสร้างหนังที่อ้างอิงจากเกมมาตลอด แม้ว่าช่วงแรก ๆ ส่วนใหญ่จะล้มเหลวและโดนแฟนเกมสาปส่งแต่ดูเหมือนว่าค่ายหนังจะไม่เข็ด ยังคงดื้อเข็นออกมาให้ชมกันตลอด วันนี้ทีมงาน Beartai ได้รวบรวมเอาความเป็นมาของการดัดแปลงเกมเป็นภาพยนตร์ และทำไมช่วงหลังมันถึงทำเงินแบบถล่มทลายแซงหนังซูเปอร์ฮีโร

เริ่มตั้งไข่ในยุค 90S

จุดกำเนิดหนังจากเกมเรื่องแรกคือ Super Mario Bros. ฉบับที่ฉายในปี 1993 ที่ถือว่าเป็นการดัดแปลงเกมลุงหนวดแบบแทบไม่เหลือความเป็นวีดีโอเกม เพราะมันเปลี่ยนเป็นหนังไซไฟที่ดูแปลกตาและน่ากลัวมากกว่าน่ารักแบบต้นฉบับ อีกทั้งเนื้อเรื่องก็ไม่สนุกไม่แปลกที่มันจะล้มเหลวอย่างหนัก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้ผู้สร้างเข็ด

เพราะในยุค 90S ยังมีการนำเกมมาดัดแปลงอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Double Dragon, Street Fighter ที่ล้มเหลวทั้งคู่ เพราะมันออกมาดูตลกและแปลกเกินแถมยังไม่สนุก แต่แล้วในปี 1995 ก็มีการนำ Mortal Kombat มาสร้างเป็นหนังคนแสดงแถมยังประสบความสำเร็จในระดับที่ทำกำไรให้ผู้สร้างได้ ซึ่งสาเหตุที่มันทำเงินเพราะมันมีความคล้ายกับเกมแม้ว่าจะไม่ได้โหดเท่า แต่หลังจากนั้นก็มีการเข็นภาคต่อออกมาซึ่งก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเพราะความห่วยของบทและทุนสร้างที่ลดลงจนกลายเป็นหนังทุนต่ำ

ยุค 2000S เริ่มเข้าที่เข้าทางแต่ยังต้องพัฒนา

ในยุค 2000S วงการหนังเริ่มคึกคักกับการมาของหนัง Lara Croft: Tomb Raider ภาคที่แสดงโดย แอนเจลีน่า โจลี่ (Angelina Jolie) ที่ประสบความสำเร็จมากทำเงินเกิน 270 ล้านเหรียญ แต่หากมองตัวหนังถือว่ายังทำออกมาได้ไม่ดีนักแม้ว่าจะพยายามจะใส่ความเป็นเกมที่มีความแฟนตาซีเข้ามา แต่ก็ถือว่าผู้สร้างเริ่มเข้าใจแล้วว่าจะดัดแปลงอย่างไรถึงจะได้เงิน

อีกหนึ่งพระเอกที่สามารถดัดแปลงเกมเป็นหนังแล้วทำเงินคือ Paul W. S. Anderson กับการหยิบเอาเกมดังของ Capcom อย่าง Resident Evil ไปสร้างเป็นหนังและมีแนวคิดในการสร้างที่แหวกแนวกว่าชาวบ้าน เพราะ Resident Evil ของเขาจะมีเรื่องราวที่ฉีกออกจากเกมมากเพื่อให้เข้าถึงคนให้มากที่สุดแบบไม่แคร์แฟนเกม แต่ยังเสริมตัวละครจากเกมใส่เข้าไปแม้ว่าจะโดนวิจารณ์ในแง่ลบแต่ Resident Evil ก็ทำเงินมากพอและถูกสร้างออกมามากถึง 6 ภาค

ยุคที่ค่ายเกมและผู้สร้างเกมเข้ามามีส่วนร่วม

หลังจากนั้นภาพยนตร์ที่นำเกมไปเป็นต้นแบบจะถูกสร้างออกมาตลอดหลังจากยุค 2000S ที่ส่วนใหญ่จะล้มเหลว แต่ก็มีบางเรื่องที่จับจุดแฟนเกมได้และทำเงินอย่างไม่น่าเชื่อเช่นหนังจากเกม Warcraft ที่ทำรายได้ไปได้มากกว่า 439 ล้านเพราะถูกใจชาวจีน จนกระทั้งค่ายเกมเริ่มเข้าสู่ตลาดภาพยนตร์ด้วยการเปิดค่ายเองทำให้มันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

เพราะ Sony ได้ก่อตั้ง PlayStation Productions เพื่อนำโลกของเกมเข้าสู่จอภาพยนตร์ และมีผลงานออกมาให้ชมแล้วอย่าง Uncharted หนังล่าสมบัติของหนุ่ม ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) ที่แม้ว่าจะไม่ได้เหมือนกับเวอร์ชันเกมเพราะเป็นการเล่าเรื่องในช่วงวัยหนุ่มของตัวละครหลัก แต่กลับโดนใจแฟนเกมจนทำเงินไปมากกว่า 400 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ค่าย Square Enix ก็มีส่วนร่วมในการสร้าง Tomb Raider ฉบับที่ฉายปี 2018 แม้ว่าหนังล้มเหลวเรื่องรายได้แต่ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนเกมเพราะมันเล่าเรื่องตามเกมต้นฉบับได้ลงตัว

ส่วนซีรีส์ The Last of Us ทางช่อง HBO ที่แม้ไม่ได้สร้างจาก Sony โดยตรงแต่ก็ได้ นีล ดรักแมน (Neil Druckmann) ผู้สร้างเกมต้นฉบับมากำกับและเขียนเรื่องราว ทำให้มันมีฉากจากเกมมาเซอร์วิสแฟน ๆ แต่ยังเสริมด้วยเรื่องราวใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่ช่วยเสริมเนื้อเรื่องให้เข้มข้นกว่าเดิมเข้าไป จนมันกลายเป็นซีรีส์ที่แฟนเกมก็ชอบและต่อให้ไม่เคยเล่นเกมมาก่อนก็ดูสนุกจนทำให้ยอดผู้ชมถล่มทลายทำลายสถิติ

ปิดท้ายกับ The Super Mario Bros. Movie ที่เพิ่งจะทำเงินเกิน 1,000 ล้านเหรียญไป ที่หากไปชมมาแล้วจะพบว่ามันแทบจะเหมือนกับเกม แต่เป็นเวอร์ชันขยายความเพิ่มเรื่องราวที่ไม่เคยได้เล่ามาก่อน และส่วนของเกมก็ใส่มาแบบเต็ม ๆ เพื่อเอาใจแฟนลุงหนวดทั่วโลก แน่นอนว่าเคล็ดลับที่ออกมาโดนใจแฟนเกมเพราะหนังได้ ชิเงรุ มิยาโมโตะ (Shigeru Miyamoto) ผู้ให้กำเนิดลุงหนวดมาเป็นโปรดิวเซอร์ ทำให้มันแตกต่างจากเวอร์ชัน 1993 ที่ในตอนนั้น Nintendo ไม่ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเลย

ทำให้แนวทางการสร้างหนังจากเกมยุคใหม่คือการฟังความเห็นของผู้สร้างเกมโดยการให้มาร่วมงาน และฟังเสียงแฟนเกมว่าชอบอะไร เพื่อนำมาดัดแปลงให้เข้ากับสื่อใหม่แต่ยังเคารพต้นฉบับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ยังเสริมสิ่งใหม่ ๆ เข้าไปเพื่อให้มีอะไรให้ผู้ชมแปลกใจ และเข้ากับสื่อภาพยนตร์ที่มีเวลาการเล่าเรื่องน้อยกว่าในเกม ทำให้เชื่อว่าต่อจากนี้เราอาจจะได้เห็นหนังจากเกมที่สนุกกว่าเดิมหรือไม่แน่ว่าอาจจะออกมายอดเยี่ยมจนได้ชิงรางวัลก็เป็นไปได้