อะไรคือความสวยงาม และ อะไรคือความน่าเกลียด ในเมื่อสิ่งเหล่านี้มันคือร่างกายของเราเอง นี่คือคำนิยามสั้น ๆ จากบทประพันธ์ของ William S.Burroughs นักเขียน และ ศิลปินชาวอเมริกัน ผู้ที่ได้รับการพิจารณาอย่างกว้างขวางว่าเป็นบุคคลต้นแบบของบีทเจเนอเรชั่น และเป็นนักเขียนแนวหลังสมัยใหม่บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมสมัยนิยมและวรรณกรรม รวมถึงเป็นต้นแบบของการทำนิยายที่ไม่สนใจว่าเนื้อหาว่าจะเป็นอย่างไรอีกด้วย ซึ่งในนิยายดังกล่าวว่าด้วยเรื่องราวของ Bill Lee นักเขียนชาวอเมริกันที่รับจ๊อบกำจัดแมลงตามบ้านในยามว่าง หลังจากเกิดอาการเสพติดสารที่เขาใช้ในการฆ่าแมลงอย่างหนัก เขาได้เผลอฆ่าภรรยาของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจจนตัวเขาได้เข้าไปพัวพันกับแผนลับของรัฐบาลที่ถูกบงการโดยแมลงยักษ์ในเมืองท่าในแอฟริกาเหนือ ? แค่อ่านเรื่องย่อก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดแล้ว 55แค่อ่าน Plot ย่อผมก็ว่างงแล้ว พอดูจบกลับมึนกว่าเดิม ด้วยระยะเวลา 1 ชั่วโมง 55 นาที ที่นั่งดูไปแอบมีส่วนผสมของหนังหลาย ๆ เรื่องที่เคยดูมายัดรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่องแอบคล้ายกับเรื่อง The Crying Game (1992) มีกลิ่นไอสืบสวนปนโรแมนซ์หน่อย ๆ มีมุขตลกที่จิกกัดวงการนักเขียนเอง ไม่พอยังล้อเลียนเพื่อนกับหนังดัง ๆ สมัยนั้น อย่าง The Thing (1982) หรือ Total Recall (1990) พอให้ขำกันบ้าง จนพอช่วงใกล้จบก็ทำให้ผมตกใจอีกครั้งกับบทสรุปทั้งอึ้งทั้งงงไปหลายวิ มีคำถามตลอดในหัวว่า อะไร ? เอางี้จริงดิ ? แต่ก็หาข้อสรุปไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่การนำเสนอก็มีประเด็นหลายอย่างกล่าวถึงอยู่ในช่วงยุค 50 ที่เป็นรอยต่อหลังสงตรามโลกครั้งที่ 2 ตกค้างอยู่ ก็จะมีเรื่องของหน่วยงานราชการ ปฎิบัติการสายลับ CIA แฝงตามที่ต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงประเด็นรองเรื่อง เพศ ก็ถูกหยิบยกมาพูดถึงเช่นกัน ส่วนตัวผมไม่ได้เสพสื่อช่วงยุค 50 มากเท่าไหร่ว่า สภาพโดยรวมเป็นอย่างไร ปกติจะเสพแค่ยุค 40 หรือไม่ ยุค 60 -70 ขึ้นไป ซึ่งจะมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ เป็นที่จดจำโดยส่วนมาก จึงนึกภาพสมัยยุค 50 ตอนนั้นไม่ออก ในเรื่องเหมือนบอกเล่าอยู่ว่าสมัยนั้นมันก็มีเรื่องอย่างว่าเหมือนกัน เพียงแต่พูดในวงกว้างไม่ได้ เพราะอาจไปขัดต่อวัฒนธรรมภาพลักษณ์ความเป็นชาตินิยมเขาอีก รวมถึงสภาพสังคมที่ไม่ยอมรับเพศที่ 3 เหมือนปัจจุบัน ผมน่าถือในความกวนประสาทของป๋าคือ ฉากหลังในเรื่องอยู่ในประเทศตะวันออกกลางซึ่งเป็นดินแดนของมุสลิมที่เขาเคร่งศาสนาแต่ตัวละครซึ่งเป็นชาวอเมริกันดันแสดงออกทางเพศสภาพตรง ๆ ซะอย่างงั้น 55ปกติผลงานของผู้กำกับ David Cronenberg แกจะประเคนความเป็น Horror + Sci-Fi ลูกเดียวเป็นหลัก ส่วนเนื้อหาจะเป็นรอง แต่รอบนี้ขอฉีกแนวจากเดิมหน่อย ลดความน่ากลัวของรูปลักษณ์สัตว์ประหลาดลง เน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น ผลที่ได้คือ ฉากสยอง เหวอะแหวะยังมีอยู่ แต่การเล่าเรื่องดันเข้าไม่ถึงกับบรรยากาศกึ่งจริงกึ่งเมากาวจนผมสับสนว่าอันไหนคือเรื่องจริง หรือ เรื่องที่พระเอกคิดไปเอง ด้วยความที่ป๋าแกมีวิสัยทัศน์การเล่าเรื่องที่ Weird เกินบรรยายอยู่แล้ว เราจึงไม่อาจไว้วางใจได้เลยว่าหนังของป๋าแกจะไม่มีฉากตื่นเต้นลุ้นระทึกใด ๆ ให้ตกใจได้เลย ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่รอดอีกเช่นกันการดำเนินเรื่องมี Details น่าสนใจไม่น้อย ยอมรับว่าเนือยมาก เนิบเป็นช่วง ๆ แต่ไม่ถึงขั้นน่าเบื่อจนเกินไป มีเผลอวูบหลับช่วงแรก ๆ ก่อนสะดุ้งตื่นอีกทีตอนพระเอกลั่นปืนยิงเมียตัวเองขึ้น จากนั้นก็เรียกสติผมให้ดูต่อได้ทันที มีฉากหวาดเสียวชวนอาเจียนเป็นระยะ ส่วนหนึ่งคือ Production ทำได้สมจริง ต่างจากสมัยนี้ที่อะไรก็พึ่งแต่เทคโนโลยี CG จนไม่อาจสัมผัสถึงจิตวิญญาณของงานศิลป์ที่สร้างได้ดีกว่าของที่ทำจากมือ การเล่าเรื่องที่ไม่ได้เน้นอารมณ์ Hard Core ตรงไปตรงมาเหมือนเรื่องก่อน ๆ อย่าง Videodrome (1983) , The Fly (1986) หรือ Dead Ringers (1988) แต่ยังคงสไตล์การเล่าเรื่องที่จัดจ้านสมกับฉายาเจ้าพ่อ Body Horror หรือ ราชาหนังสยองขวัญ-ไซไฟชีวภาพ อยู่เช่นเคยบาง Scene ไม่เข้าใจว่าใส่มาทำไม บางคนก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรขนาดนั้น หรือเพราะ ผมเข้าถึงความเพี้ยนของป๋าไม่ถึงเองมากกว่า อย่างน้อยยังมีสิ่งที่ผมสนใจที่การ Set ยุค 50 ให้เป็นโลกของยูโทเปียของการปลูกเมล็ดพันธุ์ของความเป็นบุปผาชนขึ้นมา มีการใช้ สุรา ยาเสพติด ของศิลปิน นักเขียน มากขึ้น หรือ การใช้คำว่า เควียร์ เป็น Symbol ในการขบถสังคมนิยมแบบเดิมในเชิงอัตลักษณ์ที่ไม่จำกัดแค่เพศชายกับหญิงเท่านั้น การมองสิ่งเหล่านี้เป็นของแปลกไม่ต่างกับสัตว์ประหลาดหน้าตาน่าเกลียด ขยะแขยง ที่สังคมกำหนดขึ้นมาเพื่อรักษาภาพลักษณ์ให้เป็นแบบนี้เท่านั้น ขณะเดียวกันป๋าคงสไตล์ความโจรจิต ซาดิสม์ไม่เหมือนใคร (และไม่มีใครอยากเหมือน) โดยเฉพาะ ฉากสยอง ๆ ซึ่งเป็น กิมมิค ที่ขาดไม่ได้ แม้ผลงานหลัง ๆ จะเลือกไปทำแนวอื่นที่มนุษย์มนาเขาทำกัน อย่าง A History of Violence (2005) , Eastern Promises (2007) , Cosmopolis (2012) ก่อนที่ป๋าจะ Comeback ใน Concept เดิมอีกครั้งใน Crimes of the Future (2022) ที่เพิ่งฉายไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้ แสดงให้เห็นว่าป๋าแกเป็นผู้กำกับระดับตำนานอีกคนที่ฆ่าไม่ตายจริง ๆนักแสดงนำอย่างลุง Peter Weller ผมว่าแกแสดงดี แบกเรื่องอยู่ไม่เถียง เพียงแต่ภาพจำผมนึกถึงหน้าลุงคล้ายกับ James Woods ผสม Christian Bale ประทับร่างยังไงยังงั้น ด้วยความที่โครงหน้าคล้าย ๆ กันจึงอดเปรียบเทียบกันไม่ได้ แถมนึกถึงแต่เรื่อง Robocop 1-2 (1987-1990) ในบทตำรวจเหล็กพิฆาตผู้ร้ายอย่างเดียว พอมาเล่นบทแบบนี้รู้สึกไม่คุ้นชินยังไงไม่รู้แฮะ ส่วนนางเอกของเรื่องอย่างป้า Judy Davis จาก The Dressmaker (2015) ผมตกใจตรงที่ป้าเล่นเป็น 2 บทบาทเลย คือ เมียของพระเอก กับ เมียของมหาเศรษฐีชาวอเมริกันรับบทโดยปู่ Ian Holm ดาราผู้ล่วงลับจาก The Fifth Elements (1997) แม้คาแรกเตอร์ค่อนข้างจะต่างกัน แต่น่าเสียดายที่บทที่ได้รับทั้งคู่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ไม่ได้ส่งเสริมนำพาให้ตัวละครไปไกลมากกว่านี้ นอกจากเป็นไม้ประดับเคียงข้างพระเอกเท่านั้น นอกจากนี้ก็มีปู่ Ian ที่ดูจะสำคัญที่สุดของเรื่องจากตอนแรกที่ปรากฎดูน่าสนใจ น่าเกรงขาม แต่หลังจากนั้นบทค่อย ๆ ดรอปลงไปเรื่อย ๆ จนแทบจะไร้ความหมายในเวลาต่อมา ส่วนตัวละครสมทบท่านอื่น ทั้ง Julian Sands จาก The Medallion (2003) , Joseph Scoren จาก Chicago (2002) ก็เหมือนใส่มาให้มีความสำคัญว่าเป็นแค่สิ่งนั้นเท่านั้น คนที่ผม Surprise คือปู่ Roy Scheider จาก Jaws (1975) ที่มาแบบตกใจงง ๆ แล้วก็ไปแบบงง ๆ เช่นกันสรุป คือ หนังมีประเด็นที่นำเสนอมากเกินไปหน่อยจนเราไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ว่าเราจะโฟกัสกับอะไรไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจของพระเอก , เพศ , สังคม หรือ การเมือง กันแน่ เรื่องนี้เหมือน Message ของยุค 50 ผ่านบอกตัวแทนของตัวนักเขียนที่พบเห็นอะไรก็หยิบปากกาเขียนลงในกระดาษ หรือ พิมพ์ในเครื่องพิมพ์ดีดทันที ไม่ว่าสิ่งที่เขียนไปจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ หรือ ความบันเทิงคละคลากันไป ขอให้ได้เกิดความคิดเกิดจินตนาการขึ้นมาได้ก็พอ อารมณ์เหมือนเราหยิบหนังสือของนักเขียนคนนั้นขึ้นมาอ่านไปค่อย ๆ ซึมซับเนื้อเรื่องตามที่นักเขียนถ่ายทอดลงไปนั่นแหล่ะ และ เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นตามคำคมของ Albert Einstein แล้วว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ คงเป็นเช่นนั้น เพราะไม่อาจหาตรรกะเหตุผล หรือ ความสมเหตุสมผลอะไรกับความวิกลจริตผิดเพี้ยนเกินคนในเรื่องนี้ได้แต่หาอยากลองของแปลกเปิดประสบการณ์ใหม่ตอบสนองคุณได้แน่นอน ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย : Facebook / DocumentaryClubTH = ภาพประกอบหน้าปก 1 / ภาพประกอบหน้าปกที่ตัวอักษร 2 / Pixabay / geralt = ภาพประกอบที่ 3 Facebook / DocumentaryClubTH = ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 7 twitter.com/DocClubTH = ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !