สิบปีผ่านมาพอดี นี่ก็หนังอีกเรื่องที่อยู่ในใจมาตลอด จากตอนแรกที่ดูแล้วไม่รู้เรื่องเลย จนประทับใจสุดๆ ไปเลยค่ะ เรื่องย่อ (ในแบบของเรา) Interstellar เล่าเรื่องในโลกอนาคตที่เกิดวิกฤติธรรมชาติ ทำให้การปลูกพืชไร่แทบจะเป็นไปไม่ได้และมนุษย์อาจไม่มีอนาคตให้เหลืออีกต่อไป ตัวเอกของเราคือ โคเปอร์ (รับบทโดย Matthew McConaughey) นักบินและวิศวกรผู้กลายมาเป็นเกษตรกรจำเป็น วันหนึ่งเขาได้รับการติดต่อจาก NASA ที่ยังทำงานลับ ๆ อยู่ แล้วก็บอกกับเขาว่ามีภารกิจที่อาจจะช่วยชีวิตมนุษย์ได้ นั่นก็คือการเดินทางผ่านรูหนอน (wormhole) ไปยังอีกกาแล็กซีที่มีดาวเคราะห์ที่อาจเหมาะแก่การอยู่อาศัย เรื่องราวพาเราไปสู่การผจญภัยข้ามห้วงเวลาและจักรวาล การค้นพบดาวใหม่ ๆ การรับรู้เรื่องสัมพันธภาพของเวลา แรงโน้มถ่วง และการเสียสละของตัวละครที่ค่อย ๆ ทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นคนที่มีทั้งความรัก ความกลัว และความหวังในการหาทางกลับไปยังบ้านที่มีคนที่เรารักรออยู่ รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! นักแสดง Matthew McConaughey ในบท โคเปอร์ ที่เล่นออกมาได้ทั้งเป็นพ่อผู้ห่วงลูกและนักสำรวจผู้กล้าเสี่ยงกับความตาย Anne Hathaway รับบท อเมเลีย แบรนด์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ร่วมเดินทางไปกับโคเปอร์ เธอเป็นคนที่ทุ่มเททั้งวิชาการและความรู้สึกในการหาบ้านใหม่ให้มนุษยชาติ Jessica Chastain ในบท เมอร์ฟ ลูกสาวของโคเปอร์ในวัยผู้ใหญ่ ที่เป็นอีกแรงขับสำคัญในการพยายามค้นหาวิธีช่วยโลกในแบบของเธอ Interstellar นอกจากจะเป็นเรื่องของความรักและความเสียสละแล้ว ยังเป็นหนังที่เน้นหนักด้านฟิสิกส์จริง ๆ ซึ่งทำให้การดูเรื่องนี้เหมือนได้เข้าไปท่องในห้องเรียนฟิสิกส์แบบจัดเต็ม! มาลองดูเรื่องฟิสิกส์หลัก ๆ ที่หนังเรื่องนี้หยิบมาใช้กันดีกว่า ฟิสิกส์ใน Interstellar การเดินทางผ่านรูหนอน (Wormhole) ในหนัง ทีมสำรวจต้องเดินทางข้ามจักรวาล ซึ่งแน่นอนว่าการเดินทางแบบธรรมดาคงใช้เวลานับล้านปี กว่าจะแค่ไปถึงขอบกาแล็กซี! นี่ล่ะที่ทำให้พวกเขาต้องพึ่ง รูหนอน ที่เปรียบเสมือนอุโมงค์ลัดจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยข้ามผ่านอวกาศ-เวลาไปได้ รูหนอนนี้ในทางทฤษฎีมีอยู่จริง แต่ยังไม่มีใครเคยเห็นหรือลองใช้งาน ดังนั้นอันนี้คือจินตนาการล้วน ๆ! แรงโน้มถ่วงกับสัมพันธภาพของเวลา (Time Dilation) ดาวบางดวงที่ทีมสำรวจไปถึง เช่นดาวน้ำ มีแรงโน้มถ่วงที่สูงมาก (เกิดจากใกล้หลุมดำ) ทำให้เวลาบนดาวนั้นเดินช้าลงกว่าเวลาบนโลกเยอะมาก นักวิทยาศาสตร์อย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยทฤษฎีไว้ว่าในอวกาศ หากอยู่ในที่ที่มีแรงโน้มถ่วงสูง เวลาในสถานที่นั้นจะเดินช้ากว่าที่อื่น ๆ เช่น เมื่อทีมสำรวจใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงบนดาวน้ำ แต่เวลาบนโลกกลับผ่านไปแล้วหลายสิบปี! หลุมดำ (Black Hole) หลุมดำคือวัตถุอวกาศที่มีแรงโน้มถ่วงสูงจนแม้แต่แสงก็ไม่สามารถหนีออกมาได้ ใน Interstellar มีหลุมดำที่ชื่อ การ์แกนทัวร์ ที่มีแรงโน้มถ่วงมหาศาลจนทำให้เวลาในบริเวณใกล้ ๆ เดินช้ามาก ซึ่งการเข้าใกล้หลุมดำนี้เป็นเรื่องที่ทั้งอันตรายและลึกลับ! ทีมงาน Interstellar ได้พึ่ง Kip Thorne นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลมาให้คำแนะนำ ทำให้ภาพของหลุมดำในเรื่องเป็นภาพที่ใกล้เคียงกับทฤษฎีฟิสิกส์มากที่สุดเท่าที่เคยเห็นในหนังไซไฟมาเลย มิติที่ห้า (Fifth Dimension) ช่วงท้ายของเรื่อง โคเปอร์เจอกับสิ่งที่เรียกว่า มิติที่ห้า ซึ่งเป็นที่ที่เขาสามารถมองเห็นเวลาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ในทฤษฎีฟิสิกส์บางแนวคิด มิติที่ห้าหมายถึงมิติที่เกินกว่าที่เราสามารถรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า มันเปิดโอกาสให้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ในหลายช่วงเวลาเหมือนที่โคเปอร์สามารถเห็นอดีตและส่งสัญญาณถึงลูกสาวตัวเองได้ ผ่านแรงโน้มถ่วงที่เป็นตัวเชื่อม แรงโน้มถ่วงและความรักเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงทุกสิ่ง (Gravity and Love as Fundamental Forces) ในหนัง, แรงโน้มถ่วงถูกนำเสนอเป็นสิ่งที่มีผลต่อทั้งจักรวาลและเวลา ส่วนความรักนั้นก็ถูกเสนอเป็นเหมือน "แรง" ที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้าด้วยกัน ข้ามผ่านข้อจำกัดของเวลาและอวกาศ ในเชิงวิทยาศาสตร์ แรงโน้มถ่วงเป็นหนึ่งในสี่แรงพื้นฐานของธรรมชาติ แต่น่าสนใจตรงที่ในหนังตั้งคำถามว่า "ความรัก" อาจเป็นอีกแรงพื้นฐานที่ยังไม่ได้อธิบาย มันคือการตั้งข้อสมมติในมุมมองที่มีความลึกซึ้งทางปรัชญา สิ่งที่ได้รับจากการดู (เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง!) ความรักที่เป็นอมตะ: ประเด็นสำคัญในหนังคือ “ความรักสามารถข้ามผ่านทุกสิ่ง” แม้ว่าบางครั้งเราจะไม่เข้าใจว่ามันมีผลกระทบต่อทุกสิ่งได้ยังไง แต่มันก็เป็นเรื่องที่หนังเน้นย้ำว่า ความรักเป็นพลังที่ช่วยเชื่อมโยงเราไว้กับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในจักรวาลก็ตาม การเข้าใจเรื่องสัมพันธภาพของเวลา: เรื่องนี้ต้องบอกว่ามึนพอควร! แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าบางสถานที่เช่นดาวที่มีแรงโน้มถ่วงสูง จะทำให้เวลาเดินช้าลง ถ้าอยู่แค่ไม่กี่ชั่วโมงบนดาวนั้น พอกลับมาก็อาจผ่านมาเป็นสิบ ๆ ปีบนโลกไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยรู้ว่าถ้าอยากใช้เวลากับคนที่เรารักจริง ๆ อย่าไปเสี่ยงกับดาวที่มีแรงโน้มถ่วงสูงนะคะ ฮ่า ๆ การเสียสละเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่า: โคเปอร์เลือกที่จะทิ้งลูกเพื่อไปทำภารกิจที่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม แต่เขาทำเพื่ออนาคตของลูกและมนุษยชาติ ความเสียสละนี้ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการเสียสละและความกล้าในการทำเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ความหวังและการค้นพบตัวเอง: หนังทำให้เห็นว่าการเดินทางค้นหาดาวดวงใหม่เพื่อเป็นบ้านใหม่ อาจเป็นการเดินทางค้นหาความหมายของชีวิตและการเป็นมนุษย์ด้วย การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความหวังและความรักที่ข้ามผ่านข้อจำกัดทางกายภาพไปได้ สรุปความประทับใจ ตอนแรกยอมรับว่ามึน! แต่พอได้ย้อนมานั่งคิดและดูซ้ำ ความงงนั้นกลายเป็นความชอบและประทับใจ เพราะมันไม่ใช่แค่หนังไซไฟทั่วไป แต่เป็นการผจญภัยของหัวใจที่เชื่อมโยงกัน ขอบคุณ Interstellar ที่สอนให้เราเห็นว่าความรักและความหวังเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และไม่มีขีดจำกัด และ Interstellar ทำให้เราเข้าใจว่าฟิสิกส์ในจักรวาลนั้นทั้งซับซ้อนและสวยงาม เหมือนการพยายามผสมผสานเรื่องของวิทยาศาสตร์เข้ากับความรู้สึกของมนุษย์ ฟิสิกส์ของแรงโน้มถ่วงและการข้ามเวลาอาจฟังดูยาก แต่เมื่อมี "ความรัก" เป็นเหมือนเชื้อไฟให้เราพยายามเข้าใจ ก็ทำให้เรื่องฟิสิกส์ดูมีชีวิตชีวาและกลายเป็นการค้นหาความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น อ้างอิง ภาพจาก Facebook Interstellar Movie / ภาพที่ #1 / ภาพที่ #2 / ภาพที่ #3 / ภาพที่ #4 / ภาพหน้าปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !