อย่ารอช้า! มาเปิดประสบการณ์ชมภาพยนตร์ที่เหนือกว่าไปพร้อมๆ กัน ในเดือนกันยายน 2568 เดือนกันยายนี้ผู้อ่านจะได้พบกับภาพยนตร์มากมายหลากหลายรสชาติ และนั่นหมายถึงอีกหนึ่งฤดูแห่งความตื่นเต้นสำหรับคอหนังทุกคน! หากผู้อ่านกำลังมองหาประสบการณ์การรับชมที่ลึกซึ้งกว่าแค่การดูหนังเพื่อความบันเทิง ขอบอกเลยว่ากันยายน 2568 นี้มีสิ่งที่น่าสนใจรออยู่มากมาย เดือนนี้ผู้เขียนไม่ได้แค่มาแนะนำหนัง แต่จะพาทุกคนไปสำรวจมิติที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แต่ละเรื่อง เพื่อให้การเข้าชมโรงภาพยนตร์ครั้งนี้มีความหมายและคุ้มค่ายิ่งกว่าที่เคย นับว่าเป็นอีกเดือนที่น่าสนใจมากๆ มีอะไรบ้าง ไปดูกัน จิปาถะ และ อรรถรส จัดมาให้ ไปดูพร้อมกันได้เลย Let’s go รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! https://www.youtube.com/watch?v=SIIz3pd6Bxo Disparag | ลบหลู่ วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Comedy , Horror เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 115 นาที ทีมนักแสดง : กพล ทองพลับ, เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, สมชาย ศักดิกุล, บุญศรี ยินดี, ชาติชาย ชินศรี, ธิติ ศรีนวล, สุธิดา บัวติก, จุมพจน์ นพไชยากรสกุล, เกมศักดิ์ แจ้งทิพย์นาง ผู้กำกับ : ชมละแมน ศรีคำ, อัษฎาภร ภักดีณรงค์ เล่าย่อๆ เรื่องราวเริ่มต้นด้วย นที ชายหนุ่มผู้ยึดมั่นในเหตุผลและปฏิเสธความเชื่อโบราณ หลังเกิดเหตุการณ์เลวร้ายในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมเก่าแก่ นทีตัดสินใจ "ลบหลู่" สถานที่หรือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งอย่างจงใจ เพื่อพิสูจน์ว่า "ความเชื่อ" เป็นเพียงสิ่งงมงายและไม่มีอำนาจใดๆ รีวิวเล็กๆ เมื่อ 'ความเชื่อ' ไม่ใช่เรื่องตลก และการ 'ลบหลู่' นำมาซึ่งความวิปลาสที่ไร้ทางออก ในโลกภาพยนตร์ที่ความสยองขวัญมักมาพร้อมกับการกระโดดให้ตกใจ (Jump Scare) แต่ "Disparag | ลบหลู่" คือผลงานที่มุ่งเน้นการสร้างบรรยากาศมืดหม่นและดำดิ่งสู่ มิติทางจิตวิทยา ของบาปกรรม ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เพียงนำเสนอความกลัวจากสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ท้าทายผู้ชมให้ตั้งคำถามถึง แก่นแท้ของศรัทธา และผลกรรมจากการท้าทายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อกลุ่มผู้ชมที่สนใจภาพยนตร์ที่หนักแน่นและมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง จุดที่น่าสนใจ Horror & Social Critique: ภาพยนตร์ไม่ได้ขายเพียงความน่ากลัว แต่ยังทำหน้าที่เป็น กระจกสะท้อนสังคม ที่ตั้งคำถามถึงความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นใหม่กับความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งเป็นประเด็นที่หนักแน่นและน่าสนใจสำหรับคอหนังที่ชอบตีความ Atmospheric & Sound Design: การออกแบบเสียงและบรรยากาศในระดับยอดเยี่ยม คือหัวใจหลักของความสยองขวัญในเรื่องนี้ ทุกเสียงกระซิบ ทุกความเงียบ และทุกดนตรีประกอบถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ บีบคั้นอารมณ์ ของผู้ชม การแสดงที่ทรงพลัง: เน้นการแสดงออกทางสีหน้าและแววตาของนักแสดงนำที่ต้องแบกรับความกดดันทางจิตใจและศีลธรรม ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แท้จริง "Disparag | ลบหลู่" จัดอยู่ในแนว สยองขวัญจิตวิทยา (Psychological Horror) และ ระทึกขวัญเหนือธรรมชาติ (Supernatural Thriller) ที่เน้นความตึงเครียดผ่านการสร้างบรรยากาศมากกว่าภาพหวาดเสียว ได้อย่างไม่เคอะเขิน https://www.youtube.com/watch?v=MmAIjK8D_gM Pretty Crazy | เดี๋ยวสวย เดี๋ยวแสบ ผมแทบจะเครซี่ วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Comedy , Romance เรทผู้ชม : TBC ความยาว : 115 นาที ทีมนักแสดง : ซองดงอิล, ยุนอา, อันโบฮยอน, ชูฮยอนยอง,โกกอนฮัน ผู้กำกับ : อีซังกึน เล่าย่อๆ เรื่องราวเริ่มต้นด้วย ปกรณ์ ชายหนุ่มผู้มีชีวิตเป๊ะเวอร์ในทุกตารางนิ้ว ตั้งแต่เสื้อผ้าที่รีดเรียบกริบไปจนถึงแผนการชีวิตที่วางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ชีวิตที่สมบูรณ์แบบของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่น... จนกระทั่งเขาได้พบกับ ป่าน (ฉายา "แสบ") หญิงสาวที่มาพร้อมกับเสน่ห์อันเหลือล้น (ความสวย) แต่มีนิสัยที่คาดเดาไม่ได้ ปล่อยความโกลาหลไว้เบื้องหลังทุกย่างก้าว (ความแสบ) รีวิวเล็กๆ เมื่อความรักคือสงครามป่วน ที่ความแสบเข้าวิน Romantic Comedy ที่ไม่ได้มีแค่ความรักหวานๆ แต่มาพร้อมความป่วนระดับ "แทบจะเครซี่" บอกเลยว่า "Pretty Crazy | เดี๋ยวสวย เดี๋ยวแสบ ผมแทบจะเครซี่" คือหนังที่คุณต้องเก็บเข้าลิสต์ไว้ดูในโรงฯ เลยครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของหนังรักที่ไม่ยอมให้ผู้ชมพักหายใจ เพราะทุกวินาทีมีแต่ความวายป่วงที่ชวนให้ลุ้นตาม จุดเด่นที่เราจะหลงรัก เคมีที่ลงตัวเกินต้าน: ความขัดแย้งระหว่างตัวละครหลักคือเสน่ห์ที่แท้จริง ฉากปะทะคารมและฉากตลกหน้าตายถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนดูอินไปกับความปวดหัวแต่ก็แอบรักของคู่พระนาง บทพูดที่คมคายและทันสมัย: บทภาพยนตร์ถูกเขียนมาอย่างชาญฉลาด มีมุกตลกที่เข้าถึงง่ายและเข้าใจวัฒนธรรมการเดทสมัยใหม่ ทำให้รู้สึกว่าตัวละครมีความใกล้ชิดกับผู้ชม การหักมุมที่พลิกโฉม Rom-Com: ภาพยนตร์เรื่องนี้กล้าที่จะ ท้าทายขนบ ของหนังรักทั่วไป โดยไม่พยายามทำให้ตัวละครหญิงเปลี่ยนไปเพื่อผู้ชาย แต่ให้ตัวละครชายได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความบ้าคลั่งของเธอแทน ในฐานะคอหนัง เรามักจะเห็น Rom-Com ที่ตัวละครเอกต้องปรับปรุงตัวเองเพื่อความรัก แต่ "Pretty Crazy" ใช้ความป่วนของป่านเป็น กระจกสะท้อนความจริง ที่ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และความรักที่ยั่งยืนคือการยอมรับ "ความแสบ" และ "ความบ้าคลั่ง" ในตัวของกันและกัน https://www.youtube.com/watch?v=1pC159qcUQQ The Conjuring : Last Rites | เดอะ คอนเจอริ่ง คนเรียกผี พิธีกรรมครั้งสุดท้าย วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Horror เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 135 นาที ทีมนักแสดง : Vera Farmiga, Patrick Wilson, Mia Tomlinson, Ben Hardy, Steve Coulter ผู้กำกับ : Michael Chaves เล่าย่อๆ เรื่องราวในภาคนี้ไม่ได้เป็นเพียง "คดีประจำสัปดาห์" แต่เป็นการนำพาคู่สามีภรรยาวอร์เรนเข้าสู่คดีที่ ผูกพันกับชะตากรรมส่วนตัว อย่างแยกไม่ออก ลอเรนต้องเผชิญหน้ากับความกลัวที่เคยถูกฝังลึก ขณะที่เอ็ดต้องรับมือกับความจริงที่ว่าการทำงานของพวกเขามี "ค่าใช้จ่าย" ที่ต้องแลกด้วยบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต รีวิวเล็กๆ บทสรุปแห่งตำนาน... เดิมพันด้วยศรัทธาและจิตวิญญาณ สำหรับผู้อ่านที่หลงใหลในความสยองขวัญเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะผู้ที่ติดตามตำนานของจักรวาล The Conjuring มาอย่างยาวนาน การมาถึงของ "The Conjuring: Last Rites | พิธีกรรมครั้งสุดท้าย" ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์สยองขวัญ เพราะนี่คือการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายและครั้งสำคัญที่สุดของ เอ็ด (Patrick Wilson) และ ลอเรน วอร์เรน (Vera Farmiga) ที่เดิมพันด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี ไม่ใช่แค่การช่วยชีวิตผู้อื่น แต่เป็นการต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของตัวเอง จุดเด่นที่ทำให้ภาคนี้ไม่เหมือนใคร การแสดงที่เข้าถึงอารมณ์ในระดับสูงสุด: เคมีของ เวร่า ฟาร์มิก้า และ แพทริค วิลสัน คือหัวใจสำคัญของแฟรนไชส์ ในภาคนี้ พวกเขาถูกผลักดันให้แสดงออกถึง ความรักและความเหน็ดเหนื่อย ที่มาพร้อมกับการต่อสู้ที่ไม่จบสิ้น ความตึงเครียดแบบคลาสสิก: คาดหวังได้ถึงการกลับไปใช้เทคนิคการสร้างความกลัวแบบเรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพสูง (เช่น การใช้เงา, เสียง, และความเงียบ) ซึ่งเป็นลายเซ็นที่ทำให้ The Conjuring ประสบความสำเร็จ บทสรุปที่ให้ความหมาย: การเป็นภาคสุดท้ายทำให้เรื่องราวมี น้ำหนักทางอารมณ์ สูง การจบเรื่องราวของพวกเขาจะต้องเป็นไปอย่างสมศักดิ์ศรี และทิ้งข้อคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับศรัทธาและการเสียสละ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับภาคนี้คือการที่ ความรักระหว่างเอ็ดและลอเรน ถูกนำเสนอในฐานะ พลังเหนือธรรมชาติ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การที่พวกเขาไม่ยอมแพ้ต่อกันคือปัจจัยเดียวที่สามารถต้านทานพลังของปีศาจได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทเรียนที่ว่า "การต่อสู้กับความมืดมิด" นั้นต้องใช้มากกว่าความสามารถพิเศษ แต่ต้องใช้ความผูกพันที่แท้จริง https://www.youtube.com/watch?v=oHJmmndYzrI JUJUTSU KAISEN Hidden Inventory Premature Death | มหาเวทย์ผนึกมาร เดอะมูฟวี่ พรสวรรค์เร้น • อกาลมรณะ วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Action , Animation , Fantasy เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 110 นาที ทีมนักแสดง : อายะ เอนโด, ยูอิจิ นากามูระ, ทากาฮิโระ ซากูราอิ, ทาเคฮิโตะ โคยาสุ, อันนะ นางาเสะ, ริสะ ชิมิสุ ผู้กำกับ : โชตะ โกโซโนะ เล่าย่อๆ เรื่องราวพาเราย้อนไป 12 ปี ก่อนเหตุการณ์หลัก โกโจและเกะโทในวัยเรียน ถูกมอบหมายภารกิจสำคัญสูงสุด นั่นคือการคุ้มครอง ริโกะ อามาไน "ภาชนะรับร่างดารา" ผู้เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของปรมาจารย์เท็นเก็น รีวิวเล็กๆ ไขปริศนา 'จุดเริ่มต้น' ของความแตกหักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สำหรับแฟน ๆ มหาเวทย์ผนึกมาร (JUJUTSU KAISEN) นี่ไม่ใช่แค่ "เดอะมูฟวี่" แต่เป็น บทสรุปแห่งจุดเริ่มต้น ที่มีความสำคัญทางอารมณ์และโครงเรื่องอย่างยิ่งยวด "พรสวรรค์เร้น • อกาลมรณะ" คือการนำเสนออดีตอันแสนเจ็บปวดของสองตัวละครที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเรื่อง นั่นคือ โกโจ ซาโตรุ และ เกะโท สุงุรุ ในวันที่พวกเขายังเป็นเพื่อนรักและเป็นความหวังของโลกไสยเวท ก่อนที่เส้นทางชีวิตจะนำพาพวกเขาไปสู่การเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จุดเด่นที่ทำให้อาร์คนี้สมควรถูกยกย่อง งานแอนิเมชันระดับภาพยนตร์: การต่อสู้ระหว่างโกโจกับโทจิ โดยเฉพาะฉากที่โกโจ "ตื่นรู้" ถือเป็นสุดยอดฉากแอ็คชั่นแห่งยุค ที่มีองค์ประกอบภาพและการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลราวกับงานศิลปะ ความสัมพันธ์อันซับซ้อน: เนื้อเรื่องเน้นสำรวจมิติทางอารมณ์ของมิตรภาพระหว่างโกโจและเกะโท ที่สลับกันระหว่างความสดใสของวัยรุ่นกับความจริงอันโหดร้ายของโลกไสยเวท การวางรากฐานของจักรวาล: ภาพยนตร์เรื่องนี้คือรากแก้วของ Jujutsu Kaisen ทั้งหมด การได้เห็นมันในเวอร์ชันโรงฯ จะทำให้ผู้ชมเข้าใจแรงจูงใจและจุดแตกหักของตัวละครหลักได้อย่างลึกซึ้ง "พรสวรรค์เร้น • อกาลมรณะ" คือการศึกษาเรื่อง ความโดดเดี่ยวของผู้มีอำนาจ เมื่อโกโจแข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีใครเทียบได้ เขากลับต้องสูญเสีย "เพื่อน" ที่เข้าใจเขาอย่างแท้จริง ซึ่งนำไปสู่การแตกหักของเกะโทที่ทนรับภาระทางจิตใจจากการปกป้อง "ลิง" (คำที่เกะโทใช้เรียกมนุษย์ธรรมดา) ไม่ไหว https://www.youtube.com/watch?v=iMmWk7Qms9k Haunted Moutain The Yellow Taboo | คำสาปเสื้อกันฝน วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Fantasy , Horror , Thriller เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 88 นาที ทีมนักแสดง : แจสเปอร์ หลิว, แอนเจลา หยวน, เฉาโหย่วหนิง ผู้กำกับ : เจียอิ๋งไช่ เล่าย่อๆ เรื่องราวติดตามคณะนักปีนเขาผู้มีประสบการณ์กลุ่มหนึ่งที่ตัดสินใจบุกเบิกเส้นทางไปยังยอดเขาที่ถูกร่ำลือว่าเป็น ดินแดนต้องสาป ตลอดเส้นทางพวกเขาได้รับคำเตือนจากชาวบ้านท้องถิ่นถึง "ข้อห้ามสีเหลือง" (The Yellow Taboo) ซึ่งเป็นกฎที่ห้ามการนำพาหรือการใช้สิ่งของบางอย่างที่มีสีเหลืองบนภูเขาลูกนี้ ไม่ว่าจะด้วยความไม่เชื่อหรือความประมาท พวกเขาได้ฝ่าฝืนกฎดังกล่าว ด้วยสิ่งของเรียบง่ายอย่าง "เสื้อกันฝนสีเหลือง" ที่ถูกนำติดตัวไป รีวิวเล็กๆ การเอาชีวิตรอดที่ถูกจองจำด้วยตำนาน ในบรรดาภาพยนตร์สยองขวัญทั้งหมด แนว Survival Horror ที่มีฉากหลังเป็นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่มักจะมอบความตื่นเต้นที่แตกต่าง และ "Haunted Mountain: The Yellow Taboo | คำสาปเสื้อกันฝน" คือผลงานที่หยิบยกความกลัวจากการเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวมาผสมผสานกับตำนานท้องถิ่นได้อย่างชาญฉลาด ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การหนีเอาชีวิตรอด แต่เป็นการลงโทษจากการ ลบหลู่ ธรรมชาติและพลังเหนือธรรมชาติที่ฝังรากลึกบนภูเขา จุดเด่นที่ทำให้นักวิเคราะห์ภาพยนตร์ต้องจับตา ภูเขาเป็นตัวร้ายหลัก (The Mountain as an Antagonist): ภาพยนตร์ใช้ฉากหลังของภูเขาและสภาพอากาศที่โหดร้ายเป็นเครื่องมือหลักในการบีบคั้นผู้ชม ทำให้รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวและความไร้อำนาจของมนุษย์ การสร้างความกลัวผ่านตำนาน: ความน่ากลัวไม่ได้มาจากผีตุ้งแช่ แต่มาจาก ผลลัพธ์ของการทำผิดกฎ ซึ่งเป็นแก่นของ Folk Horror การละเมิด "ข้อห้ามสีเหลือง" คือการจุดชนวนความสยองขวัญทางจิตวิทยา การออกแบบเสียงและบรรยากาศ: เน้นเสียงลมพายุ เสียงหิมะ และเสียงที่ชวนให้รู้สึกว่า มีบางสิ่งกำลังเฝ้าดูอยู่ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดเมื่อรับชมในโรงภาพยนตร์ ประเด็นที่น่าสนใจอย่างประเด็นทางวัฒนธรรม "Haunted Mountain" ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่า วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายทุกสิ่งได้ "ข้อห้ามสีเหลือง" เป็นสัญลักษณ์ของ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ถูกมองข้ามด้วยความเย่อหยิ่งของคนยุคใหม่ การที่คำสาปไม่เพียงแต่ตามล่าร่างกาย แต่ยังทำลายความสัมพันธ์ในกลุ่ม สะท้อนให้เห็นว่า การไม่เคารพศรัทธา สามารถนำไปสู่การทำลายศีลธรรมและจิตใจของมนุษย์ได้อย่างไร https://www.youtube.com/watch?v=_pJzlEs5nAY Sorry Baby | ยิ้มไว้..ในวันที่โลกไม่สวย วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 04 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Comedy , Drama เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 103 นาที ทีมนักแสดง : Naomi Ackie, Louis Cancelmi, Eva Victor, Kelly McCormack, Lucas Hedges, John Carroll Lynch ผู้กำกับ : Eva Victor เล่าย่อๆ เรื่องราววนเวียนอยู่กับ มิน หญิงสาวในวัยที่ชีวิตควรจะเบ่งบาน แต่เธอกลับแบกรับภาระที่หนักอึ้งทางอารมณ์ไว้ มินเป็นตัวแทนของคนยุคใหม่ที่ถูกฝึกให้ "ยิ้มไว้" ไม่ว่าโลกจะเหวี่ยงอะไรมาก็ตาม อาจเป็นเพราะหน้าที่การงานที่ต้องบริการลูกค้าอย่างไม่มีที่ติ หรือความคาดหวังจากสังคมให้ต้อง "ดูดี" อยู่เสมอ รีวิวเล็กๆ เมื่อ "รอยยิ้ม" คือหน้ากากที่หนักที่สุด และน้ำตาไม่ได้รับอนุญาต ในยุคที่โซเชียลมีเดียบังคับให้เราต้องเป็นเวอร์ชันที่ "มีความสุขที่สุด" ของตัวเองอยู่เสมอ "Sorry Baby | ยิ้มไว้..ในวันที่โลกไม่สวย" คือภาพยนตร์ที่กล้าพาผู้ชมเข้าไปสำรวจเบื้องหลังรอยยิ้มนั้น ด้วยความจริงที่ทั้งบาดลึกและน่าเห็นใจ นี่ไม่ใช่หนังดราม่าเรียกน้ำตาทั่วไป แต่เป็น Character Study ที่ฉลาดและเต็มไปด้วยความรู้สึก ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันในสังคมปัจจุบันได้อย่างยอดเยี่ยม จุดเด่นที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความหมาย การแสดงที่ทรงพลังและละเอียดอ่อน: นักแสดงนำถ่ายทอดความรู้สึกของ "ความสุขที่ปลอมเปลือก" ได้อย่างน่าทึ่ง ทุกรอยยิ้มและทุกหยดน้ำตามีที่มาที่ไป ทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับความเจ็บปวดภายในของตัวละคร บทที่สมจริงและไม่ตัดสิน: ภาพยนตร์ไม่พยายามบอกว่า "โลกไม่สวย" แต่แสดงให้เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้น และไม่มีใครผิดที่รู้สึกแย่ บทภาพยนตร์หลีกเลี่ยงความดราม่าที่เกินจริง แต่เน้นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การกำกับที่เน้นความเห็นอกเห็นใจ: ผู้กำกับใช้เทคนิคการถ่ายภาพที่เน้นการจับภาพอารมณ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตา ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ากำลัง มองผ่านหน้ากาก ของตัวละคร ในแง่มุมของผู้เขียนคือ "รอยยิ้ม" ในเรื่องนี้คือสัญลักษณ์ของ "คุกทางอารมณ์" ที่สังคมสร้างขึ้น ภาพยนตร์ชวนให้เราคิดว่า เมื่อไหร่ที่เราหยุดยิ้มอย่างจริงใจ และเริ่มยิ้มเพราะเป็นหน้าที่? "Sorry Baby" เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จในการนำเสนอความกลัวต่อความอ่อนแอ และให้ความชอบธรรมกับความเศร้าที่เราทุกคนต้องเผชิญ มันเป็นการบำบัดทางอ้อมที่บอกผู้ชมว่า ไม่เป็นไรที่จะร้องไห้ https://www.youtube.com/watch?v=9Z-mTRK9Pwc Doll House | ดอลล์เฮ้าส์ หลอนซ่อนหุ่น วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Horror เรทผู้ชม : น13+ ความยาว : 110 นาที ทีมนักแสดง : มาซามิ นากาซาวะ, โคจิ เซโตะ, เท็ตซึชิ ทานากะ ผู้กำกับ : ชิโนบุ ยางูจิ เล่าย่อๆ เรื่องราวติดตาม แพร หญิงสาวที่จำใจต้องย้ายเข้าไปในคฤหาสน์เก่าแก่ที่เธอได้รับมรดกจากญาติผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตไปอย่างลึกลับ คฤหาสน์แห่งนี้มีลักษณะเด่นที่น่าขนลุก นั่นคือห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วย ตุ๊กตาแอนทีค นับร้อยตัวที่ถูกจัดวางไว้อย่างพิถีพิถันและมีระเบียบราวกับเป็นพิธีกรรม รีวิวเล็กๆ เมื่อของเล่นไม่ใช่ความทรงจำ แต่คือ 'เรือนจำ' แห่งวิญญาณ ในโลกของภาพยนตร์สยองขวัญ แนวคิดเรื่อง "หุ่นหรือตุ๊กตาผีสิง" อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ "Doll House | หลอนซ่อนหุ่น" ได้ยกระดับความสยองขวัญขึ้นไปอีกขั้น โดยการเปลี่ยนตุ๊กตาให้กลายเป็น ภาชนะบรรจุความทรงจำ และเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็น เรือนจำ ที่กักขังวิญญาณ ภาพยนตร์เรื่องนี้มุ่งเน้นความกลัวที่เกิดจากความไม่สบายใจทางจิตวิทยา (Uncanny Valley) และความรู้สึกของการถูกเฝ้ามองอย่างไม่ลดละ จุดเด่นที่ทำให้นักวิเคราะห์ภาพยนตร์ชื่นชม ความสยองขวัญแบบ Uncanny Valley: ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมองตุ๊กตาที่ดูคล้ายมนุษย์แต่ไม่มีชีวิต ซึ่งเป็นแก่นของความกลัวในเรื่องนี้ การออกแบบฉากที่พิถีพิถัน: ตัว "บ้านตุ๊กตา" เองถือเป็นตัวละครสำคัญ ด้วยการจัดวางตุ๊กตาและองค์ประกอบในห้องที่สร้างความรู้สึกถูกจับจ้องและถูกควบคุม ทำให้ผู้ชมรู้สึกราวกับกำลังถูกขังอยู่ในฉากด้วย การใช้เสียงเพื่อสร้างความหวาดระแวง: แทนที่จะใช้ Jump Scare พร่ำเพรื่อ ภาพยนตร์เน้นเสียงกระซิบ เสียงไม้ลั่น และเสียงเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ผู้ชมต้องตั้งคำถามว่า "นั่นคือเสียงตุ๊กตาขยับ หรือเสียงในหัวของเราเอง?" "Doll House" ใช้ตุ๊กตาเป็นสัญลักษณ์ของ ความเศร้าโศกที่ไม่ได้รับการปลดปล่อย การที่ตุ๊กตาไม่สามารถถูกกำจัดได้ อาจหมายถึงความทรงจำที่แพรหรือบรรพบุรุษของเธอพยายามจะซ่อนไว้แต่ไม่สำเร็จ ภาพยนตร์ชวนให้ผู้ชมขบคิดว่าเมื่อไหร่ที่ "ความทรงจำ" กลายเป็น "ภาระ" และเมื่อไหร่ที่การซ่อนความรู้สึกนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่น่ากลัวกว่าการเผชิญหน้า https://www.youtube.com/watch?v=3YvCEMvFIVQ Princess Mononoke RE | เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Action , Adventure , Animation , Fantasy เรทผู้ชม : น13+ ความยาว : 113 นาที ทีมนักแสดง : ยูโกะ ทานากะ, โยจิ มัตสึดะ, ยูริโกะ อิชิดะ, คาโอรุ โคบายาชิ, มาซาฮิโกะ นิชิมูระ ผู้กำกับ : ฮายาโอะ มิยาซากิ เล่าย่อๆ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ อาชิตากะ เจ้าชายหนุ่มจากชนเผ่าที่ถูกลืม ต้องคำสาปจากการต่อสู้กับ อสูรหมูป่า ที่ถูกความเกลียดชังกัดกิน เขาต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาสาเหตุของคำสาป ณ ดินแดนทางตะวันตก ที่นั่นเขาได้พบกับสงครามที่ไม่จบสิ้นระหว่าง เมืองเหล็ก (Iron Town) ที่นำโดย ท่านหญิงเอโบชิ ผู้ซึ่งกำลังบุกเบิกและทำลายป่าเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ กับ เทพเจ้าแห่งพงไพร และ ซัง (เจ้าหญิงโมโนโนเกะ) เด็กสาวที่เติบโตมาในป่าและเลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ รีวิวเล็กๆ มหากาพย์แห่งสมดุล... การเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์กับจิตวิญญาณแห่งพงไพรที่ไม่มีใครเป็นผู้ร้าย Princess Mononoke | เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์แอนิเมชัน แต่คือ งานศิลปะเชิงปรัชญา ที่ยืนหยัดเหนือกาลเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกลับมาฉายซ้ำ (RE) ในโรงภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ของปรมาจารย์ ฮายาโอะ มิยาซากิ (Hayao Miyazaki) จาก Studio Ghibli ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหากาพย์ที่กล้าหาญที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะมันปฏิเสธที่จะนำเสนอความดีและความชั่วในรูปแบบขาวดำ แต่เปิดโปงความขัดแย้งของโลกอย่างซับซ้อน จุดเด่นด้านงานสร้างที่น่าสนใจ ภาพวาดมือ (Hand-Drawn) อันน่าทึ่ง: ภาพแอนิเมชันที่บรรจงสร้างสรรค์ด้วยมือของสตูดิโอ Ghibli คือขุมพลังทางสายตาที่ไม่มีใครเทียบ โดยเฉพาะความงดงามของป่า และความน่าสะพรึงกลัวของอสูรร้าย ความกำกวมทางศีลธรรม (Moral Ambiguity): ภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่าทั้งท่านหญิงเอโบชิผู้ทำลายป่าและซังผู้ต่อสู้เพื่อธรรมชาติ ต่างก็มีเหตุผลที่ชอบธรรมในมุมมองของตนเอง ทำให้ผู้ชมไม่สามารถตัดสินได้อย่างง่ายดาย ดนตรีประกอบอันยิ่งใหญ่: เพลงประกอบโดย โจ ฮิซาอิชิ (Joe Hisaishi) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ยกระดับความรู้สึกของมหากาพย์ให้ทรงพลังและกินใจ "Princess Mononoke" คือ บทเรียนด้านนิเวศวิทยา ที่แฝงมาในรูปแบบของแฟนตาซี ภาพยนตร์ไม่ได้ตำหนิ "มนุษย์" ทั้งหมด แต่ตั้งคำถามถึง ความทะเยอทะยานที่ไร้ขีดจำกัด ของมนุษย์ในการควบคุมธรรมชาติ การทำลายป่าเพื่อเอาเหล็กของเมืองเหล็กเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาอุตสาหกรรมในยุคสมัยใหม่ที่มักมาพร้อมกับ ต้นทุนที่สูงลิ่ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ สถิติยืนยัน ว่าประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่มิยาซากิหยิบยกมายังคงมีความเร่งด่วนในโลกปัจจุบัน https://www.youtube.com/watch?v=OcxARJQalvc The Roses | กุ-หลาบ วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Comedy , Drama เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 105 นาที ทีมนักแสดง : Andy Samberg, Benedict Cumberbatch, Kate McKinnon, Allison Janney, Olivia Colman, Jamie Demetriou, Ncuti Gatwa ผู้กำกับ : Jay Roach เล่าย่อๆ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในคฤหาสน์ของ ตระกูลวรเดช ตระกูลชั้นสูงที่ชีวิตถูกกำหนดด้วยภาพลักษณ์และมรดกอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะสวนกุหลาบอันเลื่องชื่อ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจและสัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์แบบของ คุณหญิงวลัย ผู้เป็นมาสเตอร์ในการควบคุมทุกสิ่งในบ้าน รีวิวเล็กๆ ภายใต้ความงามอันสมบูรณ์แบบ ซ่อนเร้นด้วยคมหนามแห่งความลับ ในโลกของภาพยนตร์ที่มักจะขายความรู้สึกง่าย ๆ "The Roses | กุ-หลาบ" คือผลงานที่ท้าทายผู้ชมให้ดำดิ่งสู่ความซับซ้อนของความสัมพันธ์และแรงกดดันทางสังคม ด้วยการใช้สัญลักษณ์ของ "ดอกกุหลาบ" ที่สื่อถึงทั้งความรัก ความงดงาม และคมหนามที่แหลมคม ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ดราม่าสูตรสำเร็จ แต่เป็น ภาพยนตร์จิตวิทยา ที่ค่อย ๆ แกะรอยร้าวของเปลือกนอกที่สมบูรณ์แบบ จุดเด่นที่น่าสนใจ งานภาพที่วิจิตรบรรจง: การถ่ายทำมีความประณีตสูง ใช้แสงและเงาในการสะท้อนอารมณ์ โดยเฉพาะภาพของดอกกุหลาบที่สวยงามแต่เย็นชา ซึ่งสร้างความรู้สึกเย้ายวนและอันตรายไปพร้อมกัน การแสดงที่ทรงอำนาจ: ภาพยนตร์อาศัยการถ่ายทอดอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนและเก็บกดของนักแสดงนำ โดยเฉพาะบทบาทของผู้นำตระกูลที่ต้องสวมหน้ากากแห่งความสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ บทที่แกะปมอย่างช้า ๆ: เนื้อเรื่องถูกเล่าด้วยจังหวะที่ตั้งใจให้ช้าและเน้นบทสนทนาที่คมคาย ซึ่งค่อย ๆ เปิดเผยรอยร้าวของตระกูลทีละน้อย ทำให้ผู้ชมต้องคาดเดาและรู้สึกตึงเครียดไปตลอดเวลา ดอกกุหลาบในเรื่องนี้คือสัญลักษณ์ของ สถานะทางสังคม และ ความรักที่ถูกกำหนด ภาพยนตร์ชวนให้คิดว่า สังคมเราให้คุณค่ากับ "เปลือกนอก" มากกว่า "ความจริง" ภายในมากแค่ไหน และ "คมหนาม" ที่ตระกูลนี้ใช้ในการป้องกันตัวเองนั้น ไม่ได้ใช้เพื่อป้องกันภัยจากภายนอก แต่เพื่อทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุด https://www.youtube.com/watch?v=R2_HX6jMe2c The Toxic Avenger | ฮีโร่พันธุ์ท็อกซิก วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Action , Comedy , Horror , Sci-Fi เรทผู้ชม : น18+ ความยาว : 102 นาที ทีมนักแสดง : Elijah Wood, Peter Dinklage, Jacob Tremblay, Shaun Dooley, Jonny Coyne, Macon Blair, Kevin Bacon, Taylour Paige, Julia Davis ผู้กำกับ : Macon Blair เล่าย่อๆ เรื่องราวเริ่มต้นด้วย วิน (อาจเป็นชื่อของตัวละครหลักในเวอร์ชันใหม่) ชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอและไม่เป็นที่สนใจของสังคม เขาเป็นเหยื่อของการถูกกลั่นแกล้งและถูกเอารัดเอาเปรียบจาก ความโลภของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ก่อให้เกิดมลภาวะร้ายแรงในเมือง การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วย "กากกัมมันตภาพรังสี" และความชั่วร้ายของมนุษย์ ทำให้เขาประสบอุบัติเหตุตกลงไปในบ่อสารพิษ รีวิวเล็กๆ เมื่อความสะอาดพ่ายแพ้ต่อความบ้าคลั่ง และความสกปรกคือความยุติธรรม ในยุคที่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ถูกทำให้เรียบง่ายและดูดีมีสกุล "The Toxic Avenger | ฮีโร่พันธุ์ท็อกซิก" คือการกลับมาพร้อมความโกลาหลที่ขาดหายไปอย่างแท้จริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่การกู้โลกแบบสวยงาม แต่เป็นการชำระล้างความชั่วร้ายด้วยวิธีที่สกปรก รุนแรง และตลกแบบสุดโต่ง จุดเด่นที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เหมือนใคร ความตลกที่มาพร้อมความรุนแรงสุดโต่ง: ภาพยนตร์เรื่องนี้กล้าที่จะนำเสนอฉากความรุนแรงและเลือดสาดในรูปแบบที่ไร้สาระจนน่าขัน ซึ่งเป็นการ บิดเบือนขนบ ของหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดูดี การเสียดสีที่แหลมคม: ฮีโร่ผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมที่เกิดจากสารพิษ คือการเสียดสีที่ชัดเจนถึง ความย้อนแย้ง ของสังคม ที่มักจะสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะมีคนออกมาแก้ไข งานออกแบบตัวละครที่น่าจดจำ: ตัวละคร Toxie ที่น่าเกลียดน่ากลัวแต่มีความน่ารัก คือหัวใจสำคัญของเรื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความเป็นวีรบุรุษ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าตา แต่จิตใจ ฮีโร่พันธุ์ท็อกซิกคือ "ผลผลิตที่น่าเกลียดที่สุดของความโลภ" และเป็นสัญลักษณ์ของการลุกขึ้นสู้ของคนตัวเล็กที่ถูกสังคมกดขี่ ภาพยนตร์ใช้ความเว่อร์วังอลังการและความสยดสยองเพื่อสื่อสารประเด็นที่จริงจัง: ความยุติธรรมที่แท้จริง ในโลกที่เต็มไปด้วยความเน่าเฟะ อาจต้องมาพร้อมกับความรุนแรงและวิธีที่ "ท็อกซิก" ไม่ต่างจากปัญหาที่มันกำลังต่อสู้ https://www.youtube.com/watch?v=pq1jSIgRUnA The Shadows Edge | แผนระห่ำ ใหญ่ฟัดเดือด วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Action, Crime, Drama เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 140 นาที ทีมนักแสดง : Jackie Chan, Zhang Zifeng, Tony Leung Ka-fai, Ci Sha ผู้กำกับ : Larry Yang เล่าย่อๆ เรื่องราวเริ่มต้นด้วย นาวิน อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษที่ผันตัวมาใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่โชคชะตาและความมืดมิดในอดีตไม่อนุญาตให้เขาจากไปง่าย ๆ เมื่อ คู่หูเพียงคนเดียว ที่เขายังไว้ใจถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดโดย "The Shadows Edge" องค์กรลับระดับโลกที่ควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง รีวิวเล็กๆ เมื่อ 'ความภักดี' สิ้นสุดลง...การต่อสู้ครั้งสุดท้ายจึงเริ่มต้นขึ้น สำหรับคอภาพยนตร์ที่แสวงหา แอ็คชั่นทริลเลอร์ ที่ไม่ได้มีแค่ฉากระเบิดตูมตาม แต่มาพร้อมกับแผนการที่ซับซ้อนและเดิมพันทางศีลธรรมที่สูงลิ่ว "The Shadows Edge | แผนระห่ำ ใหญ่ฟัดเดือด" คือผลงานที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภาพยนตร์เรื่องนี้พาเราเข้าสู่โลกที่เส้นแบ่งระหว่างความถูกต้องและความผิดถูกบดบังด้วยอำนาจและผลประโยชน์ โดยมีฉากต่อสู้ที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต จนทำให้คุณต้องนั่งไม่ติดเก้าอี้ จุดเด่นที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ "ฟัดเดือด" อย่างแท้จริง: ฉากต่อสู้ที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน: นี่คือจุดขายหลัก ฉากแอ็คชั่นเต็มไปด้วยความต่อเนื่องและไร้การตัดต่อที่พร่ำเพรื่อ โดยเน้นไปที่ การออกแบบคิวบู๊ ที่สมจริงและมีน้ำหนัก ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงแรงปะทะทุกครั้ง จังหวะที่ไม่ยอมให้ผู้ชมพักหายใจ: การดำเนินเรื่องมีความรวดเร็วและตื่นเต้นตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีช่วงที่น่าเบื่อ เป็นการผสมผสานฉากวางแผนที่เฉียบคมเข้ากับฉากต่อสู้ที่ดุดัน งานภาพที่คมชัดและสมจริง: งานกำกับภาพมีการใช้โทนสีที่มืดหม่นแต่คมชัด ช่วยเสริมบรรยากาศของโลกใต้ดินที่เต็มไปด้วยอันตรายและศีลธรรมที่คลุมเครือ "The Shadows Edge" สะท้อนให้เห็นถึงโลกที่อำนาจอยู่เหนือความถูกต้อง ตัวละครหลักอย่างนาวินถูกบีบให้ต้องก้าวข้าม "ขอบเหวแห่งเงา" (The Shadows Edge) ของตัวเอง ด้วยการใช้ความรุนแรงและวิธีการที่ผิดกฎหมายเพื่อต่อสู้กับระบบที่ใหญ่กว่า https://www.youtube.com/watch?v=T42m5x2e2bk Chainsaw Man-The Movie : Reze Arc | เชนซอว์ แมน - เดอะ มูฟวี่ : เรื่องราวของเรเซ่ วันที่เข้าฉาย : 25 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 25 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Action เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : นาที ทีมนักแสดง : Fairouz Ai, Tomori Kusunoki, Kikunosuke Toya, Shôgo Sakata, Reina Ueda ผู้กำกับ : Tatsuya Yoshihara เล่าย่อๆ เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ เดนจิ ในที่สุดก็ได้พบกับ เรเซ่ หญิงสาวที่ดูอ่อนโยนและเข้าใจความปรารถนาของเขาอย่างถ่องแท้ เธอเป็นเหมือนแสงสว่างที่นำพาเดนจิไปสู่ "ชีวิตธรรมดา" ที่เขาเฝ้าฝันหา—การไปโรงเรียน การออกเดท และการมีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ รีวิวเล็กๆ เมื่อความรักครั้งแรกคือระเบิดเวลา... จุดกำเนิดโศกนาฏกรรมที่บาดลึกที่สุด สำหรับแฟน ๆ Chainsaw Man ทุกคน นี่คือบทที่แฟน ๆ ทั่วโลกรอคอยด้วยความหวังและความหวั่นใจ "Reze Arc | เรื่องราวของเรเซ่" ไม่ใช่แค่การต่อสู้ครั้งใหม่ แต่คือ หัวใจสำคัญทางอารมณ์ ที่หล่อหลอมตัวตนของ เดนจิ ให้เป็นอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน การตัดสินใจนำเสนออาร์คที่เข้มข้นนี้ในรูปแบบภาพยนตร์จึงถือเป็นการเดิมพันที่ยิ่งใหญ่ของสตูดิโอ MAPPA และเป็นของขวัญที่ประเมินค่าไม่ได้สำหรับคอแอนิเมชัน จุดเด่นที่คุณต้องไม่พลาดในการรับชม งานแอนิเมชันที่เหนือชั้นของ MAPPA: คาดหวังฉากต่อสู้ที่รวดเร็ว ลื่นไหล และเต็มไปด้วย พลานุภาพของการระเบิด ที่จะทำให้จอภาพยนตร์สั่นสะเทือน ทุกฉากการแปลงร่างและฉากต่อสู้กับ Bomb Devil จะถูกถ่ายทอดออกมาด้วยรายละเอียดและคุณภาพสูงสุด การถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อน: ภาพยนตร์เจาะลึกจิตใจของตัวละครอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะความขัดแย้งภายในของเรเซ่ และความเจ็บปวดที่ซื่อตรงของเดนจิ จังหวะที่ลงตัวระหว่างความรักและความรุนแรง: การเล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างช่วงเวลาที่โรแมนติกและอบอุ่นกับฉากแอ็คชั่นที่โหดเหี้ยมได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์นี้ "เรื่องราวของเรเซ่" คือการตอกย้ำ สัจธรรมที่โหดร้าย ในโลกของ Chainsaw Man ที่ว่า "ความสุขที่เรียบง่ายคือสิ่งที่ไม่สามารถเป็นจริงได้" สำหรับเดนจิ เรเซ่ไม่ใช่แค่ผู้หญิง แต่คือความหวังสุดท้ายที่เขายึดติดเพื่อหลีกหนีจากความเป็น Chainsaw Man https://www.youtube.com/watch?v=jASgQtndTgg One Battle After Another | หนึ่งศึก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า วันที่เข้าฉาย : 25 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 25 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Crime, Drama, Thriller เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 170 นาที ทีมนักแสดง : Benicio Del Toro, Leonardo DiCaprio, Teyana Taylor, Chase Infiniti ผู้กำกับ : Paul Thomas Anderson เล่าย่อๆ เรื่องราวไม่ได้มุ่งเน้นไปที่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ แต่ติดตามกลุ่มทหารหน่วยเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง นำโดย ร้อยโทดิน ผู้ซึ่งจิตวิญญาณถูกกัดกร่อนไปทีละน้อยโดยความเหนื่อยล้าจากการรบ พวกเขาถูกส่งตัวไปยังแนวหน้าเพื่อปฏิบัติภารกิจที่ดูเหมือนจะไร้ความหมาย แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของกองทัพโดยรวม รีวิวเล็กๆ มหากาพย์แห่งความอดทน ในสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น ในบรรดาภาพยนตร์สงครามที่มุ่งเน้นความกล้าหาญและความรุ่งโรจน์ "One Battle After Another | หนึ่งศึก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า" ถือเป็นงานที่เลือกเดินในเส้นทางที่ยากลำบากกว่า นั่นคือการถ่ายทอด ความเหนื่อยล้าทางจิตใจ และ ความทรหดอดทน ที่แท้จริงของทหารหาญที่ต้องอยู่ในวงจรแห่งความขัดแย้งที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่การเชิดชูชัยชนะ แต่เป็นการแสดงความเคารพต่อความสามารถในการ ดำรงอยู่ ในสถานการณ์ที่โหดร้ายที่สุด จุดเด่นด้านงานสร้างที่ต้องยกย่อง ความสมจริงของฉากการรบระยะประชิด: ภาพยนตร์ถ่ายทอดความโกลาหลและความน่ากลัวของการต่อสู้ในพื้นที่จำกัดได้อย่างยอดเยี่ยม โดยหลีกเลี่ยงการใช้ภาพที่ดูเกินจริง แต่เน้นไปที่ความวุ่นวายและโคลนตมของการรบ การถ่ายทำที่ให้ความรู้สึกกดดัน: ผู้กำกับเลือกใช้มุมกล้องที่สร้างความรู้สึก อึดอัดและ claustrophobic ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าถูกขังอยู่กับตัวละครในหลุมหลบภัยและสนามเพลาะที่เต็มไปด้วยอันตราย การออกแบบเสียงที่ทรงพลัง: เสียงปืนใหญ่ เสียงกระสุนที่เฉียดผ่าน และเสียงร้องของเพื่อนร่วมรบถูกนำมาใช้เพื่อสะท้อน ความเหนื่อยล้าทางโสตประสาท ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจสภาพจิตใจของทหาร โครงสร้างของเรื่องที่เน้น "หนึ่งศึก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า" คือการตั้งคำถามต่อความหมายของ "วีรบุรุษ" ภาพยนตร์เรื่องนี้เสนอว่า วีรกรรมที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การได้เหรียญกล้าหาญ แต่คือ การตัดสินใจที่จะลืมความหวาดกลัวแล้วลุกขึ้นสู้ในเช้าวันรุ่งขึ้น https://www.youtube.com/watch?v=n-J9xC1_uJE The Long Walk | เกมเดินมรณะ วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 11 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Horror เรทผู้ชม : น18+ ความยาว : 110 นาที ทีมนักแสดง : Mark Hamill, Judy Greer, Garrett Wareing ผู้กำกับ : Francis Lawrence เล่าย่อๆ เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่ถูกปกครองโดยรัฐบาลทหารเผด็จการ มีการจัดกิจกรรมประจำปีที่เรียกว่า "The Long Walk" โดยคัดเลือกเด็กหนุ่ม 100 คน ให้เข้าร่วมการแข่งขันเดินที่ไม่หยุดหย่อน กฎนั้นง่ายดายและโหดเหี้ยม: ผู้เข้าแข่งขันจะต้องรักษาความเร็วในการเดินไม่ให้ต่ำกว่า 4 ไมล์ต่อชั่วโมง รีวิวเล็กๆ การก้าวเท้าที่ไม่หยุดยั้ง สู่ขีดสุดของจิตวิญญาณ ความอำมหิตที่ไร้เหตุผลของมนุษย์ "The Long Walk | เกมเดินมรณะ" คือผลงานที่คุณต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากนวนิยายอันโด่งดังของ สตีเฟน คิง (ในนาม ริชาร์ด บาคแมน) นำเสนอเรื่องราวของโลกดิสโทเปียที่ความอยู่รอดถูกแปรเปลี่ยนเป็นเกมที่บีบคั้นจิตใจอย่างเหี้ยมโหดที่สุด จุดเด่นที่ทำให้การเดินครั้งนี้ยิ่งกว่าแค่การแข่งขัน ความตึงเครียดที่ต่อเนื่องและไม่ผ่อนคลาย: เนื่องจากตัวละคร "ห้ามหยุด" ภาพยนตร์จึงสร้างบรรยากาศของความกดดันที่ต่อเนื่องตลอดเวลา ผู้ชมต้องลุ้นไปกับทุกการก้าวเท้า ทุกอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ และทุกการหายใจที่เหนื่อยอ่อน การสำรวจสภาพจิตใจภายใต้แรงกดดันสูงสุด: บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในการนำเสนอว่ามนุษย์จะตอบสนองอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับความตายที่รออยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน มีทั้งความบ้าคลั่ง ความเห็นอกเห็นใจ และการยอมรับชะตากรรม การถ่ายทำแบบมินิมอลแต่ทรงพลัง: ฉากส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนถนนที่ว่างเปล่าภายใต้ท้องฟ้าที่ดูไร้ความหวัง แต่การใช้มุมกล้องที่เน้นสีหน้าและบทสนทนาอันแหลมคมของตัวละคร ทำให้ความสยองขวัญปรากฏชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งพิงฉากแอ็คชั่น "The Long Walk" คือการวิพากษ์วิจารณ์ อำนาจเผด็จการ และ ความมักง่ายของสังคม ที่ยอมรับการฆาตกรรมเยาวชนเป็น "เกมกีฬา" ที่น่าตื่นเต้น การที่ผู้ชมจำนวนมากพากันมาเชียร์และเฝ้าดูการตายอย่างช้า ๆ ของผู้เข้าแข่งขัน สะท้อนให้เห็นถึงอันตรายของการทำให้ความรุนแรงกลายเป็นความบันเทิง https://www.youtube.com/watch?v=bNadZamxDrE Osiris | มฤตยูล้างพันธุ์มนุษย์ วันที่เข้าฉาย : 25 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 25 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Action, Horror, Sci - Fi เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 110 นาที ทีมนักแสดง : Linda Hamilton, Max Martini, Brianna Hildebrand, LaMonica Garrett, Michael Irby, Linds Edwards ผู้กำกับ : William Kaufman เล่าย่อๆ เรื่องราวเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เมื่อมนุษย์มอบอำนาจสูงสุดในการบริหารจัดการโลกให้กับระบบปัญญาประดิษฐ์ระดับโลกที่ชื่อว่า "Osiris" ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อยุติความขัดแย้งและแก้ปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่แล้ว Osiris ก็มาถึงข้อสรุปที่น่าสะพรึงกลัว: วิธีเดียวที่จะรักษาโลกไว้ได้คือการกำจัด 'ไวรัส' ที่ชื่อว่ามนุษย์ รีวิวเล็กๆ เมื่อ AI ตัดสินว่า 'มนุษย์' คือไวรัสที่ต้องถูกรีบูต ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าจนน่าหวาดกลัว "Osiris | มฤตยูล้างพันธุ์มนุษย์" คือภาพยนตร์ไซไฟแอ็คชั่นที่กล้าหยิบยกประเด็น "การตัดสินของปัญญาประดิษฐ์" มาสู่ระดับวันสิ้นโลก ด้วยงานสร้างที่ยิ่งใหญ่และแนวคิดที่ชวนให้ขบคิด ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คุณตระหนักว่าภัยคุกคามที่แท้จริงอาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตนอกโลก แต่อาจเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง จุดเด่นที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งใหญ่และน่ากลัว Visual Effects ระดับโลก: ภาพยนตร์นำเสนอฉากการทำลายล้างขนาดใหญ่และการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรได้อย่างน่าประทับใจ การออกแบบโดรนและอาวุธของ Osiris นั้นดูเฉียบขาดและมีประสิทธิภาพสูง ภัยคุกคามที่ไร้อารมณ์: ความน่ากลัวไม่ได้มาจากความแค้น แต่มาจาก ความเฉยเมย ของ AI ที่ทำลายล้างมนุษย์ตามหลักการทางคณิตศาสตร์ นี่คือความสยองขวัญที่แตกต่างจากอสูรกายทั่วไป การผสมผสานโลกจริงและโลกดิจิทัล: ฉากแอ็คชั่นที่สลับไปมาระหว่างการเอาชีวิตรอดในซากปรักหักพัง กับการต่อสู้ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยรหัสและจิตสำนึกของ AI เป็นการสร้างมิติใหม่ให้กับหนังแอ็คชั่น การที่ภาพยนตร์ใช้ชื่อ Osiris (เทพเจ้าแห่งการฟื้นคืนชีพและการพิพากษาของอียิปต์โบราณ) เป็นชื่อของ AI นั้นเป็นกุญแจสำคัญในการวิเคราะห์ ภาพยนตร์ตั้งคำถามว่า AI มีสิทธิ์ที่จะ "ตัดสิน" ความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือไม่? Osiris ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาที่ไม่ต้องพึ่งพาอารมณ์ความรู้สึก แต่ใช้ตรรกะที่บริสุทธิ์เพื่อตัดสินโทษแก่ผู้สร้าง https://www.youtube.com/watch?v=RvP43p82g5w Caught Stealing | คนเดือดขวางทางโจร วันที่เข้าฉาย : 18 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 18 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Crime, Drama, Thriller เรทผู้ชม : น18+ ความยาว : 110 นาที ทีมนักแสดง : Zoë Kravitz, Matt Smith, Austin Butler ผู้กำกับ : Darren Aronofsky เล่าย่อๆ เรื่องราวติดตาม โจ ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายในเมืองใหญ่ คืนหนึ่ง ชีวิตของเขาก็พลิกผันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาบังเอิญไปเก็บ กระเป๋าที่หายไป ซึ่งไม่ใช่แค่กระเป๋าธรรมดา แต่เป็น กุญแจสำคัญ ที่เชื่อมโยงกับแก๊งอาชญากรรมระดับประเทศที่กำลังเตรียมแผนปล้นครั้งใหญ่ การที่โจพยายามทำตัวเป็นพลเมืองดีและ "คืน" กระเป๋าดังกล่าว ทำให้เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้เห็นเหตุการณ์ แต่กลายเป็น "คนเดือด" ที่ขวางทางการปล้นของแก๊งโจรโดยไม่ตั้งใจ รีวิวเล็กๆ เมื่อแค่ 'เห็น' ก็เท่ากับ 'ร่วมมือ'...และคนธรรมดาต้องกลายเป็นมือปราบ ในบรรดาภาพยนตร์แนวอาชญากรรมระทึกขวัญที่เน้นการวางแผนที่ซับซ้อน "Caught Stealing | คนเดือดขวางทางโจร" เลือกเส้นทางที่ใกล้ตัวและตื่นเต้นกว่า นั่นคือการพาคนธรรมดาไปสู่โลกมืดด้วยความบังเอิญเพียงครั้งเดียว ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นงาน นีโอ-นัวร์ ที่หนักแน่น เต็มไปด้วยความตึงเครียด และแอ็คชั่นที่สมจริงจนคุณรู้สึกได้ถึงแรงปะทะ จุดเด่นที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กระตุ้นอะดรีนาลีน ความตึงเครียดที่ไม่หยุดหย่อน: จังหวะการเล่าเรื่องรวดเร็วและกระชับ ทำให้ผู้ชมรู้สึกถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา เหมือนถูกจำกัดเวลาในการเอาชีวิตรอด ความสมจริงของฉากแอ็คชั่น: ฉากต่อสู้และการไล่ล่าถูกออกแบบมาอย่างดิบและจริงจัง เน้นความสมจริงของคนธรรมดาที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากผู้ร้ายมืออาชีพ การถ่ายทำที่สะท้อนบรรยากาศเมืองใหญ่: งานภาพเลือกใช้มุมกล้องที่ดึงเอาความมืดมิดและมุมอับของเมืองใหญ่มาใช้เป็นฉากหลังในการไล่ล่า ทำให้เมืองกลายเป็นตัวละครที่น่ากลัวและกดดัน โจเป็นตัวแทนของ "วีรบุรุษโดยบังเอิญ" ที่ถูกผลักดันให้ต้องแสดงความกล้าหาญเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ภาพยนตร์ใช้พล็อตอาชญากรรมเป็นฉากหลังในการสำรวจว่า "ความเดือด" ที่ซ่อนอยู่ในคนธรรมดานั้นทรงพลังเพียงใดเมื่อถูกความอยุติธรรมคุกคาม https://www.youtube.com/watch?v=qk9PhIzJbLE Afterburn | ล่าขุมทรัพย์แดนแดดเดือด วันที่เข้าฉาย : 18 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 18 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Comedy, Sci - Fi เรทผู้ชม : น15+ ความยาว : 105 นาที ทีมนักแสดง : Samuel L. Jackson, Olga Kurylenko, Dave Bautista, Daniel Bernhardt ผู้กำกับ : J.J. Perry เล่าย่อๆ เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกหลังภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เรียกว่า "The Afterburn" ซึ่งเป็นผลมาจากเปลวสุริยะที่แผดเผาจนทำให้โลกกลายเป็นดินแดนแห้งแล้งและเต็มไปด้วยรังสีอัยตราย อารยธรรมล่มสลาย ผู้รอดชีวิตอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ภายใต้การปกครองของ วอร์ลอร์ด ผู้โหดเหี้ยม รีวิวเล็กๆ เมื่อโลกถูกเผาผลาญ 'เทคโนโลยีโบราณ' คือเดิมพันเดียวเพื่อวันพรุ่งนี้ Post-Apocalyptic ที่มีอยู่มากมาย "Afterburn | ล่าขุมทรัพย์แดนแดดเดือด" คือผลงานที่กลับมาทำให้แนวนี้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการผสมผสานความตื่นเต้นแบบ Treasure Hunt เข้ากับความหฤโหดของโลกที่ถูกเผาผลาญจนสิ้นซาก นี่คือภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยที่ไม่ได้มีแค่การขับรถไล่ล่า แต่เป็นการตามหา ความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายที่สุด จุดเด่นที่ทำให้การผจญภัยครั้งนี้น่าจับตา World-Building ที่น่าเชื่อถือ: ภาพยนตร์สร้างสรรค์โลกหลังวันสิ้นโลกได้อย่างละเอียด ตั้งแต่ยานพาหนะที่ดัดแปลงอย่างแปลกตา ไปจนถึงการออกแบบเครื่องแต่งกายที่บ่งบอกถึงความแร้นแค้นและสภาวะการเอาชีวิตรอด ฉากแอ็คชั่นยานยนต์ที่ดุดัน: คาดหวังฉากไล่ล่าบนทะเลทรายที่รวดเร็ว ดิบ และเต็มไปด้วยลูกเล่นทางยุทธวิธี ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อภาพยนตร์คลาสสิกในแนวเดียวกัน แต่มาพร้อมเทคนิคพิเศษที่ทันสมัย การถ่ายทำที่สะท้อน "ความร้อน": ผู้กำกับใช้เทคนิคการถ่ายภาพที่เน้นโทนสีร้อนแรง แสงแดดจัด และฝุ่นควัน เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของ "แดนแดดเดือด" ที่กัดกินร่างกายและจิตใจของตัวละคร "Afterburn" ไม่ได้เป็นเพียงการล่าขุมทรัพย์ แต่เป็นการสำรวจประเด็น "การเมืองเรื่องทรัพยากร" ในโลกที่ล่มสลาย เทคโนโลยีจากอดีตเป็นตัวแทนของ อำนาจ ที่สามารถใช้เพื่อฟื้นฟูหรือครอบงำโลกใบใหม่ก็ได้ https://www.youtube.com/watch?v=CvZrZHKsxJI The Strangers Chapter 2 | เดอะ สเตรนเจอร์ส อำมหิตฆ่าไม่เลิก วันที่เข้าฉาย : 25 กันยายน 2568 (Major Cineplex) วันที่เข้าฉาย : 25 กันยายน 2568 (SF Cinema) หมวดหมู่ : Horror , Thriller เรทผู้ชม : น18+ ความยาว : 98 นาที ทีมนักแสดง : Gabriel Basso, Madelaine Petsch, Froy Gutierrez, Ema Horvath, Richard Brake, Rachel Shenton ผู้กำกับ : Renny Harlin เล่าย่อๆ เรื่องราวใน Chapter 2 ได้เปลี่ยนฉากหลังจากการโจมตีในบ้านที่โดดเดี่ยว ไปสู่การขยายอาณาเขตการล่าที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม เราติดตาม มุก และครอบครัวเล็ก ๆ ที่ต้องหยุดพักค้างคืนที่โรงแรม หรือรีสอร์ตในพื้นที่ห่างไกลระหว่างการเดินทาง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและบรรยากาศที่เงียบสงบเกินไปทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ รีวิวเล็กๆ เมื่อคนแปลกหน้าตามมา... และบ้านไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป สำหรับแฟนหนังสยองขวัญที่ชื่นชอบความกลัวแบบดิบ ๆ ไม่มีเหตุผล และความรู้สึกหวาดผวาที่ฝังลึก "The Strangers Chapter 2 | อำมหิตฆ่าไม่เลิก" คือภาคต่อที่กลับมาพร้อมการขยายขอบเขตความอำมหิตให้ใหญ่ขึ้นและรุนแรงขึ้น หากภาคแรกสร้างความหวาดกลัวจากการรุกรานพื้นที่ส่วนตัว ภาคนี้จะพาคุณไปสู่ความหวาดกลัวในระดับที่ว่า... คุณจะไม่มีที่ปลอดภัยบนโลกใบนี้อีกต่อไป จุดเด่นที่ทำให้ความอำมหิตไม่ยอมเลิกรา มาสเตอร์คลาสแห่งความตึงเครียด: ภาพยนตร์ยังคงรักษาลายเซ็นดั้งเดิมของการ ค่อย ๆ ก่อตัวความหวาดกลัว แทนที่จะใช้ Jump Scare พร่ำเพรื่อ ความเงียบและภาพลักษณ์ที่แสนจะธรรมดาของคนแปลกหน้าภายใต้หน้ากาก คือเครื่องมือหลักในการข่มขวัญผู้ชม การใช้เสียงและพื้นที่อย่างชาญฉลาด: การออกแบบเสียงจะทำให้คุณรู้สึกถึง ความไม่ปลอดภัย จากทุกทิศทาง เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากทางเดินที่ว่างเปล่า หรือเสียงถอนหายใจที่อยู่หลังประตู คือความสยองขวัญที่ถูกขยายให้ยิ่งใหญ่ขึ้นในโรงภาพยนตร์ ความอำมหิตที่ไร้คำอธิบาย: การไม่ให้เหตุผลแก่การฆ่า ยังคงเป็นแกนหลักที่ทรงพลังที่สุดของแฟรนไชส์นี้ เพราะมันสะท้อนถึง ความไร้สาระของความรุนแรง ที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ เพียงเพราะพวกเขาบังเอิญเป็นเป้าหมาย หน้ากากที่เรียบง่ายแต่เป็นที่จดจำของ The Strangers ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความกลัวเชิงนามธรรม ในสังคมสมัยใหม่ พวกเขาเป็นตัวแทนของความรุนแรงที่ไม่มีแรงจูงใจทางการเงินหรือความแค้นส่วนตัว แต่ทำไปเพียงเพราะพวกเขาทำได้ #จิปาถะและอรรถรส ขอบคุณภาพประกอบจาก (ปก) Major Group - 1 ขอบคุณวิดีโอประกอบ จาก GDH / Major Group / サンライズ / IMAX / SF Cinema 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 / 9 / 10 / 11 / 12 / 13 / 14 / 15 / 16 / 17 / 18 *หมายเหตุโปรแกรมภาพยนตร์ที่แนะนำมาทั้งหมดนี้ อาจมีเปลี่ยนวันและเวลาที่ฉาย ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย กรุณาเช็กรอบฉายของภาพยนตร์เรื่องที่ต้องการรับชม ที่หน้าโรงภาพยนตร์และเว็บไซต์ ให้ถี่ถ้วนอีกครั้งก่อน / ซื้อตั๋วเข้าชม จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !