Short CommentMoonlight Shadow : ปาฏิหาริย์รักใต้เงาจันทร์ (2021)ไม่รู้เป็นอย่างไรที่ผู้เขียนมักจะไม่ค่อยปฏิเสธการดูหนังญี่ปุ่นโดยเฉพาะที่นำแสดงโดยนักแสดงสองราย หนึ่งคือคาสุมิ อาริมูระ อีกหนึ่งคือนานะ โคมัตสึ โดยเฉพาะรายหลังผู้เขียนดูหนังของเธอมามากกว่ารายแรกเสียอีก แต่ก็อาจเป็นเพราะรายแรกมีงานละครโทรทัศน์มาให้ชมบ้างแต่รายหลังแทบไม่จับงานทางจอเล็กเลย และเหมือนกับว่าผู้เขียนถูกมนต์สะกดของขี้แมลงวันสามจุดบนใบหน้าของนานะ โคมัตสึดึงดูดสายตาอย่างลี้ลับ แต่หนังญี่ปุ่นก็ยังมีข้อจำกัดบางประการด้วยการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้อาจไม่บันเทิงกับคนทั่วไปจึงเป็นการยากที่จะเข้าไปดูในโรงได้ด้วยเหตุที่เกรงใจคนข้างๆ แต่ก็รองานเรื่องนี้ที่ไม่คิดว่าจะลงจอเล็กเร็วปานนี้เช่นกัน เพียงแต่ชื่อเรื่องภาษาไทยที่ว่า "ปาฏิหาริย์รักใต้เงาจันทร์" กลับเหมือนเป็นสิ่งผิดพลาดประหนึ่งพาผู้ชมขึ้นรถไฟผิดสายเรื่องของซัตสึกิ (นานะ โคมัตสึ) กับฮิโตชิ (ฮิโอะ มิยาซาว่า) ที่ได้พบกัน รักกัน อยู่ด้วยกัน มีอนาคตร่วมกันโดยมีจุดเริ่มต้นที่สายธารแห่งหนึ่ง การใช้ชีวิตของคู่รักในวัยที่กำลังเบ่งบานก็ดำเนินไปตามธรรมชาติประหนึ่งน้ำในลำธารโดยที่มีคู่ของฮิรากิ (ฮิมิ ซาโตะ) ที่เป็นน้องชายของฮิโตชิ กับยูมิโกะ (นานะ นากาฮาระ) มาพ่วงในมิติความสัมพันธ์ แต่วันหนึ่งอุบัติเหตุก็พรากฮิโตชิไปจากซัตสึกิและพรากยูมิโกะไปจากฮิรากิ ทำให้ทั้งสองคนต้องจมอยู่กับความเศร้าจากการสูญเสียและต้องพยายามใช้ชีวิตต่อไป เพียงแต่การรับมือกับเรื่องแบบนี้มันอาจมีวิธีที่ต่างกันแต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถปล่อยมันลงได้ง่าย คามหวังของคนทั้งสองจึงอยู่ที่ "ปรากฎการณ์ใต้แสงจันทร์" ก่อนรุ่งสางในคืนที่เกิดปรกฎการณ์นั้นที่คนตายจะกลับมาพบกับคนอยู่ และจะเพื่ออะไรก็ตามแต่ที่สายธารแห่งนั้นใต้แสงจันทร์ ความรักจะช่วยปลดเปลื้องพันธนาการและทำให้คนที่ยังอยู่ได้ปล่อยมือแรกเลยผู้เขียนพยายามเขียนเป็นบทความขนาดยาวแต่กลับมีอะไรกวนใจ ทำให้ไม่สามารถเขียนรีวิวเต็มได้และหนังไม่ได้ถึงกับประทับใจมากมายปานนั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหนังไม่ดีกลับกันนี่คือหนังชั้นเยี่ยมถ้าว่ากันที่องค์ประกอบ ทั้งงานด้านบท งานด้านภาพ แสง เงา การแสดงและเพลง รวมไปถึงความหมายที่หนังต้องการจะบอกกับคนดูที่เป็นความหมายที่เห็นมาแล้วมากมายในหนังญี่ปุ่นที่ยังคงเล่าได้อย่างเข้าใจ ซึมลึก และรู้สึกได้นั่นคือการจากลา การรับมือกับความสูญเสีย และการปล่อยมือ เพียงแต่บางครั้งการเล่าเรื่องแบบญี่ปุ่นที่ต้องใช้หัวใจดูมากกว่าสายตาและสมองก็ทำให้หนังออกเป็นความเรียบ เงียบ นิ่ง เล่าไปเรื่อยๆ ปราศจากสิ่งเร้า หากแต่มีพลังดึงดูดอย่างน่าประหลาด และมันเป็นเช่นนั้นเสมอกับหนังญี่ปุ่น โดยเฉพาะกับเรื่องนี่ที่มองเห็นเลยว่าตั้งใจมาขายความเศร้า เพราะหนังเลือกเล่าเรื่องการสูญเสีย การจากลาที่ไม่ได้ร่ำลาสั่งเสีย การทำใจ การพยายามปล่อยมือแล้วเดินต่อไป เพียงแต่ความรักคือพันธนาการที่ผูกรั้งหัวใจให้ยากจะยอมรับหนังเลยต้องบอกกับผู้ชมผ่านความหมายเรื่องความสัมพันธ์กันระหว่างสายธารใต้ดินกับสานธารที่มองเห็น ว่าแม้บนพื้นดินจะไม่ได้เลื่อนไหลแต่ธารน้ำไหลอยู่ข้างใต้นั้นเสมอ เช่นกันเมื่อเวลาของคนหนึ่งหยุดเดิน ก็ใช่ว่าเวลาของอีกคนจะหยุดตามหากแต่ทุกคนกลับเลือกจะหยุดเวลานั้นไว้โดยไม่ตั้งใจ ดังเช่นซัตสึกิที่พยายามลืมความเศร้าด้วยการวิ่ง หรือฮิรากิที่ใสเครื่องแบบนักเรียนของยุมิโกะที่เหมือนพยายามเดินต่อไปแต่กลับเหมือนยิ่งแก้ก็ยิ่งมัด กระทั่งโอกาสสุดท้ายที่มีก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากเกินกว่าปล่อยให้เวลาเดินต่อไปแล้วใช้ชีวิตให้ดี เพราะถึงที่สุดการจากลาก็คือสัจธรรม ที่ไม่ว่าปาฏิหาริย์ใดก็ไม่อาจฉุดรั้งสายธารไม่ให้ไหลหรือหยุดเวลาไม่ให้เดินต่อได้ และเพราะหนังเลือกจะเศร้าในทุกมิติ หนังจึงถูกถ่ายทอดด้วยความเศร้าสร้อยผ่านการแสดงที่ต้องคนดูเศร้าตามของนานะ โคมัตสึ ที่เป็นตัวเดินเรื่องที่มีมิติในความรักและความเศร้า ก็ใช่ที่บทหนังทำได้ดีในการทำให้เห็นภาพความรักความผูกพันทางใจโดยไม่ต้องเล่ามาก แต่ที่ทำให้ไปได้ขนาดนั้นคือพลังการแสดงอีกเช่นกัน หากแต่เรื่องนี้นานะ โคมัตสึแสดงให้เห็นได้เลยว่านี่คือหญิงสาวที่หัวใจลาย ทำใจไม่ได้ ใช้ชีวิตด้วยความกลัว กลัวที่จะไปสัมผัสกับอะไรก็ตามที่เป็นความมทรงจำกระทั่งการรับประทานข้าวจนกระทั่งลืมความหิว เช่นเดิมที่นานะ โคมัตสึแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ใช่แค่นักแสดงหน้าตาดีธรรมดา เพราะอย่างที่บอกว่าผู้เขียนดูหนังของเธอมาค่อนข้างมาก และเธอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในการสื่อความเศร้าในสายตา การพยายามเดินต่อไปและสุดท้ายสายตาที่เปลี่ยนไปเมื่อได้รู้ว่าขื่อคาที่แบกไว้สามารถวางมันลงได้ แต่แม้จะเป็นหนังที่ไม่มีอะไรให้ติ และเป็นงานชั้นเยี่ยมที่มีเจตนามาให้คนดูเศร้าเพราะแม้แต่เพลงยังเศร้าทั้งเรื่อง เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตำหนิคือการตั้งชื่อไทยให้กับหนังที่บอกเลยว่าสื่อความหมายผิดไปจากความหมายของหนัง และนั่นก็ทำให้มีจุดด่างที่หัวใจคนดูเมื่อชื่อไทยสื่อไปในทางโรแมนติก แต่ตัวหนังออกมาเป็นความโศกสลดและบอกคนดูให้ก้าวผ่านความเศร้าที่เกาะกุมหัวใจไปให้ได้ เพื่อที่จะเดินต่อไปในเงาจันทร์ยามใกล้รุ่งเพื่อไปสู่รุ่งสางของชีวิตใหม่ แต่เพราะชื่อไทยที่พาคนดูขึ้นรถไฟผิดสายไปในจุดหมายที่ต่างกันสุดขั้ว จึงทำให้ความคาดหวังบางประการฉุดรั้งอารมณ์ของผู้ชมไปได้พอประมาณ และยิ่งเป็นหนังญี่ปุ่นที่ตาต้องดูกับภาพตรงหน้า หูต้องฟังสรรพเสียงรอยรอบท่ามกลางความเงียบงัน หัวใจต้องสัมผัสความหมายที่ภาพและเสียงบอกผ่านความนิ่งและเงียบนั้น แต่เมื่อมันไม่โรแมนติกสมชื่อจึงมีบ้างที่หัวใจใครหลายคนอาจรู้สึกว่ามันไม่ใช่แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือหนังที่คนดูหนังญี่ปุ่นไม่พึงพลาด เพราะหนังถ่ายทอดในแบบหนังญี่ปุ่นแท้ที่ในความจริงมีแฟนตาซีในแฟนตาซีมีความจริง การบอกเล่าเรื่องราวในนิยามของครึ่งฝันครึ่งตื่นแต่เหมือนกับสัมผัสได้ว่ามันคือเรื่องจริง หรือการบอกความหมายอะไรมากมายในการเดินผ่านช่วงชีวิตหนึ่งที่ทุกคนต้องเจอแค่ว่าจะได้เจอวันไหน หนังที่อาจดูเรียบเรื่อยแต่ก็หยุดดูไม่ได้แต่มีข้อแม้ว่าต้องคุ้นชินกับการเล่าเรื่องแบบนี้ และถ้าหากเป็นคนที่คุ้นชินแล้วก็จะสัมผัสถึงพลังดึงดูดที่เหมือนมนต์สะกดของหนังที่ตั้งใจมากดอารมณ์ให้รู้สึกเศร้าเต็มที่ ก่อนที่จะได้เรียนรู้ว่าการหยุดเวลาชีวิตด้วยความโศกเศร้าไม่ได้ช่วยอะไร การทำทรมานร่างกายหรือหัวใจเพื่อจะให้ลืมกลับยิ่งพาตัวเองไปสู่จุดที่ถูกย้ำเตือน แต่การปล่อยให้สายธารชีวิตไหลไปหรือการปล่อยให้เวลาชีวิตเดินไปแล้วอยู่กับมันให้ได้ เวลาที่ล่วงผ่านอาจช่วยได้ และนี่คือความเรียบเรื่อยที่ได้ใจ แม้จะไม่ถึงกับประทับใจที่สุดก็ตามดูไปบ่นไปNETFLIXของคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 จาก Facebook Golden A Entertainmentภาพที่ 1 จาก Facebook Major Groupเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !