Call Me by Your Name (2017) ภาพยนตร์ชิ้นเอกของผู้กำกับ Luca Guadagnino ที่เป็นมากกว่าแค่เรื่องราวความรักในช่วงวัยหนึ่ง แต่มันคือการเดินทางอันอ่อนโยนและเร่าร้อนของ การเติบโตที่แลกมาด้วยความเจ็บปวดของ เอลิโอ (Elio) เด็กหนุ่มวัย 17 ปี และ โอลิเวอร์ (Oliver) นักศึกษาผู้มาเยือน ความรักครั้งนี้มอบการเติบโตทางอารมณ์และประสบการณ์ใหม่ๆที่ยากจะลืมให้กับเอลิโอ แต่ขณะเดียวกันก็ทิ้งความโศกเศร้าอันแสนสาหัสไว้เกินกว่าจะก้าวข้ามไปในฐานะผู้ใหญ่ รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! เรื่องย่อ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในฤดูร้อนอันเงียบสงบ เมื่อ เอลิโอ เพิร์ลแมน เด็กหนุ่มอัจฉริยะด้านดนตรี ใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่วิลล่าของครอบครัวในอิตาลี ทุกอย่างเป็นไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่ง โอลิเวอร์ ชายหนุ่มชาวอเมริกันผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์ ได้เดินทางมาเป็นผู้ช่วยวิจัยของพ่อเอลิโอ ในช่วงแรกความสัมพันธ์ของทั้งคู่เต็มไปด้วยความขัดแย้งเชิงปัญญาและการหยอกล้อที่ไม่ลงรอยกัน แต่ภายใต้ความตึงเครียดนั้นคือ ความปรารถนาที่ค่อยๆ ก่อตัว ขึ้นอย่างเงียบงัน ทั้งคู่ใช้เวลาสำรวจความงามของอิตาลีด้วยกันอย่างสนิทสนมจนเกิดเป็นความรักอันเร่าร้อนและลับเฉพาะ ความสัมพันธ์นี้พาเอลิโอออกจากโลกของเด็กชายไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักความรักและความสูญเสีย จุดเด่นที่น่าสนใจ การเติบโตผ่านความเจ็บปวดครั้งแรก จุดเด่นที่สุดของภาพยนตร์คือการแสดงให้เห็นว่า ความรักที่จบลงคือการเริ่มต้นของความเป็นผู้ใหญ่ เอลิโอไม่ได้เติบโตจากการมีประสบการณ์ทางกายเท่านั้น แต่เติบโตจากการยอมรับความจริงอันโหดร้ายของการจากลา การเรียนรู้ที่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างเต็มที่ โดยไม่หนีไปไหน คือก้าวแรกของการเป็นผู้ใหญ่ที่กล้าหาญ ฉากจบที่เอลิโอนั่งร้องไห้ข้างเตาผิงไม่ใช่ความเศร้าที่ว่างเปล่า แต่เป็นการยอมรับความสวยงามของความทรงจำที่ยังคงอยู่ในช่วงที่เขารู้จักกับโอลิเวอร์ การถูกสนับสนุนที่พาไปสู่การก้าวต่อไป ฉากที่ทรงอิทธิพลที่สุดคือคำพูดของ ศาสตราจารย์เพิร์ลแมน ที่แนะนำให้เอลิโอยอมรับความเปลี่ยนแปลงของตัวเองและก้าวต่อไป ในขณะที่ตัวหนังยังสะท้อนให้เห็นถึงความรักของพ่อแม่ที่ไม่ตัดสินเอลิโอว่าจะเป็นคนยังไงหรือมีรสนิยมแปลกไปแค่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เอลิโอสามารถเติบโตและก้าวต่อไปได้ การผสานรวมอัตลักษณ์เพื่อแทนตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ของอีกฝ่าย วลี "Call Me by Your Name" เป็นแก่นสารที่สำคัญที่สุดของเรื่อง โดยมันสื่อถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะอยู่ร่วมกันตลอดไป การแลกเปลี่ยนชื่อไม่ได้หมายถึงแค่ความใกล้ชิดทางกาย แต่คือการพยายามลบเส้นแบ่งระหว่างคนสองคน และหลีกหนีความจริงที่ว่าพวกเขาจะต้องกลับไปอยู่ในโลกของตัวเองหลังผ่านช่วงฤดูร้อนนี้ไป มันเป็นสัญลักษณ์ของการค้นพบความสนิทสนมทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งที่สุด และมีแค่พวกเขาที่เข้าใจกันในสถานที่แห่งนี้เท่านั้น บรรยากาศในประเทศอิตาลี การใช้ฉากหลังเป็นชนบทอิตาลีในฤดูร้อนปี 1983 สร้าง บรรยากาศที่แสนจะโรแมนติกเหนือกาลเวลา โดยฉากที่เอลิโอกับโอลิเวอร์อยู่ด้วยกันทำให้เรารู้สึกเหมือนราวกับภาพความฝัน องค์ประกอบทางศิลปะเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “กรอบเวลา” ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้การดูหนังเป็นไปอย่างเรียบง่ายและดูเต็มไปด้วยความโรแมนติกผ่านมุมมองความรักของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ความเหงาในฐานะผลลัพธ์ของการเติบโตที่แท้จริง ภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่า ความเหงาหลังความรักที่ยิ่งใหญ่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการเติบโตเอลิโอ โดยเขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเด็กชายคนเดิมก่อนที่โอลิเวอร์จะมาได้อีกแล้ว ความรู้สึกนี้ไม่ได้หมายถึงการอยู่คนเดียว แต่หมายถึงการแบกรับน้ำหนักของความทรงจำ และการเปรียบเทียบทุกความสัมพันธ์ในอนาคตกับความรู้สึกที่เคยได้รับในฤดูร้อนนั้น ซึ่งเป็นภาระที่ทำให้เขาต้องใช้เวลาอย่างมากในการก้าวเดินต่อไป ถึงแม้ Call Me by Your Name จะสอนทั้งเรื่องการให้เรายอมรับในตัวเอง การมองเห็นมุมมองและออกไปหาสิ่งใหม่ๆ แต่ยังสอนให้เรายอมรับว่าความสุขที่แท้จริง แม้จะเป็นช่วงสั้นๆแต่ก็ทำให้เราติดอยู่กับมันตลอดชีวิต เรียกได้ว่าทั้งมีความสุขและก็มีความเศร้าไปพร้อมกันเลยค่ะ ขอบคุณรูปภาพโดย FB : Call Me By Your Name ภาพปก ภาพที่ 1/2/3/4/5/6/7/8 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !