In My MemoriesLet Me Eat Your Pancreas (Kimi no Suizô wo Tabetai) ตับอ่อนเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ (2017)งดงามสละสลวยด้วยหัวใจและความรู้สึกที่อาจไม่หวือหวาแต่ว่าซึมลึกสู่ข้างในถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจคิดว่าหนังในความทรงจำของดูไปบ่นไปที่หยิบมารำลึกถึงในระยะหลังเป็นหนังญี่ปุ่นหลายเรื่องจนผิดสังเกต นั่นเพราะมีอะไรมากมายกับความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักที่บางครั้งก็ไม่ได้นึกถึงหรือลืมไปบ้างบางครา แต่ความทรงจำก็คือความทรงจำที่จะไม่มีวันเลือนหายไปจากมนุษย์แม้บางเวลาจะถูกลืมเลือนแต่เมื่อมีอะไรมาสะกิดกระตุ้นเตือนภาพความทรงจำเหล่านั้นก็จะชัด เช่นเดียวกับหนังบางเรื่องที่อยู่ในความทรงจำของผู้เขียนที่เมื่อก่อนการไม่มีช่องทางการดูหนังดูซีรีส์มากมายเท่าปัจจุบันก็คือการได้หยิบเอามาเปิดดูซ้ำยามคิดถึง แต่พอทางเลือกมีมากขั้นตามยุคสมัยแผ่นหนังที่อยู่บนชั้นก็ถูกหลงลืมไปบ้างเพราะเจ้าของของมันมีทางเลือกให้ดูมากจนลืมไปแล้วว่าวันหนึ่งเคยได้หยิบมาดูบ่อยๆ เช่นเดียวกับหนังญี่ปุ่นที่เอาตามจริงคือมีเอกลักษณ์ของตัวเองจนถ้าใครไม่ชินก็อาจไม่ชอบแต่ถ้าใครสามารถเก็บเกี่ยวความรู้สึกไปกับหนังได้ก็จะหลงรัก และหนังญี่ปุ่นชั้นเยี่ยมที่เคยสร้างความทรงจำเหล่านั้นกำลังจะมีมาให้ชมในแบบคมชัดอีกครั้งผู้เขียนจึงอดรนทนไม่ไหวที่จะทยอยรำลึกความทรงจำฮารุกิ ชิกะ (ชุน โอกุริ) ครูโรงเรียนมัธยมที่ได้รับหน้าที่ในการจัดระเบียบหนังสือในหอสมุดเก่าที่กำลังจำถูกทุบเพื่อไปสร้างหอสมุดใหม่ แต่เมื่อเข้าไปจัดการจริงๆความทรงจำที่ผุดขึ้นมาคือเมื่อสมัยเขาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนนี้และทำหน้าที่กรรมการห้องสมุดแห่งนี้ ฮารุกิ ชิกะ (ทาคุมิ คิตามุระ) ในวัยเยาว์ได้พบกับซากุระ ยามาอุจิ (มินามิ ฮามาเบะ) หญิงสาวผู้สดใสดาวเด่นประจำห้อง ทว่าก่อนหน้านั้นฮารุกิได้รู้ความลับของซากุระว่าเธอป่วยเป็นโรคตับอ่อนและไม่มีทางรักษาแต่ก็แปลกใจที่เด็กสาวผู้น่ารักสดใสทำไมถึงมาตีสนิทกับเขา จากตอนแรกฮารุกิขัดขืนเพราะไม่นิยมสุงสิงกับใครแต่เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันในห้องสมุดกำแพงในใจก็ค่อยๆละลายจนกลายเป็นว่าฮารุกิกับซากุระสนิทกัน และนั่นทำให้เคียวโกะ (คาเรน โอโทโมะ) เพื่อนสนิทที่สุดของซากุระแอบเคือง แล้วเมื่อซากุระรู้ตัวว่าเหลือเวลาเพียงไม่นานที่จะมีชีวิตอยู่ทุกนาทีที่อยู่กับฮารุกิจึงเหมือนเป็นการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า กระทั่งเมื่อถึงเวลาที่เธอจากไปใครบางคนกลับไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรเป็นจนต้องรอให้อดีตได้บอกอะไรในวันที่เวลาล่วงเลยมาถึงสิบสองปีงดงามสละสลวยปานอ่านวรรณกรรมที่ใช้ภาษาสวยโดยไม่ต้องซับซ้อน บทภาพยนตร์ของเรื่องนี้เลือกเล่าเรืองไม่ยุ่งยากแต่แยบยลเพราะเล่าเรื่องเหมือนให้คนดูเป็นผู้ฟังที่ดีและมีดีที่การสื่อสาร แน่นอนการเล่าเรื่องแบบนี้ถ้าคิดให้ดีก็ไม่ต่างจากการที่คนดูกำลังนั่งฟังหนังสือเสียงหรือมีใครสักคนมาอ่านวรรณกรรมดีๆให้ฟังด้วยน้ำเสียงที่ระรื่นหู แน่นอนเมื่อเหมือนการฟังหนังสือคนดูก็จะมีจินตนาการที่ซ้อนกับภาพที่เห็นในจอเพราะบางจังหวะก็มีช่องให้จินตนาการเหมือนมีความหมายระหว่างบรรทัด นั่นหมายความว่าเรื่องที่เล่าเหมือนสลับไปมาระหว่าอดีตกับปัจจุบันที่เหมือนซับซ้อนแต่ความจริงไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะปัจจุบันกำลังอ่านเรื่องราวในอดีตให้คนดูได้ฟัง และการร้อยเรียงอดีตที่ส่งผลกับปัจจุบันก็ดูสละสลวยเหมือนมีความหมายในทุกตางรางนิ้วเพราะสื่อสารกับคนดูได้สองทางคือภาพที่เห็นกับจินตนาการความรู้สึก บทหนังโดยรวมจึงเล่าเรื่องนับหนึ่งไปถึงร้อยแบบที่เหมือนมีสลับกันแต่ก็ไปตรงๆ ส่วนที่ยอดเยี่ยมคือแม้คนดูจะรู้สึกคล้ายนั่งฟังหนังสือแต่จินตนาการกลับล่องลอยไปคล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกในนั้นไม่หวือหวาเร่งเร้าแต่สยบทุกความรู้สึกซึมลึกลงไปจนถึงจุดพรั่งพรู เพราะความเป็นหนังญี่ปุ่นที่ถนัดนักในการเก็บเกี่ยวความรู้สึกคนดูไปมัดรวมไว้เพื่อให้ถึงเวลาที่ทนไม่ไหวจึงพรั่งพรูออกมาเหมือนทำนบแตกแต่ไม่ใช่การเร่งเร้าจุดระเบิด ด้วยความรู้สึกของคนดูที่เริ่มจากมีความสุขไปกับความสัมพันธ์ที่เหมือนคลุมเครือแต่ก็รู้ว่าข้างในมีอะไรก็คือความรัก แต่ความรู้สึกนั้นคือความสุขที่มีอะไรเจือปนเพราะสารตั้งต้นคือรู้แล้วว่าความสุขนั้นจะไม่มีทางไปสุดทางเพราะต้องมีเรื่องความตายมาพรากจาก กระนั้นความตายที่มาพรากกลับไม่ใช่มาจากสารตั้งต้นที่คนดูทำใจไว้ทุกอย่างจึงถูกสยบ เพราะสิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นอย่างที่คิดความสุขที่มีเหมือนมากก็เหมือนมีน้อยนิดพังทลายแต่ความรู้สึกข้างในก็เหมือนกับมีอะไรเบ่งบาน จนเมื่อถึงเวลาอะไรที่มีก็เกินกั้นจึงพรั่งพรูออกมาโดยไม่รู้ตัวเหมือนกับที่ตัวละครเป็นนั่นเพราะความรู้สึกคนดุถูกสยบไว้ไม่ให้ฟูมฟายบีบคั้นไม่เร่งไม่เร้าบางคราวเงียบงันปล่อยให้บทสนทนาทำงาน แล้วนั่นก็คือทุกความรู้สึกซึมลึกสู่ก้นบึ้งเพราะคนดูเข้าใจในทุกความรู้สึกไม่ต่างจากเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครเวลาของแต่ละคนอาจไม่เท่ากันอยู่ที่ใครจะใช้เวลาให้คุ้มกว่าชีวิตก็คงไม่ต่างกัน หนึ่งชั่วโมงมีหกสิบนาทีแต่หนึ่งนาทีของคนเราอาจไม่เท่ากันวัดกันที่ใครจะให้ความสำคัญกับหนึ่งนาทีนั้นและใช้มันให้คุ้มกว่า และชีวิตก็คงไม่ต่างกันเมื่อคนเรามีหนึ่งชีวิตเท่ากันแต่ใครจะใช้หนึ่งชีวิตได้คุ้มกว่าอย่างเช่นซากุระที่เหลือเวลาในชีวิตไม่มากแต่ก็ใช้จนคุ้มแม้ว่าเวลาสุดท้ายเพียงน้อยนิดจะเว้าแหว่งไปเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน กระนั้นการได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำเพราะความเจ็บป่วยก็ทำให้ซากุระได้พยายามใช้เวลาทุกนาทีที่เหลือให้คุ้มค่า นั่นคือได้คบกับใครสักคนได้ใช้ชีวิตโดยมีใครสักคนเคียงข้างการได้ฝากฝังมิตรภาพให้เพื่อนที่รักสุดๆและบางครั้งความรักที่สุดๆก็ปิดกั้นไม่ให้ทำอะไรที่จะทำลายช่วงเวลาดีๆ แล้วเมื่อมองดูให้ดีที่เห็นซากุระยิ้มได้มีความสุขได้หาใช่ไม่กลัวความตายแต่การยิ้มได้อย่างมีความสุขเพราะเธอมีฮารุกิอยู่เคียงข้าง แม้ว่าถึงที่สุดจะไม่มีการเอ่ยคำว่ารักไม่ได้ถามคำถามที่อยากถามไม่ได้บอกอะไรที่อยากบอกแต่บางครั้งชีวิตก็ให้มาได้แค่นี้ และรวมถึงมิตรภาพอันดีที่จะให้คนที่เธอรักใช้ชีวิตให้ดีที่ฮารุกิต้องใช้เวลาถึงสิบสองปีเพื่อค้นพบถึงจะยิ้มให้กับชีวิตตัวเองและเป็นเพื่อนกับเคียวโกะ เพราะชีวิตคนจะมีคุณค่าเมื่อได้ทำเพื่อคนอื่นใช่หรือไม่...เห็นอาการโศกแต่ไม่หม่นเศร้าบางคราวแอบสดใสทั้งที่ใจกำลังถูกกร่อน สำหรับเรื่องนี้ส่วนยอดเยี่ยมคือการสื่อสารเพราะคนดูจะรับเอาทุกสิ่งที่หนังต้องการจะจะสื่อได้หมดผ่านงานด้านภาพประกอบกับเพลงได้สุดลงตัวเรื่องหนึ่ง แน่นอนเมื่อหนังสามารถเก็บเกี่ยวอารมณ์ความรู้สึกคนดูไว้ได้หมดการแสดงจึงต้องสื่อสารได้เรียบร้อยหมดจดเช่นกันและสำหรับเรื่องนี้ความรู้สึกที่สัมผัสคืออาการของความโศกแม้กระทั่งตอนมีความสุขทว่ากลับไม่รู้สึกหม่นเศร้า กลับกันในบางคราวก็รู้สึกสุขสดใจไม่ได้หม่นไปตามสถานการณ์เพราะความสดใสที่ยิ้มรับกับความตายได้อย่างมีความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายที่ถ่ายทอดได้อย่างสมบูรณ์แบบของมินามิ ฮามาเบะ และนั่นทำให้เธอดูทอประกายกว่าใครทั้งหมดรวมถึงทาคุมิ คิตามุระและชุน โอกุริที่รับบทคนแบกโลกฮารุกิ กระนั้นทาคุมิ ติตามูระก็มีเวลาที่ดีกับการปลดปล่อยอารมณ์ออกมาที่ยากเหลือเกินที่คนดูจะอดกลั้นแทนได้ รวมถึงชุน โอกุริที่เวลาที่ดีของเขาก็คือความนิ่งและสื่อสารด้วยแววตาจนถึงเวลาที่ปลดเปลื้องโลกที่แบกไว้ในตอนท้ายนั่นหมายความว่าทุกความรู้สึกของคนดูถูกกำหนดโดยการแสดงด้วยเช่นกันเป็นหนังที่โศกซึ้งถึงพร้อมที่จะตราตรึงในหัวใจจนดูกี่ครั้งก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม ชื่อเรื่อง "ตับอ่อนเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ" อ่านแล้วรู้สึกสยองพิลึกแต่ความจริงแล้วความหมายอยู่ข้างในเรื่องแล้ว "เพราะถ้าให้ใครกินตับอ่อนวิญญาณของเราจะคงอยู่ตลอดไปในคนคนนั้น และฉันอยากอยู่ข้างในคนสำคัญของฉัน" จนเมื่อเรื่องเล่ามาจนถึงเวลาก็ถึงเวลาที่ว่า "ฉันอยากกินตับอ่อนของเธอ" ที่กลายเป็นความหมายอันทรงคุณค่า เพราะไม่มีทางปฏิเสธได้ว่าที่ดูหนังเรื่องนี้ตลอดทุกนาทีนี่คือหนังรักชั้นเยี่ยมอีกเรื่องแน่นอนแต่ที่ร้ายกาจคือนี่เป็นหนังรักที่ไม่มีการสารภาพรักเลยแม้แต่ครั้งเดียวไม่นับความรักที่เป็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนกับเคียวโกะ เพราะหนังเลือกใช้ความรู้สึกมาสื่อสารโดยให้ความรู้สึกของคนดูสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับความรู้สึกตัวละคร คนดูจึงรู้สึกได้ว่านี่คือความรักที่ไม่ใช่รักข้างเดียวแต่ต่างคนต่างรักแค่ว่ามีกำแพงบางอย่างมากั้นเพราะความรักจะไม่ทำลายชีวิตของคนที่รักและผูกมัดแต่หารู้ไม่ว่าแม้จะไม่บอกอะไรก็ได้ผูกมัดผ่านความรู้สึกจนกว่าจะได้ปลดเปลื้องในเวลาต่อมา แล้วความยอดเยี่ยมอีกอย่างคือไม่ว่าจะดูสักกี่ครั้งความรู้สึกก็ยังเหมือนเดิมดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1,2,3,4,5,6,7 จาก sahamongkolfilm.comภาพที่ 8 จาก Facebook Major Group ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/Y6Jl5GkxOxmyhttps://entertainment.trueid.net/detail/GEoNZeNOOgZ5https://entertainment.trueid.net/detail/DjVDwd5Gy1nx จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !