“องครักษ์เสื้อแพร (錦衣衞)” ชีวิตภายใต้อำนาจแห่งเกราะอาภรณ์ที่สวมใส่ เรื่องราวของมิตรภาพ ความรัก ประวัติศาสตร์ ปรัชญาศาสนา และมุมมองทางวัฒนธรรมได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัวในซีรีส์ย้อนยุคจากแดนมังกรอย่าง Under the power ซึ่งมีสองนักแสดงนำอย่าง เหริน เจียหลุน (任嘉伦) และถานซงอวิ้น (谭松韵) ที่ทำให้คอซีรีส์แนวสืบสวนสอบสวนหัวใจกระชุ่มกระชวย ร่วมตื่นเต้นไปกับการสืบหาเงื่อนงำเพื่อไขคดีความ โดยซีรีส์เดินเรื่องด้วยการจับพลัดจับผลูต้องมาสืบคดีร่วมกันระหว่างพระเอก (ใต้เท้าลู่อี้) ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหรือฉายา “พญายมลู่” ที่นางเอกมอบให้ และนางเอก (หยวนจินเซี่ย) มือปราบผู้ชำนาญการแกะรอย จากสำนักกองปราบที่ 6 เรื่องราวความสนุกสนานครบทุกรส ความจิ้นระหว่างคู่พระนางและคู่รอง คงจะสร้างความฟินให้กับท่านผู้ชมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้ผู้เขียนจึงอยากจะมาแชร์เรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าด้วยนัยของมิตรภาพ ประวัติศาสตร์และปรัชญาผ่านซีรีส์เรื่องนี้น้ำใจ มโนธรรม และมิตรภาพที่ซ่อนหลังอาภรณ์แพร ใต้เท้าลู่อี้ บุรุษในเครื่องแบบอาภรณ์แพรลายวิจิตร (飞鱼服) ปรากฏตัวพร้อมดาบซิ่วชุน (绣春) คู่กายกับป้ายชื่อ ภาพลักษณ์ภายนอกที่มองดูว่าน่ากลัว เลือดเย็น และปราศจากความปราณี แต่จะมีใครรู้บ้างว่า แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยน้ำใจ มโนธรรม และมิตรภาพที่ซ่อนอยู่ สำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือ เป็นหน่วยปฏิบัติงานที่รับคำสั่งขึ้นตรงกับองค์ฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว มีหน้าที่ในการสืบสวนคดี จับกุม หรือแม้กระทั่งการพิพากษาลงโทษผู้ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของราชสำนัก โดยเฉพาะในกลุ่มขุนนางที่คิดไม่ซื่อต่อองค์ฮ่องเต้หรือคิดการกบฏต่อบ้านเมือง กว่าที่ใต้เท้าลู่จะได้เป็นองครักษ์เสื้อแพรที่มีความเก่งกาจจนหาตัวจับยากนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นองครักษ์เสื้อแพรได้ต้องถูกฝึกมาอย่างหนัก เนื่องด้วยภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งทำให้ต้องคัดกรองเฉพาะคนเลือดเย็นเข้ามาทำงาน และเพื่อทดสอบว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นคนไร้หัวใจจริง ๆ พวกเขาจะต้องเริ่มจากการเข่นฆ่าพวกเดียวกันก่อน และในด่านสุดท้ายก่อนที่จะเป็นองครักษ์เสื้อแพรได้ก็คือ ต้องตัดเรื่องความรักความรู้สึกออกไปจากชีวิต ในซีรีส์เราจะได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของใต้เท้าลู่ผู้ที่แข็งแกร่งห้าวหาญ แต่ลึก ๆ แล้วภายในจิตใจก็ยังคงมีความรัก ความรู้สึกเสียใจกับการที่ได้เห็น “อาเต๋อ” เพื่อนรักของตนเองจากไปต่อหน้าต่อตาในสนามแห่งการแข่งขัน โดยทำได้เพียงเก็บรักษาดาบคู่กายของเพื่อนเอาไว้เป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพที่ยังคงอยู่ สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับน้ำใจ มโนธรรม และมิตรภาพอย่างใต้เท้าลู่นั้น มันเป็นความเจ็บปวดที่ยังคงฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ หากเพียงแต่ชีวิตถูกล้อมกรอบไว้ด้วยเกราะแห่งหน้าที่ของความเป็นองครักษ์เสื้อแพร จึงไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกออกมาได้ แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อใด ความรู้สึกที่ถูกเก็บงำไว้ก็พร้อมที่จะเผยออกมาให้เห็นได้เสมอ เมื่อจินเซี่ยมีโอกาสได้ล่วงรู้ถึงภูมิหลังนี้ ด้วยความเห็นใจนางถึงกับพูดว่า “คน..ยังไงก็เป็นคน จะเยือกเย็นไร้หัวใจจริง ๆ ได้อย่างไร” ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานางรับรู้ได้เสมอว่า ใต้เท้าลู่ดำเนินชีวิตโดยมีมโนธรรมเป็นที่ตั้ง เป็นแบบอย่างที่ดีเสมอ ไม่เคยเกรงกลัวต่ออำนาจฉ้อฉลของสองพ่อลูกตระกูลเหยียน ในหลายเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ใต้เท้าลู่จะพุ่งออกไปสู้เป็นคนแรก ถึงขนาดที่ว่ายอมเอาชีวิตตนเองเข้าแลกได้ ไม่เคยทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง แสดงน้ำใจคอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ และให้ความสำคัญในมิตรภาพระหว่างกันเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงเหล่านี้เอง ทำให้จินเซี่ยเริ่มมีความรู้สึกที่ดีจนก่อตัวเป็นความรัก ความผูกพันธ์ที่มีต่อองครักษ์เสื้อแพรผู้นี้ในที่สุดมองประวัติศาสตร์พงศาวดารจีนผ่านซีรีส์ ซีรีส์นี้อ้างอิงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรัชศกเจียจิ้งที่ 37 (ค.ศ. 1558) สมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งตรงกับไทยในสมัยอยุธยา (พ.ศ. 2101) ถ้าเรียงตามไทม์ไลน์ก็จะเกิดก่อนเหตุการณ์ในละครอิงประวัติศาสตร์เรื่อง “บุพเพสันนิวาส” สักร้อยกว่าปีเห็นจะได้ สำหรับผู้สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ในพงศาวดารจีนก็คงพอทราบอยู่บ้างว่า ในสมัยราชวงศ์หมิงถือได้ว่าเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปะวัฒนธรรมและศาสนาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะลัทธิเต๋า แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง ในตอนนั้นสมเด็จพระจักรพรรดิหมิงซื่อจง (ฮ่องเต้เจียจิ้ง) ทรงหลงงมงายอยู่กับพิธีกรรมและเรื่องราวทางไสยศาสตร์เพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ ทรงสนพระทัยในเรื่องเซียน จนไม่ใส่พระทัยงานราชการแผ่นดิน จึงเปิดโอกาสให้สองพ่อลูกตระกูลเหยียน (เหยียนซงกับเหยียนซื่อฟาน) ฉวยโอกาสใช้หน้าที่การงานในการแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว เล่นพรรคเล่นพวก กำจัดผู้เห็นต่าง ยักยอกเงินที่ใช้ในการป้องกันชายแดน และสมคบกับโจรสลัดญี่ปุ่น หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “วอโค่ว (倭寇) ซึ่งแปลว่า โจรไอ้ยุ่น” ทำให้เหล่าขุนนางน้ำดีทั้งหลายต่างหวาดกลัวในอำนาจของสองพ่อลูก จำต้องปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดหรือขัดขวางในเวลานั้น จนประวัติศาสตร์ถึงกับได้จารึกไว้ว่า เหยียนซง เป็นผู้ที่ติดหนึ่งในห้าอันดับของมหากังฉินแห่งแผ่นดินจีนมาแล้ว โดยในซีรีส์นี้เราจะได้รู้จักกับ “หลันเทพเซียน หรือ หลันชิงเสวียน” ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในราชสำนัก “ข้ายินดีเป็นปลาตายก้นบ่อ เพื่อช่วยให้พี่ลู่ทำงานได้อย่างราบรื่น” นี้คือคำพูดของหลันชิงเสวียนก่อนจากกันกับใต้เท้าลู่ และในฐานะมิตรสหายที่พึงแสดงน้ำใจต่อกันในยามทุกข์ยาก เขาจะทำอย่างไรต่อไป คงต้องติดตามชมกันต่อในซีรีส์ Under the powerปรัชญาจวงจื่อนัยแห่งความอิสระเสรี ในขณะที่จินเซี่ยเดินเที่ยวงานลอยกระทงที่หยางโจว นางได้ตัดกระดาษเป็นรูปปลา แล้วบอกกับทุกคนว่า “นี่ไม่ใช่ปลาธรรมดานะ มันเป็นปลาที่บินได้ ชื่อว่าปลาคุน” นางบอกเล่าความรู้สึกที่ได้ออกเดินทางผจญภัยไปทั่ว และถ้าเป็นไปได้นางก็อยากจะเป็นปลาที่บินได้ ปลาคุนที่จินเซี่ยพูดถึงนั้นมาจากนิทานบทแรกในสมุดในของคัมภีร์เต๋าแบบจวงจื่อ (庄子) มีชื่อว่า “อิสรจร (逍遙遊)” โดยตัวนิทานบอกเล่าถึงปลาที่มีขนาดใหญ่ความยาวไม่รู้กี่พันลี้ มีชื่อว่า คุน (鲲) คุนมีอิสระเสรีอยู่ในท้องทะเลลึกทางตอนเหนือ อีกทั้งยังสามารถกลายร่างเป็นนกยักษ์ตัวใหญ่ความยาวไม่รู้กี่พันลี้ มีชื่อว่า เผิง (鹏) ด้วยความที่ร่างกายใหญ่โตมโหฬารจนหาขอบเขตมิได้ ในยามที่เผิงกระพือปีกที่แผ่กว้างราวแผ่นเมฆปกคลุมฟ้าเพื่อบินมุ่งหน้าอพยพไปสู่ทะเลลึกทางตอนใต้ พลันท้องทะเลปั่นป่วนเกิดคลื่นใหญ่ไปไกลถึงสามพันลี้ ปีกอันกว้างใหญ่ตีลมพลันเกิดเป็นพายุหมุน เผิงบินถลาร่อนไปกับลมพายุไกลถึงเก้าหมื่นลี้ และใช้เวลาเดินทางนานถึงหกเดือนจึงจะถึงจุดหมาย สิ่งที่น่าสนใจก็คือ จินเซี่ยเป็นตัวแทนของการแสดงนัยแห่งความคิดของผู้คนในยุคแห่งลัทธิเต๋า ผ่านงานเขียนที่มักใช้รูปแบบของการเล่านิทานเหนือจินตนาการบรรยายอุดมคติของคน โดยอาศัยความยิ่งใหญ่ของปลาคุนและนกเผิงที่มีขนาดไม่รู้กี่พันลี้ ในการปลดปล่อยจินตนาการออกจากกรอบความคิดเดิม ๆ ที่มีขอบเขตเป็นตัวกำกับความคิดนั้นอยู่ การที่เราไม่ได้กำหนดขอบเขตใดให้กับความกว้างใหญ่นั้นไว้ จึงเปรียบเสมือนการปลดปล่อยความคิดออกจากข้อจำกัดบางประการที่เราสร้างขึ้น เป็นนัยของการเรียกร้องให้ปลดปล่อยตนเองออกจากความคุ้นเคยชิน สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานแนวคิดของปรัชญาจวงจื่อที่นิยมวิถีการอยู่อย่างมีอิสระเสรี เมื่ออยู่ในภาวะหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ชีวิตของคนเราจึงมีเสรีภาพอย่างแท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่งสำหรับจินเซี่ยแล้ว ปลาคุนยังถือเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนที่สื่อความหมายถึงใต้เท้าลู่อีกด้วย โดยที่จินเซี่ยมองเข้าไปถึงตัวตนที่เป็นอยู่ของใต้เท้าลู่ นางยกย่องชื่นชมในความสามารถและศรัทธาในการกระทำอันยิ่งใหญ่ที่ไร้ขีดจำกัดของคนรัก โดยพิจารณาจากเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอร่วมกันมา จินเซี่ยจึงได้ซื้อพู่ห้อยรูปปลาให้ใต้เท้าลู่ แล้วบอกแก่เขาว่า “ท่านก็คือ ปลาใหญ่ที่เหาะเหินขึ้นฟ้าลงดิน และยังบินได้ตัวนี้”ขอบคุณเครดิตรูปภาพประกอบบทความจาก: WeTV ที่มา: Hyperlink