โลกในแบบที่สถานการณ์อะไรก็เกิดขึ้นได้ ผู้คนต่างมีชีวิตเป็นของตนเอง และมองคนอื่นเป็นคู่ตรงข้ามไปเสียหมด อะไรจะเป็นสิ่งตัดสินได้ว่าใครคือผู้ที่คิดถูก หรือใครคือผู้ที่คิดผิด ทั้งที่จริง ๆ แล้วนั้นในโลกที่ผู้คนมากมายอาศัยร่วมกันอยู่นี้ มันไม่มีอะไรขาว ไม่มีอะไรดำ แบบชัดเจน ทุกการกระทำต่างมีเหตุผล และแรงขับของตัวเองทั้งสิ้น ก่อนจะมีภาพยนตร์สีสันสดใสแบบทุกวันนี้ เมื่อก่อนเป็นเพียงหนังขาวดำ ทั้งแบบหนังมีบทพูด และหนังเงียบ ต่อมาเราใช้โทนสีของภาพยนตร์แบบโทนขาวดำ กลับมาแทนภาพความอึมครึม หดหู่ หมองหม่น ถ่ายทอดอารมณ์เหล่านั้นออกมาAn Elephant Sitting Still (เมืองอนาคตหมด) ที่กำลังพูดถึง เป็นหนังที่ใช้การถ่ายทำแบบ ดาร์ค &นัวร์ เพื่อถ่ายทอดบุคลิกสีเทา ๆ ของตัวละครทั้งหลาย ที่จะดีก็ไม่ดี จะชั่วก็ไม่ชั่ว ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็แน่หละสิ่งที่เราเห็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นทั้งหมด หลายยังมีสองด้านเลย An Elephant Sitting Still เป็นหนังที่ค่อนข้างยาวถึง 4 ชั่วโมง และฉายในแบบที่ไม่มีการหยุดพักครึ่ง หรือ intermission นอกจากเนื้อหาในเรื่องแล้ว เนื้อหาจริง ๆ ที่ทำให้น่าสนใจมากก็คือ Hu Bo (หูปอ) ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีน วัย 29 ปี เรื่องนี้ (กำกับ เขียนบท และตัดต่อเองทั้งหมด) ได้ตัดสินใจจบชีวิตตนเอง หลังจากถ่ายทำหนังเรื่องนี้จบลงขอบคุณภาพประกอบจาก pxhereบทหนังของ An Elephant Sitting Still (เมืองอนาคตหมด) เป็นบทที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ Hu Bo เองด้วย บทแข็งแรงมาก เล่นกับความเป็นผู้พ่ายแพ้ (Loser) ของหลาย ๆ ตัวละครที่ต่อสู้กับชีวิตในหลากหลายรูปแบบ ประสบปัญหาล้มเหลวในมิติที่ต่างกันออกไป ทั้งปัญหาสังคม ครอบครัว และทัศนคติในการใช้ชีวิต และการที่ต้องการดิ้นรนหนีออกจากพื้นที่ชีวิตแบบเดิม ๆ เพื่อไปหาพื้นที่ใหม่ที่มีอนาคตรออยู่ ตัวละครทุกตัวต่างมุ่งหวังไปยังดินแดนที่ชื่อว่า เมืองม่านโจวหลี่ (Manzhouli) เมืองทางชายแดนจีนที่ติดกับรัสเซีย ที่มีเรื่องเล่ากันว่า ที่นั่นมีช้างอยู่ตัวหนึ่งนั่งอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่สนโลกและความวุ่นวายใด ๆ ฟังเรื่องราวแล้วอาจจะคิดว่าเป็นหนังชวนหลับ แต่เปล่าเลย หนังความยาว 4 ชั่วโมงของ Hu Bo (หู ปอ) ชวนให้ติดตามทุกเรื่องทุกตอนจนไม่อาจละสายตาเลย ไม่เว้นแม้แต่ช่วงแช่กล้องนิ่งค้างไว้นานมาก หรือช่วงที่ปล่อยให้อารณ์คนดูเคว้งคว้างอยู่กับเพลงประกอบ ขอบคุณภาพประกอบจาก pxhereAn Elephant Sitting Still ทำให้เราต้องคิดตามและทบทวนความนึกคิดไปพร้อมกับตัวละครหลากหลายในเรื่อง แง่มุมต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดออกมา ความจริง ความถูกต้อง ตรรกะที่พร้อมจะเอาออกมารับใช้ทุกการกระทำที่ผิดพลาด และความเห็นแก่ตัวของตัวเอง การถ่ายทำของหนังเรื่อง An Elephant Sitting Still ก็เป็นอีกจุดเด่นนึงเลย นอกจากเนื้อหาที่ชวนติดตามโดยเป็นการถ่ายทำแบบ Long Take คือเป็นแบบกล้องถ่ายต่อเนื่องตามติดอยู่ ชวนให้เราเฝ้ามองอยู่กับตัวละครในเรื่องตลอดเวลา เหมือนแทบจะไม่มีฉากคัทใดใดเลย การเล่าเรื่องด้วยกล้อง ด้วยมุมมองแวดล้อมต่าง ๆ รวมทั้งภาพของหนังที่ทำออกมาสวย แม้แสง-เงา จะออกมาในโทนหม่น ๆ ก็ตามเถอะ ถึงบอกไงว่าหนังเรื่องนี้ทำให้ระยะเวลา 4 ชั่วโมง กลายเป็นความไม่ยาวนานเลยขอบคุณภาพประกอบจาก pxhereในโลกของความเป็นจริงอาจจะเดียวดาย การต่อสู้กับปัญหาอาจมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ ความเศร้าความผิดหวังอาจเป็นโศกนาฏกรรมที่ฝังฝากอยู่ในใจของผู้ที่ยอมจำนน แต่หนัง An Elephant Sitting Still ก็สอนให้เรารู้ว่าใครจะอยู่กับความเศร้าแบบไหนดี และใครจะลุกขึ้นมาสลัดทิ้งมันออกจากชีวิตไปได้ก่อน มีคนนิยามว่าหนังเรื่องนี้เป็นเสมือนจดหมายลาตายของ Hu Bo (หู ปอ) ผู้กำกับ แต่เรากลับคิดว่าระหว่างบรรทัดของจดหมายลาตายฉบับนี้ ซุกซ่อนความหวังไว้ให้กับผู้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ใครเล่าจะเป็นผู้ค้นหาความหมายระหว่างบรรทัดนี้เจอก่อนกันขอบคุณภาพประกอบ และภาพปกจาก pxhere