Movie Full Review : Josée : โจเซ่ (2020)เรียบ เงียบ นิ่ง สื่อสารด้วยภาพและดนตรี ไม่หวือหวา ไม่เร้งเร้า ไม่บีบ ไม่พร่ำเพรื่อแต่ละเอียดทางความรู้สึก อาจดูราบเรียบสำหรับบางคน แต่นี่ก็คืองานชั้นเยี่ยมสำหรับบางคนiQIYI บน TrueIDเมื่อครั้งที่ทางค่าย Fivestar Movies ได้ส่งคลิปหนังตัวอย่างมาและขอให้ผู้เขียนเชิญชวนให้ไปชมหนังเรื่องนี้ในโรง เมื่อนั้นตัวผู้เขียนเองก็มีความรู้สึกว่านี่คืองานหนังที่ต้องดูให้ได้ นอกจากเหตุผลที่ต้องดูนักแสดงในดวงใจผู้เขียนอย่างฮันจีมินแล้ว ยังเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งของเธอกับนัมจูฮยอก ที่ทั้งคู่สร้างความประทับใจให้อย่างเหนือความคาดหมายในงานซีรีส์ที่ถ้าใครไม่ได้ดูมาก่อนแล้วเดาออกอาจนับว่าเป็นอัจฉริยะ งานเรื่องนั้นคือ The Light In Your Eyes (2019) ที่เคมีลงตัวกันยิ่งกว่ากาแฟกับครีม หนำซ้ำเมื่อได้ดูตัวอย่างหนังจากที่ทางค่าย Five Star International ส่งมาฝากประชาสัมพันธ์อย่างพินิจก็ยิ่งอยากดูเหตุที่งานดราม่าจัดๆแบบนี้เหมือนเป็นของโปรดของผู้เขียนเองจึงเฝ้ารอการเข้าโรงฉายอย่างใจจดใจจ่อ แต่โชคชะตากลับไม่เป็นใจเมื่อสถานการณ์ไวรัสกลับมาอีกครั้ง ทำให้ทางครอบครัวตัดสินใจอยู่บ้านรวมถึงเลิกล้มโปรแกรมอะไรต่อมิอะไรมากมาย จนกลายเป็นว่าหนังที่ต้องได้ดู (ในโรง) กลับไม่ได้ดู แถมต้องมาลุ้นอีกทีว่าจะมีมาให้ดูทางช่องทางไหน แต่กระนั้นก็ยังไม่คิดว่าจะได้ดูเร็วขนาดนี้ เพราะเมื่อตอนนั้น (1 มีนาคม 2021) ก่อนนอนผู้เขียนเขี่ยไอแพดไปเรื่อยๆแล้วอะไรดลใจให้ไปเปิดแอป iQIYI ก็ไม่ทราบ เพราะปกติเราไม่ค่อยดูแอปนี้เท่าไหร่ เมื่อเปิดเข้าไปก็พบว่าหนังที่อยากดู และรอมานานเรื่องนี้สตรีมฉายทาง iQIYI ที่เดียววันรุ่งขึ้นจึงมาเปิดจอใหญ่ข้างล่างเพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าหนังจะเป็นได้ตามที่คาดหวังหรือไม่ ด้วยความที่เป็นหนังเกาหลีที่มักจะมีอะไรเด็ดๆกับหนังประมาณนี้ แล้วเมื่อดูไปเรื่อยๆกลับเริ่มสังเกตได้ว่าการเดินเรื่องและการเล่าเรื่องมีความเป็นญี่ปุ่นปะปนอยู่ในความเป็นเกาหลี ซ้ำยังไม่พอความเป็นญี่ปุ่นยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นการใช้งานด้านภาพ เพลงประกอบ บรรยากาศและเสียงรอบข้างทำหน้าที่แทนบทสนทนา จนเมื่อดูจบแล้วมาหาข้อมูลก็พบว่านี่คืองานรีเมคจากหนังญี่ปุ่นปี 2003 เรื่อง Josée,The Tiger And The Fish มันจึงเป็นความชอบธรรมในความเป็นญี่ปุ่นจัดแบบนั้น แต่ผลที่ได้ก็ยังเป็นความเยี่ยมในแนวที่หนังต้องการเป็น Joséeเรื่องย่อ"เคยไปบูดาเปสต์ไหม" หลังจากสร้างจินตนาการให้ผู้ชมหนังก็เปิดเรื่องมาที่รถเข็นหนึ่งคัน คนหนึ่งคนนอนอยู่บนพื้นถนนข้างรถเข็นนั้นและมีคนอีกหนึ่งคนมาเจอ ใครจะรู้ว่าการเจอกันที่ไม่สวยงามกำลังจะกลายเป็นความงดงามในหัวใจ เพราะคนที่นอนอยู่คือหญิงสาวขาพิการและคนที่มาพบเจอคือยองซอก (นัมจูฮยอก) ด้วยความสงสารยองซอกจึงยืมรถซาเล้งบรรทุกทั้งหญิงสาวและรถเข็นที่พังของเธอไปส่งบ้าน และที่บ้านนั้นยองซอกก็พบว่าเธออาศัยอยู่กับยายผู้ชราที่มีอาชีพเก็บของเก่าขาย และสิ่งที่ยองซอกเจอคือเธอคนนั้นใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกองหนังสือมโหฬารและวันนั้นอาหารจากรสมือของหญิงสาวพิการในบ้านซอมซ่อและรกรุงรังก็ได้ตอบแทนน้ำใจของยองซอก หากแต่แม้หน้าตาของอาหารดูไม่น่ารับประทานแต่ยองซอกยังมีมารยาทพอที่จะตักเข้าปาก แต่แล้วรสมือของเธอผู้พิการกับอาหารที่หน้าตาดูไม่สวยกลับต้องใจยองซอกยิ่ง และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ชายหนุ่มนักศึกษาปีสุดท้ายที่ชีวิตก็ต้องดิ้นรนยังเวียนวนมาที่บ้านหลังนั้นผ่านความช่วยเหลือ และทุกครั้งที่ความช่วยเหลือของเขาส่งมาถึงบ้านนี้เขาจะได้ลิ้มรสอาการจากมือหญิงสาวพิการที่มีสายตาเปลี่ยวเหงาทุกครั้ง จนกระทั่งรอยยิ้มแรกมาถึงยองซอกจึงได้รู้ว่าหญิงสาวพิการคนนั้นเรียกตัวเธอเองว่าโจเซ่ (ฮันจีมิน) และแน่นอนว่าไม่ใช่ชื่อจริงในขณะที่โจเซ่คือคนพิการที่ไม่ได้ออกไปไหนมากนัก ทุกวันอยู่กับหนังสือและตัวอักษรจึงไม่แปลกที่โลกของเธอจะเต็มไปด้วยจินตนาการและมีจักรวาลของตนเอง จนเมื่อการมาของยองซอกหนุ่มหน้าตาดีที่เหมือนเป็นคนนอกจักรวาล โลกที่เป็นแกนกลางของจักรวาลของเธอจึงหวั่นไหว แต่การที่ยองซอกได้ยื่นมือมาสัมผัสโลกของเธอนานเข้าสิ่งที่เธอเป็นก็เริ่มสั่นคลอนหัวใจของยองซอกเช่นกันเมื่อความสัมพันธ์ค่อยๆก่อตัวจนเกิดความรัก แต่ความรักที่ก่อตัวขึ้นที่อาจสามารถก้าวข้ามความพิการทางร่างกาย จึงเริ่มด้วยความเมื่อคนหนึ่งคนที่เปลี่ยวดายได้มีคู่คิดไม่มีแม้แต่เพื่อนคุย ได้มีความรักเช่นมนุษย์ทั่วไป ได้เจอคนที่ไม่ได้มองข้อจำกัดทางร่างกายของเธอแต่กระนั้นความรักคืออะไร? คำตอบของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกันและสำหรับโจเซ่เธออาจจะพึงใจให้มันเป็นแบบที่เห็น เพราะในที่สุดความรักก็ได้เปลี่ยนแปลงจักรวาลของเธอ ปลดปล่อยเธอออกจากที่คุมขังทางใจ และคนอย่างเธอก็สามารถเป็นเธอในแบบที่ควรเป็น เพราะความพิการทางร่างกายไม่ได้แย่เท่ากับพิการทางใจ ผ่านการเล่าเรื่องที่ละเมียดค่อยๆเห็นว่าความรักก่อเกิดขึ้นในใจ และความรักได้พาคนสองคนไปยังจุดที่เปลี่ยนชีวิตได้อย่างไร แม้จะดูเรียบ นิ่ง เงียบ มืด และเหงา แต่ก็มีพลังตั้งแต่ฉากแรกจนบทสรุปที่ใครบางคนบอกว่ากระชากวิญญาณบทสนทนาที่ไม่พร่ำเพรื่อแต่เต็มไปด้วยปริศนาและความหมายนี่คือหนังที่ใช้บทสนทนาไม่เปลือง เพราะส่วนหนึ่งคือตัวละครเป็นคนที่พูดน้อย และอีกส่วนหนึ่งคือความจงใจในการใช้บรรยากาศ งานด้านภาพ เพลงประกอบ และการแสดงทางสีหน้าแววตาเล่าเรื่องแทน ส่วนที่ทุกบทสนทนาคล้ายกับเป็นปริศนาและความหมายนั้น ประหนึ่งว่าการที่บทวางตัวของโจเซ่ให้อยู่กับจินตนาการทางการอ่าน บทสนทนาที่มาจากปากเธอจึงมีความหมายระหว่างบรรทัดเสมอเช่นเดียวกับงานวรรณกรรมที่เธออ่าน จึงเป็นปริศนาที่คลุมเครือในความเป็นตัวเธอที่อาจไม่ต้องถามหาเหตุผล เพราะเหตุผลไม่สำคัญเท่าความรู้สึกในใจความฉลาดของบทคือการวางโลกสองใบที่แตกต่างกันคือโลกแห่งจินตนาการ (หรือเรียกว่ามโน) ที่ไม่ต่างจากความเป็นปริศนาของโจเซ่ กับโลกแห่งความเป็นจริงที่คลุมเครือเช่นกันของยองซอก เพราะบทก็วางตัวเขาให้น่าสงสัยในความสัมพันธ์ต้องห้ามหรือไม่กับอาจารย์ และความสัมพันธ์กับเพื่อนนักศึกษาที่อาจไม่ใช่ความรักแต่เป็นอย่างอื่น เมื่อโลกทั้งสองใบของคนทั้งสองคนมาสัมผัสกัน บทจึงวางอารมณ์ผู้ชมไว้ที่ความกังขาสงสัยในตัวยองซอกตั้งแต่แรกว่า เขาติดใจรสมือในการทำอาหารของโจเซ่หรือว่าอย่างอื่น เพราะพฤติกรรมบางอย่างในโลกของเขาก็ดูไม่น่าไว้ใจแต่ว่าบทสนทนาที่ไม่มากมายก็สามารถสลายความรู้สึกนั้นไป เพราะทุกครั้งที่โจเซ่พูดคุยกับยองซอกแม้จะดูเหมือนเป็นคำโกหก แต่ยองซอกก็ไม่เคยหาเหตุผลใดมาหักล้าง นั่นอาจเป็นเพราะยองซอกมองเห็นความเป็นโจเซ่และเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องสัมผัสอยู่ในทุกวัน ผ่านการเล่าเรื่องที่ละเมียดในการพัฒนาความสัมพันธ์ของคนสองคนในโลกที่แตกต่าง เล่าให้ตาเห็นว่าความสัมพันธ์ที่คิดว่ามาจากความสงสาร ความเปลี่ยวเหงา มันกลายเป็นความรักที่บริสุทธิ์ได้อย่างเชื่อได้หมดทั้งใจ เล่าให้ใจสัมผัสได้ว่านี่คือความรักที่เป็นสามัญ ไม่มีเรื่องแฟนตาซีหรือความเป็นเทพนิยาย มันคือความรักของคนจริงๆที่ไม่ต้องเหยียบคันเร่งแต่ปล่อยมันไปตามลำดับเล่าให้เชื่อว่าความรักได้เปลี่ยนชายที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ไปทั่วให้มารักหญิงพิการคนนี้ได้ทั้งใจ และเชื่อว่าความรักได้เปลี่ยนหญิงคนหนึ่งที่ถ้ามองข้ามความพิการก็คือคนที่ปิดกั้นตัวเองไม่กล้าออกสู่โลกภายนอก อยู่แต่ในโลกแห่งจินตนาการของตนเองที่เงียบเหงาแล้วก้าวออกมาสู่โลกแห่งความจริงอย่างที่ควรจะเป็น แต่ทั้งหมดนั้นเล่าผ่านความคลุมเครือทางอารมณ์ว่า เรื่องไหนจริงเรื่องไหนคือมโนภาพจนกระทั่งบทสรุปสุดท้ายที่จะวัดใจผู้ชมว่า นิยามความรักของเราที่เป็นผู้ที่ชมหนังเรื่องนี้คืออะไร และไม่ว่าจะมองในมุมของโจเซ่หรือมองในมุมของยองซอก ก็จะเข้าใจในความรักของเขาและเธอ และบทภาพยนตร์ที่เยี่ยมพอก็ได้ตั้งธงไว้ แล้วพาผู้ชมค่อยๆเดินผ่านเส้นทางไปจนถึงจุดที่ต้องการความรักคือพลังอำนาจที่ยากจะต้านทานเพราะหนังชื่อเรื่องว่าโจเซ่ความเข้าใจในโลกและหัวใจของโจเซ่จึงมีมากกว่ายองซอกที่ยังดูคลุมเครือหากแต่ก็เชื่อได้ทั้งใจ เอาที่โจเซ่ก่อน เพราะโลกของเธอมีแค่ในบ้าน ยายผู้ชราภาพ และกองหนังสือมโหฬาร ความที่เป็นคนพิการอาจไม่ได้ถูกมองให้มีความเสมอภาคกับคนทั่วไปนัก โลกของเธอจึงหม่นและเปล่าเปลี่ยว เมื่อโลกของเธอที่กว้างใหญ่มาจากภาพในจินตนาการจากตัวอักษรและหน้าหนังสือ จึงไม่ยากที่เธอจะถูกมองว่าอยู่ในความฝันและมโนภาพเสมอมา เมื่อมีใครสักคนที่เข้ามาในชีวิตแล้วยื่นมือมาสัมผัสโลกของเธอและเข้ามาในสายตาที่แตกต่าง มีหรือที่หัวใจที่เปล่าเปลี่ยวเงียบเหงาของโจเซ่จะไม่หวั่นไหว เพราะเห็นชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเธอไม่กล้าสบสายตาอ่อนโยนนั้นและเจ้าของแววตาอ่อนโยนนั้นก็ยังมาให้เธอหวั่นไหวอยู่ร่ำไป ซึ่งด้วยความที่เขาไม่เคยมีท่าทีที่น่ากลัวอะไรหัวใจเธอจึงค่อยๆเปิดจนรับเขาเข้ามาเต็มที่ด้วยรอยยิ้มแรกที่สดใสบนใบหน้าหม่น การพบกันและกินข้าวด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า การได้พูดคุย การที่มีคนยอมรับฟัง มีหรือที่หัวใจของคนที่อยู่แค่ในโลกส่วนตัว คนที่ไม่เคยสัมผัสว่าความรักเป็นเช่นไรจะทนไหว แต่ความรักมันก็คือความเป็นสัจธรรมที่ไม่ต้องให้ใครมาสอน โจเซ่จึงมิอาจให้ความพิการทางกายมาฉุดรั้งคนที่เธอมีใจให้ จึงเป็นที่มาคำพูดบาดหัวใจที่ว่า "อย่ากลับมาอีกเลย"และสำหรับยองซอกนั้นแม้จะเจ็บปวดแต่เขาก็ยังเข้าใจและเดินจากมาแล้วใช้ชีวิตต่อไป กระทั่งเมื่อได้รับรู้ว่าโจเซ่ไม่เหลือใครอีกแล้วและในหัวใจเขาก็ยังสัมผัสได้ของการมีอยู่ของโจเซ่ข้างในนั้นหัวใจก็พาเขากลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้กลายเป็นว่าโจเซ่ไม่อาจต้านทานพลังอำนาจที่รุนแรงของความรัก เพราะคราวนี้ไม่ใช่แค่เปล่าเปลี่ยวแต่เพิ่มความโดดเดี่ยวจนในที่สุดเธอก็ต้องเอ่ยว่า "อย่าไปเลย อยู่เคียงข้างฉัน ได้โปรด" ถึงตรงนี้ทุกอย่างก็พังทลายเมื่อพลังแห่งความรักได้เจาะทะลุกำแพงหนาได้อย่างราบคาบ พร้อมกับทำนบน้ำตาผู้ชมที่เกินจะกลั้น กับประโยคง่ายๆที่ว่า "ฉันจำเสียงเธอเดินกลับมาหาฉันได้" และโลกของคนสองคนที่ดูเหมือนแตกต่างก็กลายเป็นโลกใบเดียวกันส่วนในมุมของยองซอกนั้น โลกของยองซอกคือโลกแห่งความเป็นจริงที่ต้องดิ้นรน ความสับสนในความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากการเรียนสู่การทำงาน เปลี่ยนผ่านจากความเป็นนักศึกษาเพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ซึ่งโดยพื้นฐานความเป็นเขาอาจดูน่ากังขาเมื่อภาพของเด็กหนุ่มที่มีความสัมพันธ์กับอาจารย์ที่อายุมากกว่า และการที่เขามีความสัมพันธ์กับเพื่อนนักศึกษาที่มองออกว่าไม่ใช่ความรัก หรือกระทั่งความรักที่มีต่อโจเซ่ที่แม้จะไม่ชัดเจนว่ามันพัฒนามาจากความสงสารหรือไม่ ในสายตาของเขากลับมองโจเซ่อย่างมีความหมายบางอย่างตั้งแต่แรกทำให้ความรักของคนทั้งสองมันดูจริง สมจริง และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดผู้ชมก็มองเห็นความรักเริ่มก่อตัวบนความสัมพันธ์ หรืออาจจะเป็นเพราะโลกแห่งจินตนาการของโจเซ่ที่เติมเต็มชีวิตที่จริงมากไปของยองซอก หรือเป็นโลกแห่งความจริงของยองซอกที่เติมเต็มโลกแห่งจินตนาการของโจเซ่ หรืออาจเป็นทั้งสองอย่าง Google Street View คือคำตอบนั้นเสือที่อยู่ข้างนอกและปลาที่อยู่ข้างในเมื่อโจเซ่คือคนที่อยู่ในโลกแห่งจินตนาการที่คนทั่วไปมองว่าเป็นแค่มโน แต่กับโจเซ่คือสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเธอไว้กับโลกมนุษย์และไม่ใช่เรื่องผิดที่เธอจะเป็นเช่นนั้น เพราะสภาพแวดล้อม ความพิการทางกาย และการต้องใช้ชีวิตบนความยากไร้จึงไม่ต่างจากเธอถูกขังไว้ในใจตัวเองแต่เธอรู้สึกปลอดภัยหรือไม่ กระทั่งโจเซ่ได้เห็นคนที่มาช่วยซ่อมบ้านก็เป็นคนพิการเช่นกัน และมันอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอเลือกที่จะผลักใสยองซอกไปจากใจ แต่เมื่อถึงเวลาหัวใจของเธอกลับร่ำร้องหา และเมื่อยองซอกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โจเซ่จึงได้มีความรู้สึกปลอดภัยจริงๆเมื่ออยู่ในโลกของตัวเอง โลกใบเล็กที่มีคนที่รักอยู่เคียงข้างทำให้ภาพแห่งจินตนาการมองเห็นเสือที่อยู่นอกกำแพง อันเป็นการมองจากข้างในโลกของเธอที่เป็นเกราะกระจกใสที่ไม่มีอะไรเข้ามาทำร้ายเธอได้ เพราะวันนี้เธอไม่ได้อยู่ในโลกของเธอเพียงเดียวดายอีกต่อไป หากแต่ในความเป็นจริงเมื่อเกราะกระจกมันใสต้องมองเห็นได้จากข้างในและข้างนอก โจเซ่ที่อยู่ข้างในจึงคล้ายกับเป็นปลาที่ติดอยู่ในตู้กระจกใสในอะควาเรี่ยม ที่เมื่อเธอมองเข้าไปพร้อมกับคนที่สร้างความอบอุ่นปลอดภัยในใจให้กับเธอคือยองซอก ความหมายของตู้กระจกก็ปรากฏกับโจเซ่ เมื่อเธอบอกกับยองซอกว่า “เราคิดว่าปลาติดอยู่ในนั้น แต่ปลาอาจคิดว่าเราติดอยู่ข้างนอก ฉันก็เคยคิดว่าติดอยู่ข้างในก็ดีนะ ถ้าเราอยู่ด้วยกัน ฉันคิดว่าปลาบางตัวในนั้นก็มีความสุข”สุดท้ายมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องอยู่กับความขาดแคลนทั้งปัจจัยและความรักมาทั้งชีวิต เมื่อได้เจอความรักที่ดี ความรักที่แสนอบอุ่น มันก็ได้ช่วยเปลี่ยนชีวิตเธอให้เธอกล้าที่จะเดินต่อไปในโลกแห่งความจริง กล้าที่จะออกจากตู้กระจก เมื่อถึงที่สุดบ้านที่เคยซอมซ่อรกรุงรัง บ้านที่ไม่ต้องการรับรู้อะไรจากโลกภายนอกก็ได้มีทีวี ความหวาดกลัวต่อโลกภายนอกก็ได้หายไปจากโจเซ่ และมันก็มีวันที่โลกภายนอกตู้กระจกไม่ใช่แดนสนธยาของโจเซ่อีกต่อไปเพราะความรักหรือไม่ หรือจะเป็นเพราะโลกของยองซอก หรืออาจเป็นเพราะเธอมองเห็นอะไรบางอย่างเมื่อมียองซอกอยู่เคียงข้าง เธอจึงเลือกที่จะเดินออกมาจากตู้กระจกนั้น แต่หากลองคิดว่าถ้าวันนั้นยองซอกไม่ได้ผ่านมาเจอโจเซ่ที่นอนอยู่กลางถนน หรือเขาเดินผ่านไป ชีวิตของโจเซ่และยองซอกจะลงเอยเช่นไร โจเซ่จะได้เจอกับประตูทางออกไหม เพราะการตัดสินใจจากความดีงามข้างในหรือไม่ที่นำพาให้มาถึงจุดนี้ ในบทสรุปที่เข้าใจได้ทั้งโจเซ่และยองซอกการแสดงที่ดูเหมือนเล่นน้อยแต่ได้มาก และงานด้านภาพที่เล่าเรื่องแทนบทสนทนาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยตัวละครหลักที่มีแค่สองคน เพราะบทเลือกเล่าเรื่องของโลกสองใบที่แตกต่างแล้วมาเติมเต็มให้กัน ซึ่งเป็นเรื่องของโจเซ่และยองซอกเพียงสองคนเท่านั้น ตัวละครอื่นๆที่รายล้อมคนทั้งสองจึงเป็นแค่ตัวสนับสนุนมิติของตัวละครหลักทั้งสองเท่านั้น และด้วยความที่เป็นเรื่องความรักของโจเซ่จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวละครโจเซ่มีมิติลึกกว่ายองซอก และทำให้ถ้ามองด้วยสายตาเป็นธรรม ไม่ได้ลำเอียงเพราะเป็นฮันจีมินยังต้องยอมรับว่าฮันจีมินทำได้ดีกว่าในบทหญิงพิการที่หมองหม่น มีอะไรติดอยู่ในใจมากมายจนกระทั่งต้องใช้ภาพในจินตนาการมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ใช้เป็นเกราะป้องกันหัวใจตัวเองหากแต่ก็พยายามกร้านโลก ผ่านการโกหกจนอาจคิดว่าเป็นเรื่องจริงในบางเรื่องเช่นที่โจเซ่อธิบายเรื่องของวิสกี้ที่ดูน่าเชื่อถือ สายตาที่หมองหม่นปนไร้เดียงสาเพราะไม่มีประสบการณ์ชีวิตจริง สีหน้าแววตาไม่อภิรมย์ต่อโลกเพราะความเปลี่ยวเหงา ฮันจีมินจัดการได้หมดจด แม้ว่าเธอไม่ต้องใช้ภาษากายมากนักการแสดงจึงเป็นความนิ่ง เงียบ เป็นตัวละครที่พูดแต่เรื่องที่จำเป็นในมุมของเธอ อาจมีอะไรเรื่อยเปื่อยบ้างสำหรับผู้ชม แต่นั่นเพราะมันมาจากมุมของเธอไม่ใช่ของผู้ชมที่เป็นผู้สังเกตการณ์ ซึ่งฮันจีมินกลายเป็นโจเซ่ดั่งถูกวิญญาณเข้าสิง ส่วนนัมจูฮยอกก็ไม่ต่างกัน เพราะความเรียบนิ่งของบทและการเล่าเรื่อง ประกอบกับตัวละครยองซอกก็ไม่ใช่คนพูดพร่ำเพรื่อเลยไม่ต้องทำอะไรมากเพียงแค่แสดงออกทางสีหน้าแววตาว่าเริ่มมีอะไรในใจ แล้วอะไรในนั้นก็เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนเห็นความรักอยู่ในสายตาคู่นั้น เพียงแต่บทแบบนี้คือบทที่คุ้นเคยสำหรับนัมจูฮยอกมันเลยทำให้เขาคล้ายกับโดนฮันจีมินเอาชนะในแทบทุกฉาก แต่การแสดงที่เข้ากันของทั้งคู่คือส่วนที่ประเสริฐสุด เพราะทั้งคู่สามารถทำให้เชื่อได้อย่างหมดใจจากคนแปลกหน้าที่เข้ามาในชีวิต แล้วมาเป็นคนที่คุยกันได้รู้เรื่อง เริ่มเข้าใจ หวังดี ผลักใส สุดท้ายก็ต้านทานพลังแห่งรักไม่ได้และรักกัน อยู่ด้วยการโดยมองข้ามข้อจำกัดทางร่างกายแล้วให้หัวใจพาชีวิตไป มันคือพัฒนาการทางด้านอารมณ์ในระดับสมบูรณ์ที่สุดส่วนงานด้านภาพ แสง เงา และดนตรีประกอบที่ทำงานอย่างเคร่งครัดสวยงาม แม้กระทั้งเสียงรอบข้างท่ามกลางความมืดในยามราตรี ยังช่วยเล่าเรื่องให้มีพัฒนาการทางด้านความรู้สึก แม้แต่การแพนกล้องตามพนักงานชิงช้าสวรรค์ หรือเท้าที่เหยียบลงที่แอ่งน้ำที่มีเงาของชิงช้าสวรรค์ทาบอยู่ยังทำให้รู้สึกบางอย่าง ด้วยงานด้านภาพที่ดูทึมหม่นเหมือนชีวิตของโจเซ่ที่ต้องอยู่กับสิ่งที่เห็นจนชาชิน งานด้านภาพจึงมีแต่หม่น กลางคืน และฝนตก สุดท้ายเมื่อชีวิตได้ออกมาสู่โลกภายนอกที่จริงแท้ของโจเซ่ผู้ชมจึงได้สัมผัสกับแสงอาทิตย์จริงๆ มันคือการเล่าเรื่องด้วยภาพที่ส่งเสริมอารมณ์อย่างยอดเยี่ยม แต่ด้านการแสดงก็ต้องชื่นชม เพราะแม้ Movement ของตัวละครอาจไม่มากแต่การสื่อสารด้วยสายตาเข้มเหลือเกิน หรือเรียกได้ว่าเล่นน้อยแต่ได้มากนั่นเองอาจไม่สวยหวานแต่ในความหน่วงอารมณ์ก็มีความงดงามอยู่ในตัวของมัน เพราะบางทีโทนสีหม่นก็มีมุมที่สวยงาม หรือกลางคืนที่มืดมนก็ยังมีความงดงามในตัว และสำหรับเรื่องนี้หากต้องการความหวานละมุนหนังอาจไม่มีให้ เพราะหนังเล่าไปได้เรื่อยๆพร้อมอารมณ์หน่วงหัวใจตั้งแต่ต้น แม้ความรักที่ก่อเกิดยังไม่ได้เกิดเพราะความโรแมนติกแบบรักแรกพบ แต่ความรักเกิดจากความผูกพันกันและการได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งด้วยกัน ดังนั้นหากต้องการความโรแมนติกอาจจะไม่ได้ดั่งใจนัก เพราะหนังมอบอารมณ์สงสาร เห็นใจ และเข้าใจในรัก มากกว่าหวานวาบหวิวในใจ แม้แต่รอยยิ้มอย่างเปี่ยมสุขยังหายากและสำหรับการเล่าเรื่องที่ไปเรื่อยๆแบบนี้ อาจมีบ้างบางคนที่มองเห็นเป็นความเนือยเอื่อย แต่ถ้าหากคุ้นชินกับการเล่าเรื่องแบบนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะถ้าหากดูซีรีส์อย่าง My Mister ได้คงไม่มีปัญหากับการดูหนังที่หน่วงหัวใจหรือรันทดแต่งดงามเรื่องนี้ได้เช่นกัน เพราะโทนเรื่องแทบไม่ต่างกันเล่าบนความรันทดของชีวิตผู้หญิงพิการที่ไม่มีโอกาสได้เจอกับความรักที่แท้จริง แต่การที่เรื่องเล่าแบบนี้สิ่งที่เป็นคือความไม่รีบ ไม่เร่ง ไม่บีบ หรือคั้นน้ำตา แต่หากจะเตรียมทิชชู่หรือผ้าเช็ดหน้าไว้ใกล้ๆได้ก็ดี เพราะเมื่อเรื่องราวพาอารมณ์ผู้ชมเดินทางไป หัวใจผู้ชมก็พร้อมจะถูกความรักที่ดูรันทดแต่ดูจริงกระชากออกมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะหนังคล้ายจะพาผู้ชมเดินชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่อาจสวยงามแต่ก็ดูมืดมนอยู่ในที พาอารมณ์ผู้ชมค่อยๆเดินไปจนกระทั่งมันไม่ไหวแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา ซึ่งสารภาพตามตรงว่าผู้เขียนไม่ได้ดูงานต้นฉบับของญี่ปุ่นแต่ก็พอมองอกว่าน่าจะไม่ต่างจากนี้มากนัก แม้จะถูกมองในมุมของเกาหลีแต่ก็ยังมีความเป็นญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเพราะนี่คือหนังรีเมคจากหนังญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่ไม่ได้พิสูจน์จึงบอกไม่ได้ว่านี่คืองานรีเมคชั้นยอดได้หรือไม่ แต่ถ้านับกันที่ตัวหนังเรื่องนี้โดยไม่มองว่าเป็นงานรีเมค นี่คืองานที่สมราคาของความเป็นโรแมนติกดราม่าที่คุ้มค่ากับการรอคอย ทำให้เวลาชั่วโมงกว่าๆผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับผู้ชื่นชอบงานทางนี้ และเอาตามตรงผู้เขียนไม่ได้กดปุ่มหยุดเลยแม้แต่ครั้งเดียว หนังยังเสนอให้เห็นการได้รับโอกาสให้หัวใจของผู้พิการได้รักสักครั้งในชีวิต แม้สุดท้ายแล้วความหมายของคำว่ารักอาจถูกตีความต่างกันก็ตามที อาจไม่ใช่หนังระดับประทับตราว่า "อย่าเพิ่งตายถ้ายังไม่ได้ดู" เพราะอาจมีบางคนที่ไม่ทนกับการเล่าเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าวัดกันที่แนวทางและความตั้งใจนี่คือความยอดเยี่ยมในตัวเอง แล้วช่วงท้ายที่เริ่มเห็นแสงสว่างงานด้านภาพบอกกับผู้เขียนว่า น่าเสียดายที่ไม่ได้ดูในโรงดูไปบ่นไปiQIYI บน TrueID ขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 11 / ภาพที่ 12 / ภาพที่ 14 จาก Facebook Nam Joo Hyuk ภาพที่ 2 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 10 / ภาพที่ 13 จาก Instagram roma.emoเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !