สวัสดีทุกคนครับ วันนี้เราจะพูดถึงซีรีย์ที่กำลังเป็นที่พูดถึงมากที่สุดอีกหนึ่งเรื่อง ที่เข้ามาให้เราชมทาง Netflix เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมาครับ ซึ่งนั่นก็คือ Snowpiercer นั่นเอง หลาย ๆ คนคงจะคุ้นเคยกับชื่อนี้ดีครับเพราะมันเคยเป็นหนังมาก่อน กำกับโดยผู้กำกับที่กวาดรางวัลออสการ์ไปเยอะที่สุดในปีที่แล้วอย่างบอง จุนโฮ ซึ่งก็ต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าในเวอร์ชั่นซีรีย์นี้ ผู้กำกับบองไม่ได้รับหน้าที่กำกับแต่รับหน้าที่เป็น Executive producer ครับ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเขามีส่วนมากขนาดไหนกับงานในส่วนของเบื้องหลัง แต่ว่าคนที่มีส่วนแน่นอนก็คือ เกรแฮม แมนสัน ครับ นักเขียนบทภาพยนตร์และโปรดิวเซอร์ชาวแคนาดา ผลงานที่เราอาจจะรู้จักก็คือ Ophan Black สวมเงามรณะนั่นเองครับ ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องอื่น ๆ นะครับ สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับ Snowpiercer ผมจะขอพูดถึงเรื่องย่อของซีรีย์เรื่องนี้ก่อน โดยเรื่องจะเล่าถึงโลกที่กำลังจะล่มสลายจากภาวะโลกร้อนครับ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในตอนนั้นพยายามจะลดอุณหภูมิของโลกลงแต่กลายเป็นว่าความพยายามจะช่วยโลกในครั้งนั้น ได้ทำให้โลกใบนี้กลายเป็นยุคน้ำแข็งอย่างแท้จริงและเมื่อมนุษย์มาถึงจุดที่สิ้นหวัง ชายคนหนึ่งได้สร้างรถไฟยาว 1001 โบกี้และขายตัวให้กับเหล่าเศรษฐีและผู้มีอันจะกิน แต่ในวันสุดท้ายก่อนที่รถไฟจะออก เหล่าประชาชนที่สิ้นไร้ไม้ตอกได้ตัดสินใจวิ่งฝ่าดงกระสุนเพื่อเอาชีวิตรอด หนีความตายขึ้นไปบนรถไฟนั้น พวกเขาทั้งหมดนั้นอยู่ที่ท้ายของขบวน นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ หลังจากผ่านไป 2805 วัน แอนเดลเรตั้น นักสืบคดีฆาตกรรมเพียงคนเดียวในโลก ถูกเรียกตัวให้ไปสืบสวนเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในส่วนหน้าของขบวนรถไฟ โดยคนที่เรียกเขาไปก็คือ เมเลนี่ คาเวล ผู้หญิงที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของ Snowpiercer แห่งนี้ ซึ่งที่นั่นได้เกิดเรื่องราวขัดแย้งมากมาย ความแตกต่างระหว่างด้านหน้าและด้านหลังของรถไฟ ใครคือฆาตกรในคดีฆาตกรรมครั้งนี้ ถ้าอยากรู้ต้องไปติดตามชมครับ แค่โครงเรื่องเนี่ยมันก็น่าสนใจในตัวของมันเองอยู่แล้วแหละครับ โลกที่แตกสลายกับผู้โดยสาร 3000 ชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟ ผมจำได้ว่าในปีที่หนังเรื่องนี้เข้าฉายหลังจากได้ดูตัวอย่าง ก็ตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้แบบไม่ต้องคิดเลยล่ะครับเพราะว่าชอบในส่วนของโครงเรื่องนี้มาก ต้องบอกก่อนนะครับว่าเรื่องราวที่เราจะได้ดูในซีรีย์นั้นมีบางส่วนหรืออาจจะหลายส่วนที่แตกต่างไปจากหนัง สิ่งแรกที่ต่างเลยก็คือระยะเวลาภายในเรื่องครับ ในเวอร์ชั่นหนังนั้นเรื่องราวจะเริ่มต้นหลังจากที่รถไฟออกวิ่งครั้งแรกไปแล้ว 15 ปี แต่ในเวอร์ชั่นซีรีย์นั้นจะเริ่มต้นที่ประมาณ 7 ปีครับ ซึ่งหลังจากที่ผมลองหาข้อมูล มีความเป็นไปได้สูงครับว่าซีซั่นที่ 1 ที่ได้ดูนั้นอาจจะเป็นซีซั่นบทนำครับ คล้าย ๆ กับ The witcher ที่เราเคยดู ที่เนื้อหาที่แท้จริงของเรื่องนั้นจะเริ่มต้นที่ซีซั่น 2 ซึ่งทางผู้สร้างเขาก็เคยออกให้สัมภาษณ์แล้วนะครับว่าอยากจะสร้างซัก 3-5 ซีซั่น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้จริงไหม แต่ที่ทำได้แล้วแน่ ๆ ก็คือซีซั่น 2 ครับ เรียกได้ว่าซีรีย์เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องครับที่ทางเจ้าของเขาหมายมั่นปั้นมือกันสุด ๆ โดยล่าสุดเว็บไซต์ IMDb ได้อัพเดทข้อมูลแล้วครับว่าซีรีย์เรื่องนี้จะมีอย่างน้อย 2 ซีซั่น โดยแต่ละซีซั่นครับจะมีความยาวอยู่ที่ซีซั่นละ 10 Episode Episodeละประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ต่อมาผมจะขอพูดถึงนักแสดงกันสักหน่อย อย่างที่ผมบอกไปครับ นี่เป็นซีรี่ส์ที่มีความคาดหวังสูงจากทางผู้สร้าง ดังนั้นนักแสดงก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน โดยนักแสดงหลักทั้งสองคนภายในเรื่องอย่าง Jennifer Connelly ครับ ดีกรีของเธอนั้นไม่ธรรมดา ผลงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอ น่าจะเป็นการชนะรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ในปี 2002 ครับ จากภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind และ Daveed Diggs ครับ ชายที่ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์อินดี้อย่าง Blindspot ในปี 2018 ซึ่งตัวผมก็ได้มีโอกาสลองไปอ่านรีวิวของนักวิจารณ์ต่างประเทศครับ ที่มีโอกาสได้ดูซีรีย์เรื่อง Snowpiercer ก่อน ซึ่งทุกคนเนี่ยพูดเป็นเสียงเดียวกันครับว่าการแสดงของ Jennifer Connelly นั้นสุดยอดมากจริง ๆ ครับ นักวิจารณ์ท่านหนึ่งถึงกับกล่าวว่า แค่การแสดงของเธอก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณดูซีรีย์เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากนี้นักวิจารณ์หลายคนยังกล่าวถึงฉากแอ๊คชั่นที่สุดแสนจะโหดร้าย ที่เราจะดูภายในเรื่องครับ ซึ่งขอบอกเลยว่ามันจะมีความรุนแรงค่อนข้างสูงดังนั้นใครชอบแนวนี้ยังไงก็ห้ามพลาดครับ และอีกอย่างหนึ่งที่เราจะดูภายในเรื่องนี้นอกจากการก่อกบฏของกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังแล้ว เรื่องราวการสอบสวนหาตัวจริงของฆาตกรจากคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นภายในเรื่องก็เป็นอีกสิ่งนึงครับที่จะพลาดไม่ได้จากเรื่องนี้เลย ดังนั้นใครที่ชอบทั้ง Action แบบโหด ๆ ทั้งการสืบสวน ทั้งการแสดงสุดเจ๋ง และที่สำคัญดราม่าจัด ๆ เรื่องนี้น่าจะตอบโจทย์อย่างแน่นอนครับ โดย ณ ปัจจุบันตอนนี้นะครับ คะแนนของซีรีย์เรื่องนี้ในเว็บไซต์ Rotten Tomatoes เนี่ย คะแนอยู่ที่ 70 เปอร์เซ็นต์ครับจากฝั่งนักวิจารณ์ ก็ถือว่าน่าจะเป็นซีรีย์ความหวังอีกเครื่องหนึ่งครับ ที่จะมาเติมเต็มช่วงเวลาอันแสนน่าเบื่อที่ไม่มีหนังโรงใหญ่ ๆ ให้เราดูในช่วงนี้ Snowpiercer จะสนุกหรือไม่ตัวคุณเท่านั้นจะเป็นคนตัดสินครับ ขอขอบคุณภาพประกอบทั้งหมดจาก Official Trailer Youtube