Movie Review Bogota: City of the Lost (2024) โบโกตา: เมืองคนหลง หนังแก๊งสเตอร์เบาๆเหมือนมาเล่าแล้วจากไปที่เชือดเฉือนหนักเหลี่ยมสนุกใช้ได้แค่ยังเร้าใจได้ไม่เต็มที่ที่ถ้าบีบอีกสักนิดล่ะแจ๋วเลย รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! แรกเลยที่ผู้เขียนเห็นว่าหนังเรื่องนี้ลงสตรีมทาง NETFLIX แล้วแปะยี่ห้อ NETFLIX Film ความรู้สึกคือเดี๋ยวนี้ NETFLIX รุกหนักทางด้านคอนเทนต์เกาหลีอย่างจริงจังเพราะนี่ไม่ใช่หนัง Original ที่ทาง NETFLIX ลงทุนสร้างเอง แต่เป็นหนังที่สร้างโดยบริษัทเกาหลีที่ผู้เขียนก็เคยผ่านตารูปโปรโมทมาบ้างจากการหารูปประกอบบทความนั่นหมายความว่าเดี๋ยวนี้นอกจากหนังเกาหลีที่ค่ายหนังในบ้านราซื้อมาฉายแล้วส่งต่อมาทาง NETFLIX แล้ว NETFLIX ยังซื้อหนังเพื่อลงสตรีมเองแล้วด้วย ซึ่งความจริงด้วยหน้าหนังที่เห็นผู้เขียนก็ไม่ได้หวั่นใจจะไม่ได้ดูมากนักเพราะเชื่อว่าหนังระดับนี้ที่มีนักแสดงระดับซงจุงกินำแสดงสมทบโดยระดับอีฮีจุนก็คงมีค่ายสตรีมมิ่งสักค่ายหยิบมาฉาย แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายมาตีตราติดยี่ห้อแบบนี้ซึ่งก็ดีที่ได้ดูเร็วเพราะหนังเพิ่งลงจอทางบ้านเขาไปเมื่อวันสิ้นปีที่ผ่านมาแล้วเวลาผ่านไปไม่นานหนังก็ลงสตรีมทางบ้านเราแล้ว กับหนังที่คงเรียกว่าเส้นทางการเป็นเจ้าพ่อของซงจุงกิที่ยกพลไปหักเหลี่ยมกันถึงโคลัมเบียส่วนผลจะอกมาเป็นอย่างไรไปว่ากัน ปี 1997 จากวิกฤติเศรษฐกิจในเกาหลีทำให้กุกฮี (ซงจุงกิ) ต้องอพยพไปที่เมืองโบโกตาประเทศโคลัมเบียที่ที่มีคนเกาหลีอพยพมาตั้งรกรากที่นี่มากมาย รวมถึงเถ้าแก่พัค (ควอนแฮฮโย) ที่ทำธุรกิจลักลอบขนของจากเกาหลีมาขายที่นี่โดยมีซูยอง (อีฮีจุน) ทำหน้าที่เคลียร์ด่านและจัดการด้านขนส่งแล้วกุกฮีก็ได้ทำงานกับเถ้าแก่พัค ด้วยความขยันขันแข็งและเชื่อใจได้กุกฮีจึงได้มีบทบาทในการลักลอบขนของจนเมื่อซูยองต้องการเปิดธุรกิจของตนเองกุกฮีที่นับถือซูยองเป็นพี่จึงออกจากเถ้าแก่พัคไปช่วย แต่เมื่อสินค้าที่นำเข้ามาถูกยึดโดยศุลกากรที่หักหลังพวกเกาหลีเงินจำนวนหนึ่งจึงถูกมอบให้กุกฮีเพื่อไปจัดการปัญหาแต่ว่าเงินโดนปล้นโดยพ่อของเขาเอง และแล้วพ่อของเขาก็โดนคนที่หลอกมาปล้นเงินลูกฆ่าตายกุกฮีไม่มีทางเลือกจึงไปปล้นสินค้าที่ถูกยึดจากเจ้าถิ่นและนั่นทำให้เขาถูกตามล่าแม้ว่าปัญหาหลายอย่างจะคลี่คลาย จนเมื่อเขารอดมาได้กุกฮีก็พร้อมจะเอาคืนและจะต้องก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าขบวนการค้าสินค้าลักลอบนำเข้าชาวเกาหลีที่นี่ที่เมืองโบโกตา มาเป็นแนวแก๊งเสตอร์ที่มีชั้นมีเชิงมีพลิกผันมีจุดเปลี่ยนที่ดีแต่เหมือนยังเบาบางไปทำให้ต้องคิดตามถึงรู้ความตั้งใจ ถ้าว่ากันที่บทหนังในความเป็นหนังในทางเจ้าพ่อเหยียบขึ้นมาใหญ่ที่เล่าถึงวงการค้าขายของลักลอบนำเข้าที่ไปไกลถึงต่างบ้านต่างเมืองมันก็หนังแก๊งเสตอร์ดีๆนี่เอง เพราะในวงการมีฝักฝ่ายมีรายใหญ่มีเจ้าถิ่นมีข้าราชการกังฉินกินสินบนที่ชิงไหวชิงพริบกันไปมา ทว่าไอ้ที่ว่าชิงไหวชิงพริบมันเบาบางไปหน่อยเลยอาจมองไม่ค่อยออกว่านี่คือการจะก้าวขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของวงการของเด็กหนุ่มสักคน ซึ่งความจริงวัตถุประสงค์ควรชัดตั้งแต่แรกไม่ควรให้ต้องคิดตามแต่ก็ยังดีที่บทหนังมีความลุ่มลึกสุขุมเหมือนคนเจ้าเล่ห์คิดอะไรไว้ข้างในโดยไม่มีใครอ่านได้ แล้วเมื่อนี่คือการจะขึ้นไปเป็นใหญ่มันก็ต้องมีจุดเปลี่ยนที่อาจต้องยอมรับว่าการละทิ้งตัวละครสำคัญไปแล้วอยู่ดีๆก็โผล่มามันทำให้จุดเปลี่ยนมันลอยๆ ยังมีอะไรที่เหมือนจะเข้าทางง่ายๆคล้ายไม่มีอะไรมาบีบซึ่งก็น่าเสียดายที่ความพลิกผันที่ใส่มาจังหวะเวลามันใช่ที่ถ้าบีบอีกสักหน่อยจะเข้มข้นเร้าใจได้กว่านี้ หักเหลี่ยมเฉือนคมอย่างแพรวพราวแม้จะเป็นลูกเล่นที่เคยเห็นมาแต่ก็ยังได้ผลเพราะความพลิกผันกระตุกอารมณ์ได้ แต่ใช่ว่าหนังจะไม่มีดีหนังยังมีดีที่สถานการณ์ค่อนข้างพลิกผันอย่างแพรวพราวทำให้สามารถกระตุกอารมณ์ได้เป็นพักๆ แม้ว่าชั้นเชิงการเฉือนคมกันหักหลังกันไปมาที่นำพาไปยังบทสรุปที่ไม่น่าจะมีใครคาดคิดก็ยังเป็นชั้นเชิงที่เคยๆเห็นมาในหนังแนวนี้ แต่สิ่งที่ดีคือหนังควบคุมโทนอารมณ์ได้ให้คุกรุ่นอยู่คงที่ที่อาจไม่ทะลุปรอทแต่ก็ไม่ถึงกับหย่อนยานจนย้วยเพราะจังหวะเวลาที่สถานการณ์พลิกมันมาถูกที่ถูกเวลา ประกอบกับการเล่าเรื่องค่อนข้างสุขุมไม่โฉ่งฉ่างเลือกเผยเส้นทางของเด็กหนุ่มที่จะก้าวขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดก่อนที่จะจัดการทุกอย่างให้อยู่ในการควบคุมของตนเอง แน่นอนส่วนหนึ่งที่เป็นพลังดึงดูดมาจากการที่คนดูเทใจให้เอาใจช่วยตัวละครกุกฮีเต็มที่โดยที่บางคนอาจคิดไม่ออกด้วยว่าทำไม เพราะนี่คือการแวะมาเล่าเรื่องโดยคร่าวๆของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กว่าจะมาเป็นเจ้าพ่อหรือกว่าจะมาถึงตรงนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้างที่สนุกในการติดตามเขา เมื่อบทออกจะเบาบางสักหน่อยสิ่งที่ช่วยไว้คือการแสดงของนักแสดงที่ดาหน้ามากันแบบเหลี่ยมๆ บางครั้งหนังบางเรื่องก็โชคดีที่ได้นักแสดงที่มีฝีมือมาช่วยทั้งที่ถ้าจะว่าไปหนังไม่มีอะไรแต่นักแสดงทำให้มีอะไรได้ด้วยการแสดง เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่เป็นการหักเหลี่ยมกันทำให้ตัวละครแต่ละคนมากันแบบเหลี่ยมๆคือมีอะไรซ่อนไว้หลังใบหน้าที่ยิ้มแย้มต่อกันเสมอ และนักแสดงอย่างอีฮีจุนกับควอนแฮฮโยก็เหลี่ยมจัดหน้าอย่างหลังอย่างมีลับลมคมในได้โล่ทำให้คิดไม่ออกเดาทางไม่ได้ว่าเรื่องจะพัฒนาไปยังไงหรือถึงจุดไหนเพราะนี่คือสองตัวละครที่เป็นตัวแปร ส่วนซงจุงกินั้นนี่คือส่วนผสมของ My Name is Loh Kiwan (2024) ในตอนต้นก่อนจะกลายเป็น Vincenzo (2021) ในตอนท้ายที่มีพัฒนาการในตัวละคร ทั้งยังได้พลังดารามาช่วยส่งเสริมอารมณ์คนดูให้เอาใจช่วยประกอบกับธรรมชาติมนุษย์ชอบเอาใจช่วยคนที่โดนกระทำหรือคนที่มีความพยายามขยันขันแข็งต่อให้รู้ว่าเส้นทางของคนคนนั้นจะไปจบลงตรงไหนก็ตามจึงนับว่าได้การแสดงมาช่วยพยุงไว้โดยแท้ อาจไม่ถึงกับเข้มข้นลุ้นระทึกเร้าใจแต่ก็มีพลังด้วยความสงสัยและเอาใจช่วยที่มาพร้อมความพลิกผันมีความหวือหวา สิ่งที่น่าเสียดายคือสารตั้งต้นพร้อมที่จะเข้มข้นเชือดเฉือนเพราะมันคือเรื่องของมังกรพลัดถิ่นกับงูเจ้าที่แถมมังกรต้องตัดกันเองอีกที่ถ้าว่ากันตรงนี้มีมิติหลากหลายท้าทายให้เล่น แต่หนังกลับเลือกทางสุขุมพูดน้อยต่อยก็ไม่หนักมีปล่อยบางอย่างไว้กลางทางมากมายทั้งจุดเชื่อมโยงจุดเปลี่ยนและตัวละคร แต่หนังก็ยังมีพลังดึงดูดที่มากพอไม่ให้กลายเป็นความน่าเบื่อคือยังดูสนุกมีความบันเทิงได้แค่อาจไม่สาแก่ใจหรือไม่ถึงกับเร้าใจในความลุ้นระทึก แต่ความสนุกนั้นมันมาจากความพลิกผันยากจะคาดเดาที่เอาจริงการที่หนังออกจะเบาๆนั่นแหละที่ทำให้คนดูไม่คิดเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร จนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปมามันก็คือความหวือหวาที่กระตุกอารมณ์ได้และมันเป็นอย่างนั้นไปจนฉากสุดท้ายที่ถึงตรงนี้ก็คิดไปแล้วว่าจะเป็นอย่างไร สุดท้ายไอ้ที่คิดไวก็ยังกล้าๆพลิกทำให้หนังมีอะไรที่เป็นความบันเทิงได้แม้จะเป็นงานที่เหมือนมาเล่าให้ฟังแล้วก็ผ่านไปอีกเรื่อง ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7 จาก Instagram plusm_entertainment เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !