สารภาพอย่างไม่กลัวถูกเรียกป้า ว่าฉันเกิดทันได้ดูหนังเรื่องนี้ในปี 1993 และเพิ่งมาดูอีกครั้งไม่นานมานี้ใน Netflixคนที่เกิดไม่ทันอาจมีงง เมื่อรู้ว่านี่คืองานของเจ้าพ่อหนังสายโหดอย่างมาร์ติน สกอร์เซซี แต่นี่คือมาสเตอร์พีซที่ถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบทุกด้าน ตอนที่ดูจบสมัยนั้นจำได้ว่าอึ้ง ฉันตีความแบบไร้เดียงสาว่า The Age of Innocence คือยุคสมัยแห่งการแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นThe Age of Innocence ดัดแปลงมาจากนิยายรางวัลพูลิตเซอร์ของ อีดิธ วาร์ตัน เรื่องราวของแวดวงสังคมไฮโซนิวยอร์กในช่วงศตวรรษที่ 19 ในยุคที่ตระกูลคหบดีนิยมจับคู่ลูกหลานที่เหมาะสมกัน เพื่อดำรงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นทั้งสังคมและธุรกิจ เรื่องราวเหมือนจะดำเนินไปด้วยความชื่นมื่น เมื่อคู่หมั้นคู่หมายที่สมกันในระดับกิ่งทองใบหยก ยินดีเต็มใจที่จะปฏิบัติตามกฏเกณฑ์อันเหมาะเจาะที่วงศ์ตระกูลวางไว้ให้ ด้วยการตระเตรียมเข้าพิธีสมรสแต่แล้วการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของญาติสาวผู้ประพฤติตนแหวกขนบ และเพิ่งเดินทางกลับจากยุโรปพร้อมเรื่องอื้อฉาวที่ติดตัวเธอมา กลับสร้างปัญหารักสามเส้ากระอักกระอ่วนให้เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิดท่ามกลางสังคมอุดมการซุบซิบ ที่แม้แอบติฉินนินทาแต่ไม่มีใครพูดออกมาตรง ๆ ปล่อยให้ความสัมพันธ์ต้องห้ามสร้างความร้าวรานให้ทุกฝ่ายนิวแลนด์ อาร์เชอร์ ทนายความหนุ่มอนาคตไกลที่ถึงพร้อมด้วยชาติตระกูล รับบทโดย แดเนียล เดย์ ลูอิส ที่ในทศวรรษนั้นกำลังหล่อเหลาบาดใจเป็นที่สุด นิวแลนด์จัดตัวเองว่าเป็นคนหัวสมัยใหม่ มักแสดงท่าทีว่าไม่เห็นด้วยกับกฏเกณฑ์สังคมบางอย่างในยุคนั้นชีวิตและการงานดูเหมือนจะลงตัวสมบูรณ์แบบ นิวแลนด์รักใคร่และหมั้นหมายอยู่กับเมย์ เวลแลนด์ (วิโนนา ไรเดอร์) ผู้อ่อนหวานไร้เดียงสา และแน่นอนว่ามีชาติตระกูลที่เหมาะสมกันแต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเพราะการมาถึงของเคาน์เตสเอลเลน โอเลนสกา (มิเชล ไฟเฟอร์) ลูกพี่ลูกน้องของเมย์ที่กำลังจะหย่าร้างกับท่านเคานต์แห่งโปแลนด์ และถูกลืออื้อฉาวว่ามีสัมพันธ์กับเลขานุการของสามีตัวเองเอลเลนต่างจากเมย์ราวผ้าสีกับผ้าขาว เธอเป็นสาวหัวสมัย ไม่ใส่ใจสังคมที่นิยมการตัดสิน ไม่แคร์บรรดาผู้ดีที่ดูเหมือนทักทายรักใคร่ต่อหน้า แต่ลับหลังนินทาเธออย่างสนุกปากนิวแลนด์พยายามช่วยปกป้องเอลเลน แต่ยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมเขากลับนิยมในตัวเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ มีบางอย่างในตัวเอลเลนซึ่งไม่มีในตัวเมย์ ขณะที่เอลเลนก็รู้สึกกับนิวแลนด์แบบเดียวกัน ทั้งคู่ร่วงหล่นลงในหลุมพิศวาทที่รู้เต็มอกว่าอันตราย พวกเขารักกันไม่ได้ แต่ก็ห้ามความรู้สึกไม่ได้เช่นกันนิวแลนด์ในฐานะทนายแนะนำให้เอลเลนทบทวนเรื่องหย่า เพราะรู้ว่าแรงต้านจะทำให้เธอไม่สามารถอยู่สังคมชั้นสูงอย่างเป็นสุข เอลเลนตีความผิดว่านิวแลนด์ไม่ต้องการเธอ เมื่อเอลเลนยุติการฟ้องหย่า ก็แปลว่าเธอไม่มีอิสระ ยิ่งทำให้การพบปะของทั้งคู่ยิ่งดูไม่ดีมากขึ้นความรักที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นความทรมานขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งกำหนดวิวาห์ของนิวแลนด์กับเมย์ใกล้เข้ามา ทั้งคู่ก็ยิ่งทุรนทุราย เพราะถ้าจะตกลงทำตามความเรียกร้องของหัวใจ มันก็คือการทำร้ายชีวิตเมย์ผู้บริสุทธิ์ทั้งเป็นแต่เมย์ไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่เห็น เธอเริ่มสัมผัสถึงความเปลี่ยนไปของว่าที่สามี และให้โอกาสนิวแลนด์คิดให้ดีว่ายังต้องการแต่งงานกับเธอหรือเปล่า ทั้งที่หัวใจร่ำร้องหาเอลเลน แต่นิวแลนด์เลือกที่จะใช้ชีวิตตามครรลองสังคม ความเหมาะสมถูกต้องต่างหากที่สำคัญเขายืนยันกับเมย์ว่ารักเธอ และตัดสินใจเด็ดขาดเข้าพิธีแต่งงานทั้งที่ปวดร้าวแสนสาหัส ทั้งคู่ครองชีวิตบนความถูกต้องจนเข้าสู่วัยชรา จนกระทั่งเมื่อเมย์เสียชีวิต นิวแลนด์จึงรู้จากลูกชายว่า แม่รู้มาตลอดว่าพ่อแต่งงานกับแม่ทั้งที่รักคนอื่น เมื่อเทดผู้เป็นลูกชายพาเขามายังที่พักของเอลเลน ความปรารถนาของหัวใจที่จะได้อยู่กับคนที่เขารักยังเต็มเปี่ยม แต่นิวแลนด์ปฏิเสธที่จะพบเธอ“พ่อเป็นคนหัวเก่า” นั่นคือประโยคที่แสนเศร้าของชายใจสลาย ผู้จนถึงนาทีสุดท้ายยังติดกรอบที่สังคมตีเส้นให้อย่างยอมจำนนนี่คือความร้าวรานของความรักในยุค "ไร้เดียงสา" อย่าว่าแต่คนในสังคมจะปริปากพูดความจริงออกมา พวกเขาไม่แม้แต่จะคิดถึงมัน ในสายตาฉัน เมย์ผู้ดูเหมือนไม่รู้เดียงสา แท้จริงแล้วเป็นตัวละครที่เดียงสาที่สุด เธอปิดใจไม่รับรู้ในสิ่งที่จะทำลายชีวิตสมรส และใช้ความอดทนอดกลั้น ฝ่าฟันความเจ็บปวดด้วยความชาญฉลาดแบบหญิงแท้เธออาจจะไม่ได้หัวใจชายที่เธอรักมาครอง แต่ศัตรูหัวใจของเธอก็ไม่ได้ครอบครองความสมบูรณ์แบบของครอบครัวเช่นที่เธอมีหรือนี่คือแก่นแกนของการแต่งงานที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเรามองดูคู่ชีวิตที่อยู่กันมานานจนตายจากกันไป พวกเขาอาจจะไม่ได้รักใคร่เสน่หากันดูดดื่มอย่างที่เราเข้าใจ แต่ที่อยู่กันได้เพราะ "การแสร้งไม่รู้ไม่เห็น” ต่างคนต่างรู้ในใจว่าอะไรที่สำคัญกว่าความปรารถนาส่วนตัว โดยเฉพาะในยุคที่ให้ค่ากับสังคมและวงศ์ตระกูลมากกว่าบุคคล ชีวิตสมรสยังเป็นมากกว่าเรื่องของแค่คนสองคน เมื่อใครในตระกูลตัดสินใจทำสิ่งที่เสียหาย วันหนึ่งคู่รักอาจไม่อยู่รับผลลัพธ์อีกต่อไป แต่วงศ์ตระกูลจะต้องถูกติฉินนินทาไปตลอดกาลผุู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี่ ดูเป็นตัวเลือกที่ย้อนแย้งกับหนังรักพีเรียดเรื่องนี้ มีแต่คนสงสัยว่าเจ้าตำรับหนังรุนแรงแก๊งสเตอร์อย่าง Taxi Driver กับ Goodfellas ในเวลานั้น จะทำหนัง The Age of Innocence ออกมาแบบไหน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือหนังรักลุ่มลึกที่เจ็บแปลบแบบละมุนละไมตั้งแต่ฉากแรกถึงฉากสุดท้ายเลยทีเดียวแม้ไม่มีเลือด มีด ปืน การหักหลัง หรือความตาย แต่หนังก็แสดง "ความรุนแรง" จากความขัดแย้งระหว่างศีลธรรมและตัณหาในใจมนุษย์ได้อย่างเข้มข้น ฉันนับถือที่บางฉากทั้งล่วงล้ำ ปรารถนา เร่าร้อน โดยที่ตัวละครไม่มีฉากเซ็กส์หรือปลดเปลื้องเสื้อผ้า อยากยกนิ้วให้เลยว่าออกแบบท่าทางการแสดงได้สวยงามมากการแสดงของแดเนียล เดย์ ลูอิส คือจุดที่โดดเด่นที่สุดของหนัง เด่นจนเหมือนจะเกินหน้าเกินตาตัวละครที่อยู่รอบข้าง เขากลืนกินความเป็นตัวละครเข้าไปไว้ในทุกท่วงท่าและแววตา ตลอดเวลาที่ติดตามเรื่องราว ฉันไม่เคยหลุดจากความเชื่อว่าเขาคือนิวแลนด์ตัวเป็น ๆ ที่กำลังเผยชีวิตและความปวดร้าวของตัวเองให้เราเห็นแบบหมดจดฉันเชื่อว่าสาว ๆ ต้องรู้สึกหวิวใจไปกับทุกฉากที่นิวแลนด์ได้สัมผัสเอลเลน แม้ว่าจะแค่จูบเท้าหรือได้เห็นเนื้อหนังแค่ถอดถุงมือ แต่มันกลับอีโรติคยิ่งกว่าฉากเปลือยในหนังเรื่องใด ๆหนังจบลงพร้อมกับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในความรู้สึก ถ้าเราเกิดมาในยุคนั้นเราจะตัดสินใจเหมือนนิวแลนด์ไหม ระหว่างความมั่นคงของวงศ์ตระกูลกับการวิ่งไล่ตามความสุขในส่วนลึกของหัวใจ อะไรกันแน่ที่เราควรจะเลือกนิวแลนด์เลือกฝังรักต้องห้ามด้วยความถูกต้อง นำมาซึ่งหัวใจสองดวงที่แตกสลาย แล้วเขารู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ความจริงในยามแก่ชรา ว่าคนที่เลือกที่แท้จริงไม่ใช่เขา แต่คือภรรยาผู้ชาญฉลาดฉันขอสรุปแบบง่าย ๆ ว่าการดำรงอยู่ในสังคมโดยรู้จักมองข้ามบางเรื่องให้ได้ คือทักษะ "อยู่เป็น" ที่ทำให้มนุษย์เอาตัวรอดมาได้ตั้งแต่โบราณกาลนี่เองที่ทำให้ธีม The Age of Innocence ยังร่วมสมัย แม้จะปัดฝุ่นมาดูใหม่หลังเวลาผ่านไปยี่สิบปี!เรื่อง / ภาพประกอบ : Miss Me