ตัวอย่าง House of Gucciข้อมูลเบื้องต้นของ House of Gucciก่อนเริ่มการรีวิวภาพยนตร์เรื่อง House of Gucci เรามาดูข้อมูลเบื้องต้นกันก่อนดีกว่าเรื่องย่อ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของเจ้าของแบรนด์แฟชั่นระดับโลกอย่าง GUCCI ที่ในครอบครัวนี้ จะนำเสนอเรื่องราวในช่วง 3 ทศวรรษ ซึ่งเกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องการแย่งชิงทรัพย์สมบัติ ความรัก การทรยศหักหลัง จนสุดท้ายบานปลายนำไปสู่เหตุการณ์ฆาตกรรมที่กลายเป็นตำนานของวงการแฟชั่น ซึ่งเรื่องนี้จะเน้นไปที่การเล่าเรื่องและดราม่าเป็นหลัก ใครที่คิดว่าเป็นหนังแฟชั่น คุณคิดผิดอย่างแรง แต่อย่างน้อย แฟชั่นของตัวละครในเรื่องก็ไม่ใช่ธรรมดา แค่เนื้อเรื่องไม่ได้ลงลึกเกี่ยวกับแฟชั่นแบบเฉพาะเจาะจง แต่เน้นไปที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนนำไปสู่เหตุการณ์ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในปี 1995 โดยเรื่องนี้ได้ตัวผู้กำกับชื่อดังอย่าง Ridley Scott ผู้กำกับรุ่นใหญ่แห่งฮอลลีวูด ผู้ที่เคยมีผลงานระดับตำนานมาแล้วมากมาย อาทิเช่น Alien (1979) , Blade Runner (1982) , Gladiator (2000) , Hannibal (2001) , American Gangster (2007) และ The Martian (2015) และผลงานล่าสุด The Last Duel (2021)รายชื่อนักแสดง นอกจากได้ผู้กำกับฝีมือดีมากำกับแล้ว เรื่องนี้ยังขนทัพนักแสดงระดับแนวหน้าของฮอลลีวูดมารวมไว้ในหนังเรื่องเดียว ได้แก่ Lady Gaga รับบท แพทริเซีย เรจจานี , Adam Driver รับบท เมาริซิโอ กุชชี่ , Al Pacino รับบท อัลโด กุชชี่ , Jeremy Irons รับบท รูดอลโฟ กุชชี่ , Jared Leto รับบท เปาโล กุชชี่ รีวิว House of Gucciการดำเนินเรื่อง การดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ ทำได้ค่อนข้างดี แม้จะช้าไปหน่อย ยิ่งช่วงกลางๆของหนังนี่เล่าแบบเอื่อยมากๆ และไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ผมเกือบหลับไปแล้ว แต่ก็แค่ช่วงสั้นๆ นอกนั้นก็ดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม ซึ่งในมุมมองผม เนื้อเรื่องมันไม่ได้สดใหม่หรือดึงดูดผู้ชมมากนัก ค่อนไปทางน่าเบื่อ แต่ผู้กำกับมีความสามารถพอ ที่จะเล่าให้มันดูน่าสนใจขึ้นได้ และผมก็ชอบในส่วนนี้พอสมควรเลย เพราะเขาฉลาดที่เลือกการเล่าเรื่องที่มีข้อมูลเยอะๆ แต่ตัดแบ่งเป็นสั้นๆเพื่อให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อ คือตั้งแต่ต้นจนจบ มันคือการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วง 1970 - 1995 เกือบ 30 ปี หนังก็เล่าเพียงเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในแต่ละปี และก็สคริปต์เวลาไปเรื่อยๆ ทำให้เห็นพัฒนาการของตัวละคร และความสัมพันธ์ของตัวละครมากขึ้น และทำให้คนดูรู้สึกอินและเข้าใจความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัวได้ในเวลาไม่นาน ถือว่าดีมากๆการแสดง การแสดงของเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในหนังเลย เพราะแค่รายชื่อนักแสดงแต่ละคนก็การันตีถึงคุณภาพแล้ว แม้ว่าการแสดงของแต่ละคนจะมีวิธีการที่แตกต่างกันไปบ้าง บางคนเล่นแสดงออกทางท่าทางและสีหน้า แต่บางคนก็เล่นใหญ่ไปเลย แต่ข้อดีคือทุกคนเล่นได้สมบทบาท ไม่ได้ดูฝืนหรืออะไร ส่วนตัวในเรื่องนี้ผมประทับใจการแสดงของทุกคน ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมากๆ ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก และมิติของตัวละครที่ตัวเองได้รับ ออกมาได้อย่างดีงาม ต่อไปผมขอรีวิวการแสดงของนักแสดงแต่ละคนนะครับ1.Al Pacino รับบท อัลโด กุชชี่ ทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูล Gucci สำหรับ Al Pacino ไม่ต้องพูดเยอะ แกทำได้ดีตามมาตรฐานของแกอยู่แล้ว เรื่องนี้แกแสดงเป็นตาลุงใจดี ใจดีมากๆ และรักคนในครอบครัวทุกคน เป็นคนใจเย็น และบริหารเก่ง เป็นตัวละครที่น่าสงสารมากๆ รักหลานมาก ให้ทุกอย่าง ช่วยทุกอย่างไม่เคยด่าซักคำ แต่กลับโดนหลานตัวเองหักหลัง แถมหลานไปกล่อมให้ลูกเขาหักหลักเขาอีก โคตรน่าสงสาร และผมชอบตัวละครนี้มากๆ ขนาดลูกเอาหุ้นทั้งหมดไปขาย ยังไม่โกรธหรือด่าอะไร แต่พูดแค่ว่า "แกเป็นไอโง่ แต่ก็เป็นไอโง่ลูกของฉัน" และกอดลูก แต่ก็มีข้อเสียตรงสปอยลูกเกินเนี่ยแหละ จนลูกเคยตัวทำอะไรไม่สนใจ เพราะพ่อไม่เคยด่าอะไรเลย และอัลปาชิโน่ก็แสดงบทบาทนี้ออกมาได้ดีมาก แกดูเป็นลุงใจดีจริงๆ และซีนอารมณ์แกก็ทำได้ดีเหมือนเดิม2.Jeremy Irons รับบท รูดอลโฟ กุชชี่ ทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูล Gucci สำหรับตัวละครนี้เป็นคนหัวแข็ง น่าเกรงขาม เก่ง และมีอีโก้ ตัวละครนี้โผล่มาไม่นาน แค่ช่วงต้นเรื่อง แต่เจเรมีก็ทำได้ดีแบบได้ซีนไปเลย สมบทบาท น้อยแต่มากของจริง เพราะตัวละครนี้ก็มีมิติอยู่ คือเหมือนลึกๆเขาก็มีความใจดี และรักลูกมากๆอยู่เหมือนกัน แต่การแสดงออกมันตรงกันข้าม ทั้งไล่ลูก ตัดหางปล่อยวัด แต่สุดท้ายเขาก็ยกทุกอย่างให้ลูกเขาเหมือนเดิม และเขาก็ถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครออกมาได้ดีมากๆ3.Adam Driver รับบท เมาริซิโอ กุชชี่ ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล Gucci ตัวละครของแกเป็นตัวละครหลัก แกก็ยังคงทำได้ดีเหมือนทุกเรื่องที่ผ่านๆมา แสดงตามสไตล์ของตัวเอง โดยตัวละครที่แกเล่น จะมีจุดที่เปลี่ยนหรือพลิกผัน คือจากคนนิ่งๆ ไม่กล้าพูด พอถึงจุดนึงคิดได้ว่าถูกภรรยาหลอกใช้มาตลอด จึงคิดจะทิ้งภรรยาแล้วกลายเป็นอีกคน เป็นตัวของตัวเอง ซึ่ง Adam Driver ทำได้ดีจริงๆ พอตัวละครมีพัฒนาการเขาก็เปลี่ยนการแสดงของตัวเองไปได้อย่างแนบเนียนตามเนื้อเรื่อง 4.Jared Leto รับบท เปาโล กุชชี่ ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล Gucci คนนี้นี่โดดเด่นจริงๆ เป็นตัวสมทบ ที่มีเอกลักษณ์โคตรๆ แกมาสายนี้จริงๆ คือถ้าผมไม่ได้อ่านรายชื่อนักแสดงมาก่อนคือจำไม่ได้แน่ๆ ทั้งเสียง บุคลิกภายนอก แถมพูดอังกฤษสำเนียงอิตาลีอีก และแกดัดเสียงเล็กๆแบบมันดูปั่นแต่พอการแสดงออกทางท่าทาง บุคลิกของตัวละคร มันดันเข้ากันแบบคนบุคลิกนี้ก็คงจะเสียงโทนๆนี้แหละ และเขาแสดงได้โคตรดีจริงๆ ผมชอบตัวละครนี้พอสมควร และส่วนตัวก็ชอบจาเลทอยู่แล้ว ตัวละครนี้ที่แกรับบทมันเป็นลูกคนรวยไม่เอาไหน มีความฝันอยากเป็นดีไซเนอร์ แต่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้เลย และก็เป็นคนหลงตัวเอง ไม่พัฒนา จึงไม่เก่งขึ้น และก็อยากจะดิ้นรนออกคอลเล็คชั่นอยู่นั่นแหละ แถมเป็นคนทำอะไรตามใจตัวเอง และจาเลทแสดงออกมาจนเรารู้สึกหมันใส้ตัวละครนี้ในช่วงแรกๆ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ช่วงกลางถึงช่วงท้ายตัวละครนี้โคตรน่าสงสาร และจาเลทก็แสดงได้สมบทบาท จนรู้สึกสงสารจริงๆ มันเป็นคนหัวอ่อนและถูกหลอกตลอด จาเล็ทถ่ายทอดออกมาจนผมทั้งรู้สึกหมันใส้ด้วยและก็สงสารด้วยในเวลาเดียวกัน5.Lady Gaga รับบท แพทริเซีย เรจจานี ภรรยาของ เมาริซิโอ ตัวละครที่เธอได้รับเป็นตัวละครหลักเช่นเดียวกัน ต้องเล่นคู่กับ Adam Driver ตั้งแต่ต้นเรื่องไปถึงเกือบช่วงท้าย ซึ่งเธอทำได้ดีมากๆ มีหลายฉากที่ต้องเข้าซีนเดียวกับดาราระดับต้นๆ แต่การแสดงของเธอมันโดดเด่น จนทัดเทียมดารามืออาชีพคนอื่นๆได้เลย ซึ่งตอนดูจบผมประหลาดใจปนประทับใจในความสามารถด้านการแสดงของเธอมาก เพราะผมไม่ได้คาดหวังมาเลยว่าเธอจะแสดงดี แต่สิ่งที่ได้เห็นคือมันเกินคาดไปมาก เธอแสดงได้ดีและสมบทบาทมากๆ ทำเอาผมเชื่อไปเลยว่าเธอเป็นคนแบบนั้นจริงๆ และรู้สึกเกลียดตัวละครตัวนี้ไปเลย ถือว่าเธอทำสำเร็จนะ และเปลี่ยนมุมมองของผมไปเลย ผมคิดว่าหลังจากเรื่องนี้ คงเห็นเธอแสดงอีกหลายเรื่อง เพราะเรื่องนี้เธอได้ปล่อยของจริงๆเนื้อเรื่อง และบทภาพยนตร์ เนื้อเรื่องมันก็มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเลยดูธรรมชาติมากๆ สมเหตุสมผล มันเหมือนการเล่าเรื่องในอดีตที่มาให้เราเห็นเป็นภาพยนตร์มากกว่า เนื้อเรื่องคือไม่รู้จะติอะไร เพราะทำได้ดีมากๆอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้หวือหวาอะไรมาก ก็เพราะมันคือเรื่องจริง ชีวิตจริงมันก็แบบนี้แหละ ดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ถือว่าครอบครัวนี้ก็ชีวิตเกินจริงไปกว่าคนทั่วไปเยอะอยู่ เพราะด้วยความที่มันมีเรื่องเงินจำนวนมาก ทำให้ความวุ่นวายตามมา จนกลายเป็นหนังได้เลย ต่อมาในเรื่องของบท ถือว่าทำออกมาได้ดีนะ แม้จะไม่ได้ถึงขั้นดีมากๆ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ดีเลย ผมชอบคำพูดที่อยู่ในซีน ที่ตัวละคร รูดอลโฟ กุชชี่ ที่รับบทโดย เจเรมี พูดกับเปาโล รับบทโดย จาเลท ตอนที่เปาโลเอางานที่ออกแบบมาอวดแล้วบอกว่าตัวเขานั้นมีพรสวรรค์ ขอโอกาสจากน้าให้เขาได้ลองผลิตและขายมันในนาม GUCCI แต่น้ากลับบอกว่าให้เอาไปซ่อนอย่าให้ใครเห็น และพดประโยคนี้ที่ผมชอบ โดยรูดอลโฟ พูดว่า "คนไม่มีพรสวรรค์มักพูดอวดคนอื่นไปเรื่อยว่าตัวเองมี แต่คนที่มีพรสวรรค์จริงๆ กลับไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี ต้องมีคนมาเห็นและบอกเขา" ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางในครอบครัว โดยรวมแล้วบทก็ดี เนื้อเรื่องก็ดี ทุกอย่างในเรื่องนี้อยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมากหมดงานโปรดักชัน เสื้อผ้าหน้าผม และการตัดต่อ ในด้านงานโปรดักชันก็ทำได้ดี เซ็ทฉากต่างๆให้ดูเป็นยุคนั้นจริงๆ ทำได้เนียนกริบ ไม่รู้ว่าใช้ CG หรือว่าสร้างสถานที่จริงมาเพื่อถ่ายทำ แต่ทุกอย่างโอเคมากๆ ทั้งฉากหลัง โทนสีที่ใช้ในหนัง มันดูจริงหมดทุกอย่าง ทำให้เราเชื่อได้ว่าอยู่ในยุคนั้นจริงๆ ต่อมาเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม ชื่อหนังขนาดนี้ แถมเล่าเรื่องของตระกูลเจ้าของแบรนด์แฟชั่น ดังนั้นเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมพูดได้เลยว่าจัดเต็ม แม้เนื้อเรื่องไม่ได้เจาะลึกวงการแฟชั่น แต่ตัวละครในเรื่องแต่งตัวกันสุดจัด และชุดสวยทุกชุดจริงๆ แถมชุดยังคุมโทนกับฉากหลังด้วย คือโปรดักชันดีจริง สีมันกลืนและแมทซ์กันหมด โดยส่วนตัวผมชอบชุดเล่นสกีสีแดง ที่ตัวละครของ Lady Gaga ใส่ สีแดงมันตัดกับสีหิมะสีขาว มันดูเด่นและดูเป็นที่จดจำดี แต่ชุดฝั่งผู้ชายก็ดีเหมือนกัน โดยเฉพาะ Adam Driver ที่เรื่องนี้จับเขาเปลี่ยนลุคเป็นหนุ่มไฮโซลูกเศรษฐี และลุคเขาก็ดูเป็นแบบนั้นจริงๆ ขนาดตัวละครรองๆ อย่างเลขาของเมาริซิโอ ยังเท่เลย ฉากที่เขาใส่แว่นดำ กับชุดสูทดำ ตอนเอาใบหย่าไปให้แพทริเซียที่โรงเรียน ฉากนั้นโคตรหล่อ ไม่เหมือนเลขา เหมือนพวกบริการ์ดหรือสายลับมากกว่า โดยรวมถือว่าทำได้ดีมากๆ ในเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมของตัวละคร สุดท้ายเรื่องของการตัดต่อ เรื่องนี้เลือกเล่าเรื่องแบบยาวๆไทม์ไลน์ทั้งหมดของเรื่องคือเวลาเกือบ 30 ปี ทำให้มีการตัดช่วง และสคริปต์เยอะ ซึ่งถือว่าทำได้ดี ทำให้เราไม่เบื่อ เล่าแต่เรื่องสำคัญๆ กระชับ ไม่ยืดเยื้อ และไปต่อเรื่อยๆ เห็นการพัฒนาการและความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แบบลื่นไหล และกำลังพอดี ถือว่าทำได้ดีจริงๆสรุป สำหรับผม ในเรื่องนี้ที่บทสรุปมันจบไม่ส่วนนั้น มันมาจากทุกคน เพราะทุกคนมีส่วนผิดกันหมด แต่ที่ผิดที่สุดคือความสัมพันธ์ของครอบครัว GUCCI ที่มันมีเส้นกั้น การแบ่งลำดับชั้นกันพอสมควร ไม่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากพอ พอมีคนนอกอย่างแพทริเซียเข้ามาหวังแย่งชิงทรัพสมบัติก็เรียบร้อย แต่ถ้าพวกเขารักกันและพูดคุยแลกเปลี่ยนด้วยความจริงใจกันตลอด คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ และอาจรับมือได้ดีกว่านี้ อย่างว่าแหละ ได้อย่างเสียอย่างเป็นลูกคนรวยก็สบาย แต่ตามมาด้วยความกดดัน และความสัมพันธ์กับพ่อแม่ ที่จะลดน้อยตาม เพราะเงินไม่ได้เสกได้ รวยได้แสดงว่าพ่อแม่ทำงานหนัก ไม่มีเวลาอยู่กับลูก ลูกสบายก็จริง แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องความอบอุ่นตามมา แต่ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะเป็นแบบนี้อย่างในเรื่องคือพ่อของเมาริซิโอ แทบไม่รู้จักลูกตัวเองเลย เพราะมัวแต่ทำงานอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งต่างกับพี่ชายของเขา ลุงอัลโด ที่มีลูกชายคือเปาโล แม้ว่าลุงอัลโดจะทำงานหนัก แต่เขามีความยืดหยุ่น และไม่ตึงเครียดเท่าน้องชาย เขากับลูกเลยมีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ แต่ก็มีข้อเสียอยู่ดีตรงรักลูกเกินไป สปอยลูกเกิน จนลูกทำอะไรไม่เป็น สรุปแล้วมนุษย์ทุกครอบครัว มีปัญหาเสมอ อยู่แค่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่หรือเล็ก ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แค่ตีแผ่ครอบครัวที่มีปัญหาใหญ่ๆและคาราคาซังก็เท่านั้น อีกอย่างที่ผมชอบคือการที่มีตัวละครหมอดูเข้ามาเกี่ยวข้องเนี่ยแหละ คือตัวละครแพทริเซียขับเคลื่อนด้วยหมอดูล้วนๆ ทั้งที่หมอนั่นมันหมอดูเก๊ เรื่องนี้ก็ถ่ายทอดให้เราเห็นแบบนั้นเลย ซึ่งมันดีมากๆ แสดงให้เราได้เห็นว่าความเชื่อมันมันทำให้คนเรากลัว จนไม่กล้าตั้งคำถาม ทำได้เพียงทำตามเท่านั้น และคนที่เชื่อจนหัวปักหัวปำ มันก็พร้อมจะทำทุกอย่างตามที่หมอดูบอก อย่างแพทริเซียที่พอหมอดูแนะนำให้ฆ่าสามี ก็ทำตามแบบไม่ลังเล ซึ่งเราก็ไม่รู้ไงว่าหมอดูเนี่ย มันไปแบ่งเงินกับมือปืน หรือได้ค่านายหน้าหรือป่าว แต่ผมว่าหมอดูได้เงินอยู่แล้ว มันให้เราเห็นเป็นบทเรียนเลย ว่าอย่างมงายอะไรเกินไป มันมีโอกาสจะนำเราไปทำเรื่องบ้าๆได้ สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็เป็นภาพสะท้อนของเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นจริงๆ มันก็ให้ข้อคิดเราในหลายๆเรื่องและเป็นหนังที่ผมจะดูซ้ำแน่นอนสุดท้ายนี้ถ้าอ่านแล้วชอบฝากกดติดตาม และกดแชร์ด้วยนะครับชื่อเรื่อง : House of GUCCIปีที่ฉาย : 2021 (ในไทย 2022)แนว : ประวัติศาสตร์ผู้กำกับ : ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott)ช่องทางการรับชม : ฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ (เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ)คะแนน : 8.5 / 10ช่องทางการติดตาม Facebook Fanpage : ละเลงหนังบทความอื่นๆของ ละเลงหนัง : รีวิว The Last Duel (2021) การดวลจนตัวตายของ 2 อัศวิน เพื่อพิสูจน์ความจริง / Meg 2 : The Trench กำลังจะเปิดกล้องถ่ายทำในสัปดาห์หน้า / เตรียมตัวก่อนดู Vikings : Valhalla / ป้ายยา House of GUCCI หนังดีที่ไม่ควรมองข้าม / แนะนำ&รีวิว Hype House (2022) เมื่อเหล่าคนดังมาอาศัยอยู่ด้วยกันเพื่อสร้างคอนเทนต์ออนไลน์ภาพทั้งหมดจาก Facebook : House Of Gucciภาพปก : ภาพที่ 1ภาพประกอบ : ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7วิดีโอ : House Of Gucci - Official Trailer [ซับไทย] จาก Youtube : Major Groupอัปเดตบทความรีวิวภาพยนตร์ใหม่ ๆ สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !