The Crow - อีกาพญายม (2025) คำสาปที่ฟื้นคืน กับการล้างแค้นที่ขาดหัวใจ หากกล่าวถึง หนึ่งในภาพยนตร์ระดับคัลท์คลาสสิกของยุค 90s ชื่อของ The Crow (1994) ต้องโผล่ขึ้นมาเป็นลำดับต้น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยการแสดงอันเป็นตำนานของแบรนดอน ลี ที่พลิกบทบาทให้กลายเป็น “อีกาพญายม” ผู้ฟื้นคืนจากความตายเพื่อล้างแค้น และทิ้งตำนานบทสุดท้ายของชีวิตไว้บนแผ่นฟิล์มอย่างเจ็บปวด ในปี 2024 The Crow ได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของการรีเมค นำโดย บิล สการ์สการ์ด กำกับโดย รูเพิร์ต แซนเดอร์ส (Ghost in the Shell) พร้อมความหวังว่าจะชุบชีวิตภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! แต่ทว่า ความทะเยอทะยานของทีมผู้สร้างในการปรับปรุงบทและโทนของเรื่องให้ร่วมสมัย กลับกลายเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความ “หลงทาง” ในหลายมิติ ทั้งในเชิงอารมณ์ การเล่าเรื่อง และความสัมพันธ์ของตัวละคร แม้จะพยายามฉีกกรอบเวอร์ชันเดิมอย่างกล้าหาญ แต่ก็ดูเหมือนว่าภาพรวมของ The Crow (2024) จะเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคงและชวนตั้งคำถามถึง “ความจำเป็น” ของการกลับมาครั้งนี้ เมื่อความรักกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งหายนะ The Crow (2024) บอกเล่าเรื่องราวของ เอริค ดราเวน ชายหนุ่มที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกับแฟนสาว เชลลี่ แต่ในขณะที่ความตายควรจะเป็นจุดจบ อีกากลับมอบโอกาสที่สองให้กับเขา เพื่อทวงคืนความยุติธรรมและลงโทษทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ทว่า การลุกขึ้นล้างแค้นของเอริคในเวอร์ชันใหม่นี้ ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความเศร้าหรือความโกรธเท่าเดิม หากแต่เปี่ยมไปด้วย “ความรักสุดคลั่ง” ที่กลายเป็นธีมหลักของเรื่อง ผู้เขียนบท วิลเลียม โจเซฟ ชไนเดอร์ และ แซ็ค เบย์ลิน (จาก Creed III และ King Richard) พยายามเติมความโรแมนติกให้เรื่องราวเพื่อเสริมมิติของตัวละคร แต่น่าเสียดายที่ความพยายามนี้กลับสะดุดตั้งแต่ช่วงต้น เพราะบทสนทนาและการปูความสัมพันธ์ของเอริคกับเชลลี่นั้นดูเร่งรีบและไร้ความลึกพอที่ทำให้คนดู “เชื่อ” ว่านี่คือความรักที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ ความสวยงาม ที่ไม่สามารถกลบความกลวงได้ ด้านโปรดักชันดีไซน์ รูเพิร์ต แซนเดอร์สยังคงไว้ลายผู้กำกับที่มีสายตาทางศิลปะอันเฉียบคม โลกของ The Crow ฉบับนี้ถูกออกแบบให้หม่นคล้ำ โกธิค และหลอกหลอนได้อย่างน่าหลงใหล แต่เหมือนเช่นผลงานก่อนหน้า นี่คือภาพยนตร์ที่ “สวยแต่รูป จูบไม่หอม” อย่างแท้จริง เพราะแม้จะมีบรรยากาศที่ดูดีในแง่เทคนิค แต่เรื่องราวและอารมณ์กลับไม่สามารถพยุงตัวภาพยนตร์ให้ยืนหยัดได้ ฉากแอคชันบางซีนมีความรุนแรงแบบเรต R ที่ทำได้ถึงพริกถึงขิง แต่กระจายมาแบบเบาบางและขาดแรงผลักดัน ขณะที่ตัวร้ายของเรื่องก็ถูกลดบทบาทให้น่าจดจำน้อยกว่าที่ควร พวกเขาเป็นเพียงตัวประกอบบนเส้นทางการแก้แค้นที่ไม่สามารถสร้างแรงปะทะทางอารมณ์ได้เลย "บิล สการ์สการ์ด" แบกหนังไว้เกือบทั้งเรื่อง หนึ่งในไม่กี่จุดแข็งของ The Crow ฉบับนี้คือการแสดงของ บิล สการ์สการ์ด ที่รับบทเป็นเอริค ดราเวน แม้บทจะไม่เอื้อให้เขาสร้างตำนานใหม่ในระดับเดียวกับแบรนดอน ลี แต่สการ์สการ์ดก็พยายามอย่างเต็มที่ในการตีความตัวละครใหม่ผ่านรูปลักษณ์ที่ดิบ เศร้า และเปราะบางในคราวเดียวกัน เขาใช้สายตากลมโตและสีหน้าที่สื่ออารมณ์ได้ดีในการถ่ายทอดพลังของตัวละคร ทั้งความโกรธ ความเศร้า และความแค้นได้ในหลายระดับ ตรงข้ามกับ เอฟเคเอ ทวิกส์ ที่รับบทเชลลี่ เธอดูจะมีความโดดเด่นเฉพาะทางภาพลักษณ์ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องแบกรับบทนำ เธอกลับไม่สามารถดึงผู้ชมให้เชื่อในอารมณ์รักหรือความเจ็บปวดของตัวละครได้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับนักแสดงสมทบอย่าง แดนนี ฮุสตัน หรือ โจเซ็ตต์ ซิมอน ที่ไม่ได้รับบทบาทหรือพัฒนาการใด ๆ ให้คนดูจดจำ เหตุผลที่ไม่ควรพลาด: แม้จะมีจุดบกพร่องไม่น้อย แต่ The Crow (2024) ก็ยังมีเหตุผลบางประการที่ทำให้คอหนังไม่ควรมองข้าม การแสดงของบิล สการ์สการ์ด เขาสร้างอีกาพญายมในแบบของตัวเองที่ไม่ซ้ำรอยเดิม และสามารถดึงดูดสายตาผู้ชมได้ตลอดทั้งเรื่อง โทนภาพและงานโปรดักชันที่งดงาม ผู้กำกับรูเพิร์ต แซนเดอร์สยังคงออกแบบโลกของ The Crow ให้มีความงดงามทางภาพและเต็มไปด้วยกลิ่นอายโกธิคที่ชัดเจน เป็นจุดเด่นที่ควรได้สัมผัสในโรงภาพยนตร์ ซีนแอคชันเลือดสาดสำหรับสายโหด แม้จะไม่ถี่นัก แต่ฉากแอคชันที่มีนั้นก็ดิบ ดุ และเต็มไปด้วยความโหดจัดจ้านสไตล์เรต R อย่างแท้จริง ใครชอบสาย John Wick จะพบความสะใจในช่วงท้ายเรื่อง ตีความใหม่ในด้านแฟนตาซีหลังความตาย หนังขยายจักรวาลของ "อีกา" และกฎเกณฑ์พลังชีวิตหลังความตายให้มีมิติมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากเวอร์ชันปี 1994 สรุป: The Crow (2024) เป็นการรีเมคที่มีความกล้าหาญในการตีความใหม่ แต่ขาดหัวใจสำคัญในการเชื่อมโยงอารมณ์ของผู้ชมเข้ากับตัวละครหลักอย่าง “เอริค ดราเวน” ถึงแม้จะมีภาพที่สวย ดนตรีดี และฉากบู๊จัดหนัก แต่ก็ไม่สามารถกลบจุดอ่อนของบทหนังที่ขาดความหนักแน่นและไม่สมดุลได้พอจะเรียกน้ำตาหรือความสะเทือนใจเหมือนต้นฉบับ การกลับมาครั้งนี้จึงอาจไม่สามารถทำให้ The Crow ฟื้นคืนชีพได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามที่น่าจับตามอง และสมควรได้โอกาสรับชมในฐานะ "อีกาพญายม" รุ่นใหม่ที่พยายามบินด้วยปีกของตัวเอง สำหรับผู้ชม: เหมาะกับแฟนหนังแฟนตาซีสายดิบ โกธิค และผู้ที่ชื่นชอบการแสดงของ "บิล สการ์สการ์ด" ไม่เหมาะสำหรับ: ผู้ที่คาดหวังบทหนังเน้นๆ หรือความรักที่หนักแน่นกินใจแบบเวอร์ชันต้นฉบับ หากคุณเป็นแฟนหนังเรื่อง The Crow และอยากสัมผัสกับการตีความใหม่ ก็ยังคุ้มค่าที่จะลอง แต่ถ้าคุณคาดหวัง "ความขลัง" แบบเดิม... โปรดเตรียมใจไว้ก่อนเล็กน้อย รูปภาพที่ 1,2,3,4,5,6,7 นำมาจาก Ig ของ thecrow รูปภาพน้าปก นำมาจาก Ig ของ thecrow เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !