แด่ทุกคนที่ต้องการเยียวยา... บทสรุปส่งท้ายตอนจบ "It's Okay to Not Be Okay"
ข่าวสารวงการซีรีส์ It's Okay to Not Be Okay
"It's Okay to Not Be Okay" กลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มอบประสบการณ์และรสชาติที่แตกต่างไปจากซีรีส์เรื่องอื่นๆ ทั่วไปจากเกาหลี โดยเฉพาะผลลัพธ์สุดท้ายที่เลือกส่งกลับมาถึงคนดูนั้น ช่างเป็นห้วงอารมณ์ที่ประทับใจและขมขื่นไปพร้อมๆ กันอย่างน่าพิศวง ซีรีส์เรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีเนื้อหาที่ทำให้ทุกคนรู้สึกสนุกไปในทุกๆ ตอน มีความโรแมนซ์ มีความแฟนตาซี มีความเป็นมนุษย์ มีความตึงเครียด และมีความจิตวิทยา องค์ประกอบต่างๆ ได้หล่อหลอมรวมกันเป็นซีรีส์เรื่องนี้ ตกผนึกออกมาเป็น...การเยียวยา หมายถึงสารหลักที่ต้องการส่งต่อให้คนดู
ตลอดทั้ง 16 ตอนที่ผ่านมาของ It's Okay to Not Be Okay มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในช่วงชีวิตของตัวละครหลักทั้ง 3 คน ตัวละครทุกคนต่างมีบทบาทนำเป็นของตัวเองในชีวิตของพวกเขาเอง หนึ่งในสิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ลืมจะใส่เอาไว้เสมอๆ ในทุกเรื่องราวก็คือ ความเป็นมนุษย์ ทุกคนล้วนมีอารมณ์แตกต่างที่เหมือน รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นได้เสมอ เพียงแต่ว่า ณ จุดหนึ่งเราจะใช้อารมณ์ไหนมาเป็นแรงจูงใจในการกระทำของตัวเองกันแน่
It's Okay to Not Be Okay ยังได้ขมวดปมต่างๆ เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจและลึกลับพอๆ กับแนวความคิดของตัวละคร ทำให้คนดูแทบจะคาดเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ ใครเป็นคนทำ และทำไมถึงต้องทำ ผลของการกระทำทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากบ่อเกิดจากในอดีตทั้งสิ้น ซีรีส์พยายามสื่อให้เห็นถึงคุณภาพชีวิตของคนที่มักจะได้รับอิทธิพลมาจากสถาบันครอบครัวเป็นหลักก่อนเสมอ
ได้ยินมาว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจเลิกดูซีรีส์เรื่องนี้ไปตั้งแต่ช่วงแรกๆ เพราะเนื้อหาที่หม่นหมองและดูจริงใจตึงเครียดเกินไป ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะซีรีส์ในช่วงแรกก็ดำเนินออกมาทิศทางนั้นจริงๆ แต่หากคนดูได้ลองสัมผัสถึงลักษณะตัวละครทุกตัวไปเรื่อยๆ แล้ว ก็จะรับรู้ถึงเหตุและผลในการกระทำของตัวละครนั้นมากขึ้น และแนวความคิดของคนดูจากช่วงแรกไปถึงช่วงท้ายของซีรีส์ เมื่อลองหันกลับมามองแล้วจะพบว่าแตกต่างกันเลยทีเดียว
"โกมุนยอง" อดีตคือเด็กสาวที่เติบโตมากับครอบครัวที่เพรียบพร้อมทุกอย่าง เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาครอบครัวที่ตัวเองเลี่ยงที่จะซึมซับไม่ได้ นั่นจึงกลายเป็นปมที่ติดอยู่ข้างในใจของเธอเสมอ การที่เห็นพ่อทำร้ายแม่ หรือแม่ที่บังคับขู่เข็ญในสิ่งที่เขาอยากจะให้เธอเป็น กลายเป็นเหมือนเถาวัลย์บีบรัดเธอในวัยเด็กเอาไว้แน่น ต้องอยู่ในกรอบ ต้องเชื่อฟังแม่ เป็นสิ่งที่กระทบและฝังใจเธอมาตลอด และทำให้เธอกลายเป็นพวกเข้ากับสังคมไม่ได้ หนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงไร้มารยาท
ในขณะที่ "มุนคังแท" ในอดีตเขาคือเด็กชายที่เกิดมาเป็นน้องชายของพี่ที่ไม่สมประกอบ เขาเติบโตมากับภาวะที่เห็นแม่เอ็นดูและประคบประหงมพี่ชายอยู่เสมอ จนทำให้บางทีเขาก็น้อยใจและคิดไปว่าแม่คงรักเขาน้อยกว่าพี่ชาย นั่นก็เป็นหนึ่งในบาดแผลในใจของเขาเสมอมา แต่กระทั่งในวันที่ต้องสูญเสียแม่ไป เขาจำเป็นต้องสานต่อหน้าที่ของแม่ ด้วยการดูแลพี่ชาย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่ต้องดูแลคนอื่นๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยอาชีพของตัวเอง และในชีวิตประจำวัน แต่กลับลืมที่จะดูแลและใส่ใจตัวเอง
และมาถึงพี่ชาย "มุนซังแท" แม้ว่าเขาจะเกิดมาพร้อมกับสภาวะไม่สมประกอบ แต่เขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถเท่าที่เขามี ไม่อยากจะเป็นภาระให้กับเขา พยายามดิ้นรนช่วยเหลือน้องชายอยางเต็มที่ แม้ว่าเขาจะแทบทำอะไรให้ไม่ได้เลย แต่ความฝันสูงสุดของเขาก็ยังคงเป็นเป็น "การเป็นพี่ชายที่ดีของน้อง" เขาอยากจะปกป้องน้องด้วยหน้าที่ที่เขาควรจะทำ เขารู้ดีกว่าน้องเหนื่อยที่จะดูแล แต่บางครั้งเขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อีกทั้งยังมีปมในใจที่เห็นแม่ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา จึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เขายิ่งเข้าสังคมไม่ได้
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงช่วงท้ายของซีรีส์ เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครทุกตัว แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นพี่ชายที่แสนดี มุนซังแท เป็นหนึ่งคนที่ทำให้คนดูน้ำตาคลอได้เสมอๆ ในการกระทำแต่ละอย่างของเขาที่ทำให้ผู้ชมภาคภูมิใจตามไปด้วย การแสดงของ "โอจองเซ" ในบทนี้นับว่าเป็นการก้าวขึ้นจุดสูงสุดในอาชีพของเขาเลยก็ว่าได้ เป็นคาแรกเตอร์แปลกใหม่ที่เขาแทบไม่เคยจะได้เล่นมาก่อน ทำให้เห็นว่ามีการศึกษาค้นคว้าและทำการบ้านมาดี ทำให้ มุนซังแท ออกมาในละครได้อย่างน่าประทับใจ
แกนหลักของ It's Okay to Not Be Okay ก็เป็นเหมือนกับทั้ง 4 ประโยคสุดประทับใจที่เราเคยกล่าวถึงไปแล้ว ซีรีส์ได้ว่าถึง 4 ประเด็นหลักๆ ได้แก่ การเป็นครอบครัว, ความเอาใจใส่ผู้อื่น, ความรักความห่วงใย และ การใส่ใจดูแลตัวเอง ที่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ขาดหายไปของตัวละคร เมื่อผนวกรวมประเด็นทั้งหมดออกมาเป็นซีรีส์เรื่องเดียวกัน จึงกลายออกมาเป็นเนื้อหาที่ช่วยบรรเทาและเยียวยาจิตใจของคนดูได้เป็นอย่างดี
สาเหตุที่นั่งดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วน้ำตามไหลออกมา ไม่ใช่เพราะเนื้อหาเศร้าอะไรเลย แต่กลับเป็นเพราะความประทับใจและเนื้อหาที่เข้าไปสะกิดต่อมบางอย่างในใจคนดูหลายคนมากกว่า ทุกคนเคยผ่านเรื่องที่ทำให้ท้อแท้ เคยเผชิญหน้ากับผิดหวัง เหนื่อยกับหน้าที่รับผิดชอบ และในตอนสุดท้ายของ It's Okay to Not Be Okay ได้เข้ามาทำหน้าที่ปลดแอกทุกสิ่งที่แบกเอาไว้อยู่ลงได้แทบไม่เหลือ
แก่นสารของซีรีส์เรื่องนี้คงไม่ได้เน้นที่ความสัมพันธ์โรแมนซ์ของคู่พระนางเพียงอย่างเดียว แต่ความประทับใจกลับอยู่การไปสำรวจพัฒนาการทั้งทางกายและทางใจของตัวละครทุกๆ ตัวมากกว่า ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ลืมตัวละครสักตัวเดียวที่เคยได้ถ่ายทอดออกไป พวกเขายังกลับมาทำหน้าที่เป็นแรงบันดาลใจผ่านเรื่องราวจากนิทานให้ข้อคิดที่ถูกใช้เป็นตัวแทนในการเล่าเรื่องตลอดทั้ง 16 ตอน
ถึงแม้ว่า It's Okay to Not Be Okay ได้ปิดฉากลงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ความประทับใจของซีรีส์ยังคงติดตรึงใจอยู่ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายของเรื่องที่อย่างน้อยๆ ก็ได้สอนให้คนดูได้รู้จักกับคำว่า "มูฟออน" อย่างถ่องแท้มากขึ้น เส้นทางชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน เมื่อมาถึงจุดหนึ่งจะกลายเป็นทางแยก ทางแยกนี้ไม่ใช่แยกตลอดกาล แต่แยกเพื่อจะออกไปใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ ที่จะเส้นทางใหม่ มุมมองใหม่ และประสบการณ์ใหม่ เพราะนี่แหละ...คือการดำรงชีวิต
----------------------------------------------------