อาย วราไพรินทร์ เปิดใจข่าวลือซุ่มมีลูกที่ดูไบ พร้อมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว
อาย วราไพรินทร์ เปิดใจข่าวลือซุ่มมีลูกที่ดูไบ พร้อมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว
จากกรณีที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวร้อนแรงว่าดาราสาวชื่อดัง "อาย วราไพรินทร์" จากซีรีส์ดังช่อง ONE “สงครามนางงาม” แอบซุ่มมีลูกที่ดูไบ หลังจากที่ผันตัวเป็นนักธุรกิจส่งออกที่ตะวันออกกลาง และกำลังเตรียมพาลูกสาวกลับไทยเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
ล่าสุด อาย วราไพรินทร์ มาร่วมงานสัมมนาหัวข้อ “เปิดตลาดอภิมหาเศรษฐีบ่อน้ำมัน 2022” ณ โรงแรม อัล มีรอซ ห้อง แกรน มีรอซ กรุงเทพ (Al Meroz Hotel) และได้แถลงเปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว ว่าความจริงแล้ว ลูกที่เป็นข่าวเป็นการอุปการะเด็กที่พ่อแม่ไม่พร้อมเลี้ยง
ข่าวลือเรื่องมีลูกที่ดูไบ และเตรียมเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว นี่คือยังไง?
"ก็คิดไว้ว่าอีกสองเดือนก็กำลังจะมีแล้วค่ะ ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ การเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมันก็เป็นการที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากในปัจจุบันอยู่แล้ว ผู้หญิงที่สามารถเลี้ยงดูลูกตัวเองได้คือน่าจะเป็นคนที่สามารถดูแลตัวเองได้ แล้วก็ด้วยผู้หญิงสมัยนี้ค่อนข้างที่จะสตรองขึ้นและอีกอย่างหนึ่งด้วยความที่เขาเป็นผู้หญิงก็จะมีทั้งความสตรองและความอ่อนโยน อายเชื่อว่าเด็กก็จะได้รับทั้งสองอย่างก็คือสร้างความเข้มแข็งและความอ่อนโยน
และต้องบอกก่อนนะคะว่าอายไม่ได้ท้องเองเหมือนที่เป็นข่าว คือเด็กเกิดจากการที่เรารับอุปการะ ที่เราไปต่างประเทศ จริงๆ เราได้มีการอุปการะหลายๆ คนอยู่แล้ว แต่ว่าพอสุดท้ายเด็กคลอดออกมาแล้ว คุณแม่เขาก็อินแล้วเขาก็ไม่ยกให้เรา เราก็ไม่ได้ไปคาดหวังว่าเขาจะยกหรือไม่ยก แต่ในส่วนของเรา เรามีโอกาสได้ช่วยก็เท่านั้นเอง เพราะเราไม่เห็นด้วยในการที่จะทำแท้ง
อย่างของน้องที่เป็นเคสนี้ เนื่องจากคุณแม่ของเขาได้มีการติดต่อเข้ามาแล้วได้คุยกับอายในลักษณะที่ว่า ถ้าพี่อายรับน้องและอินกับน้องจริงๆ เขาจะยกให้ และถ้าเกิดอายไม่รับเด็กคนนี้ เขาอาจจะไม่ได้เกิดมามีชีวิต เราก็เลยรู้สึกว่าด้วยตัวของเรา เรามีความตั้งใจอยู่แล้วที่อยากจะมีลูกพอดีภายในสองปีนี้ แล้วก่อนหน้านี้ก็มีความคิดอยากจะทำอุ้มบุญ แต่ติดปัญหาอยู่เหมือนกันเนื่องจากว่าคนที่จะมาอุ้มบุญให้เรา ไหนจะเรื่องของกฎหมายหรือคนที่เราจะไปขอน้ำเชื้อเขามา
อายมองว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากขึ้นไปอีก อายเลยลดความคาดหวังของตัวเองลงทั้งหมด ตอนนี้จะเป็นลูกที่เกิดจากเรา หรือลูกที่เกิดจากใครก็ตาม แต่ในวันนี้เรามีความพร้อมที่อยากจะเป็นคุณแม่หรือเราอยากจะมีลูกก็เลยไม่คาดหวังแล้วก็จะรักเด็กคนนี้แบบไม่มีเงื่อนไข เราจะไม่คาดหวังว่าเขาจะรักเรามากแค่ไหนหรือวันนึงเขาจะกลับไปหาคุณแม่จริงๆ ของเขาหรือเปล่า
คือเด็กคนนี้เป็นลูกของผู้หญิงไทยกับชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งคุณพ่อของเขาไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบ แล้วตัวแม่เขามีลูกเล็กอยู่แล้วหนึ่งคนซึ่ งไม่พร้อมมากๆ และเขาเองก็คิดว่าอยากจะเอาลูกคนแรกที่เขามีมาเลี้ยงที่ประเทศไทย แล้วเขาไม่พร้อมที่จะเอาลูกคนที่กำลังตั้งท้องมาดูแลเอง รวมถึงเขาเห็นว่าอายตั้งใจอยากจะมีลูกอยู่แล้ว
อายอาจจะไม่ได้รู้จักสนิทกับผู้หญิงคนนี้ดีแต่พอสืบสาวกันไปแล้ว เขามีโอกาสได้มาเจออายที่ร้านซึ่งอายมีร้านอยู่ที่ประเทศบาห์เรนเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต คือเขาเข้ามาแล้วเขารู้จักกับพนักงานของเรา มันก็เลยทำให้มีความลึกซึ้งมากกว่าเคสอื่นๆที่ เข้ามาขอความช่วยเหลือ ที่ไม่ได้เป็นคนใกล้ตัวอายขนาดนั้น
การจดตามกฏหมายต้องรอให้เด็กคนนี้คลอดออกมาก่อน ตอนนี้ก็มีการดูแลเพราะว่าก็ประมาณ6-7เดือน ถ้าเกิดคลอดออกมาแล้ว แล้วคุณแม่เขายังยืนยันเหมือนเดิม ทางอายก็ไม่มีปัญหา (แต่ถ้าคลอดออกมาแล้วไม่ยินยอมให้ลูกเราเหมือนที่พูดไว้?) เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าอายไม่กังวลนะคะ คือมันก็หลายเสียงที่เข้ามาเหมือนกัน แต่อายเชื่อว่าถ้าอายไม่คาดหวังตั้งแต่ตอนนี้ หมายถึงถ้าเขาอินกับลูกมันก็เป็นเรื่องที่ดี ถ้าการที่เขาเชื่อมั่นว่าเขาสามารถเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวได้อย่างที่อายก็อยากจะเป็นเหมือนกัน แล้วเขาอยากจะเลี้ยงลูก อยากจะรักลูก อายคิดว่าตรงนี้อายไม่ติดนะ"
จะมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไหม ว่าถ้าคลอดออกมาแล้วจะยกให้เรา?
"คือเขาพร้อมเซ็นตั้งแต่วินาทีที่อายเจอเขาเลย แต่ยังไม่ได้เซ็นเพราะว่าอายจะต้องกลับไทยมาก่อน แล้วก็มีทีมงานอายที่ช่วยดูแลเขา เคลียร์เรื่องปากท้อง ซึ่งตอนนี้เป็นสัญญาใจ"
ไปใช้ชีวิตที่บาห์เรนมาสามปี ปัญหาผู้หญิงไทยที่มีบุตรแล้วฝ่ายชายไม่รับผิดชอบแบบนี้เยอะไหม?
"จริงๆ คือเยอะมากๆ เลย คือบางเคสก็ทิ้งเด็ก บางเคสก็ทำร้ายเด็ก จนกฎหมายท้องถิ่นออกมาว่าถ้าเกิดมีการทำแท้งจะถูกจำคุก เรื่องนี้เลยหยุดไป ซึ่งอายไม่อยากเห็น เพราะอย่างเคสล่าสุดที่อายไปเห็นก็จะมีเคสหนึ่งที่เด็กออกมาแล้ว แล้วเขาทิ้งเลย แล้วเราอ่ะทำงานกับสถานทูตอยู่แล้ว เราก็รู้สึกเป็นห่วงเรื่องนี้ ทางสถานทูตเองก็บอกว่ารับผิดชอบได้ในส่วนที่ทำได้เท่านั้นนะ อายเข้าใจเขานะคะ ก็กลายเป็นว่าเคสไหนที่เขาพอรู้จักอาย ก็อาจจะขอความช่วยเหลือ แต่ว่าเราก็ยินดีที่จะช่วยอย่างสมเหตุสมผล ด้วยกำลังที่เราสามารถทำได้
ไม่ใช่ทุกเคสที่เราจะสามารถรับเลี้ยงได้ขนาดนี้ ส่วนเคสที่น่าห่วงมากๆ ก็อาจจะเป็นเคสที่เด็กเกิดมาแล้วแล้วคุณแม่ไปต่ออะไรไม่ได้เลย แล้วไม่รู้จะไปต่อยังไง แล้วถ้าเกิดว่าทางคุณพ่ออาหรับหรือคุณพ่อต่างชาติไม่ได้ลงเอยถึงขั้นแต่งงาน ซึ่งจริงๆ แล้วผู้ชายกับผู้หญิงอาจจะรักกัน แต่ด้วยครอบครัวสังคมและศาสนาด้วยหลักของเขาอาจจะไม่เห็นด้วย ก็อาจจะส่งผลให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าผู้หญิงไทยจะไปทำงานที่ต่างประเทศ ต้องระวังเรื่องนี้ให้ดี มันไม่ง่ายที่จะโชคดีทุกคนที่จะสมหวังในเรื่องของความรัก"
ส่วนเรื่องการคลอดน้อง คลอดที่บาห์เรนหรือว่าประเทศไทย?
"เรื่องนี้อายให้คุณแม่เขาเป็นคนตัดสินใจค่ะ เพราะว่าอายพร้อมซัพพอร์ตเขาอยู่แล้ว ซึ่งเราก็มีทั้งสองแผนที่แพลนไว้หมดแล้ว เหลือแค่ว่าคุณแม่เขาสะดวกแบบไหน ส่วนเรื่องการได้สัญชาติที่นั่นอาจจะไม่เกิดขึ้น เพราะว่าจะต้องมีคุณพ่อมารับเซ็นค่ะ เพราะถ้าคุณพ่อมาเซ็นจะผิดกฏหมายทันที เพราะว่ากฎหมายที่โน่นจะเป็นแบบนั้น ถ้าเขาไม่แต่งงานกันเขาจะเซ็นไม่ได้"
มองอนาคตของเด็กคนนี้ว่ายังไง?
"จริงๆ อายคุยกับตัวเองนะยิ่งมามีข่าวแบบนี้ก็นั่งคุยกับตัวเองเยอะขึ้น ก็จะมีทั้งคนที่เป็นห่วงอาย คนในครอบครัวที่บางท่านอายยังไม่กล้าคุยเลยตอนนี้ อายมองไว้ว่าอาจจะต้องลดความคาดหวังก่อน เพราะว่าทุกเสียงที่เข้ามาในตอนนี้ก็จะบอกว่ากลัวนั่นไหม กลัวนี่ไหม จากตอนแรกที่อายไม่ได้กลัว แต่พอฟังเยอะๆ อายกลัวแล้ว เพราะฉะนั้นอายเลยลดความคาดหวังทั้งหมดเลยค่ะ
อย่างที่บอกว่าความตั้งใจ คืออยากจะช่วยเขา เพราะอยากมีลูกอยู่แล้ว ก็จะรักคนคนนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขแล้วกันค่ะ เขาอยากเป็นอะไรก็ให้เขาเป็น ถ้าสิ่งที่เขาเป็นมันไม่ได้ไปสร้างปัญหาอะไรก็คือจบ ให้อิสระเขา กระทั่งตัวอายการตัดสินใจของอายครั้งนี้ยังไม่เคยถามคุณพ่อคุณแม่เลย เพราะว่าอายก็รักในอิสระของอายเช่นกัน เพราะอายรู้สึกว่าคนเราเติบโตมาไม่เหมือนกัน
อย่างตอนนี้คนโดยทั่วไปอาจจะมองว่า ทำไมไม่แต่งงาน มีครอบครัวก่อนค่อยมีลูก แต่ชีวิตของอายมันไม่สามารถดีไซน์แบบนั้นได้ในสถานการณ์ ณ ปัจจุบันในวันนี้ เพราะอายยังไม่เจอคนที่รู้สึกจะเป็นคู่ชีวิตอายได้ขนาดนั้น และอายไม่อยากจะเอาความอยากมีลูกของอาย ไปเป็นภาระให้กับผู้ชายที่เขาก็ยังไม่ชัวร์ อายก็ยังไม่ชัวร์ มันอาจจะทำให้เป็นปัญหามากกว่าเดิม
แต่ลูกคนนี้ก็เลยจะเป็นแค่ความรับผิดชอบของอาย อายก็เลยแพลนไว้ แค่ว่าถ้าเกิดคลอดออกมาแล้วสิ่งที่เป็นสัญญาใจในวันนี้ คุณแม่ของเขาโอเคและยืนยันแบบนั้น แสดงว่าเด็กคนนี้คงมีบุญสัมพันธ์กับอายที่จะได้รับเป็นลูกของอาย แล้วอายก็จะไม่ปิดบังอะไรเขา จะไม่ไปทำอะไรที่คนอื่นทำกัน อายจะไม่ห้ามให้ลูกเจอแม่ คือจะให้เขาได้เจอกันถ้าเขาอยากจะเจอ เพราะถ้าสุดท้ายเราปิดกั้นให้เขาไม่เจอกันแล้วถ้าเขาหนีไปเจอกันคนที่ทุกข์ก็คือเรา”
แต่ในไทยก็ต้องมีผู้ชายที่จะต้องเซ็นรับว่าเป็นพ่อหรือเปล่า?
“อายไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้เลยค่ะ อายคิดว่ามันเป็นความตั้งใจของอาย ถ้าอายจะต้องให้ใครมาเซ็นรับเด็กคนนี้ว่าเป็นพ่อ อายคิดว่าเราก็แค่เซ็นอุปการะเป็นลูกบุญธรรมของเราเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นแม่ก็ยังคงเป็นแม่ของเขา อายก็จะเป็นคุณแม่อีกคนของเขาเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าคุณแม่เขามีความประสงค์ว่าคลอดแล้วไม่อยากเจอเด็กอีก อายเข้าใจนะเพราะเขาก็พูดเรื่องนี้ ว่าถ้าคลอดแล้วยกให้พี่อายเลยได้มั้ย เขาไม่อยากเจอเพราะกลัวจะอินกับลูก สำหรับอายคือได้หมด ตอนนี้ไม่คาดหวัง”
วันนึงถ้าเขากลับมาอยากได้ลูกคืนล่ะ?
“ตอบยาก จุกเหมือนกันนะ อายคิดว่าเรื่องเอกสารสัญญาเราคงต้องทำให้รอบคอบ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ก็ถ้าเด็กคนนี้เขาไม่อินกับอายเท่ากับคุณแม่ของเขา มันก็คงทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ตัวอายเองต้องไม่คาดหวังอย่างแท้จริง เพราะจริงๆ แล้วอายแค่อยากจะช่วยคน แล้วตัวเองก็ได้มีลูก แต่ถ้าลูกคนนี้เราไปคาดหวังว่าเขาจะต้องมาเลี้ยงอาย จะต้องมาอยู่กับอาย อายว่ามันน่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ทุกข์ตั้งแต่ตอนเริ่มแล้ว
อายจะให้อิสระกับเขามากที่สุด มันก็มีหลายเสียงที่เข้ามาทำให้อายเป๋เหมือนกันนะ และอายก็รู้ว่าครอบครัวก็ห่วงอาย ก็เลยอยากทำทุกอย่างให้เคลียร์ เลยต้องรีบออกมาพูด เพราะพอข่าวออกไป อายไม่กล้าตอบคอมเมนต์ใครเลย เพราะเราเห็นทั้งความรัก ความหวังดี อายก็รู้สึกได้ถึงสิ่งเหล่านั้นเลยอยากจะรีบมาพูดค่ะ”
น้องจะคลอดเดือนอะไร?
“ประมาณก.ค.- ส.ค. ค่ะ ไม่เกินนี้ น้องเป็นผู้หญิงค่ะ (ยิ้ม)”
คุณตา คุณยายทราบเรื่องจะมีหลานหรือยัง?
“คุณตา คุณยายยังไม่ทราบเลยค่ะ (หัวเราะ) ตอนนี้คนแรกที่อายบอกก็คือคุณป้าที่เลี้ยงอายมาตั้งแต่เด็ก คนนี้น่าจะเซ้นซิทีฟกับอายมากกว่าคุณพ่อคุณแม่เสียอีก อายก็เลยต้องรีบบอกเขา ซึ่งคำตอบของเขากลับมาเป็นสติ๊กเกอร์ ก็คือยังไม่ได้พูดอะไร แล้วอายก็ไม่กล้าโทรหา อายรอวันนี้ เพราะมันเหมือนปลดปล่อย เพราะก่อนหน้านี้เครียดมาก”
แสดงว่าการที่เราแถลงข่าวเพื่อแจ้งให้ทราบว่าเราไม่ได้ท้องก่อนแต่ง?
“ใช่ค่ะ อายเชื่อว่าที่บ้านอายเขาก็คงรู้ว่าอายไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี คือไปทำงานจริงๆ แหละ แต่พอข่าวออกมา อายห่วงเสียงที่จะไปถามเขามากกว่า เลยต้องรีบออกมาพูด”
เราพร้อมสำหรับความเป็นแม่ขนาดไหน เพราะภาระต้องเพิ่มมาอีก?
“จริงๆ อายอยากจะเป็นคุณแม่มาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ตั้งแต่เริ่มทำงาน แต่เราก็ยังคงมองในภาพของสังคมไทยอยู่ที่ต้องแต่งงานก่อนค่อยมีลูก อายรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายนะการจะหาใครสักคนนึงมาเป็นคู่ชีวิตที่เข้าใจเรา ที่จะรักเราจริงๆ แล้วยิ่งอายทำงานเยอะด้วย ก็ยิ่งทำให้เป็นเรื่องไกลตัว แต่ความอยากมีลูกมันมาก
คืออายไปทำงานที่นู่น เจอเด็กอาหรับน่ารักมาก แต่สเป๊กอายไม่ได้ชอบผู้ชายอาหรับขนาดนั้น แล้วอายไม่สามารถไปอยู่ใต้ผู้ชายที่มีลัทธิอะไรขนาดนั้นได้ แล้วมันเกิดมีเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เลยคิดว่ามันคงเป็นโชคชะตาที่ทำให้อายจะได้ลูกอาหรับจริงๆ และได้เป็นแม่โดยที่อายก็ไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา ส่วนการเตรียมตัวคืออายเตรียมใจก่อนเลย (ยิ้ม) ว่าถ้าจะมีก็คงดูแลเขาให้ดีค่ะ”
ถ้าวันนึงเรามีคู่ชีวิต มีลูกของเราเองจริงๆ จะอธิบายกับเขาว่ายังไง?
“อายเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยความจริง ถ้าใครจะมาเป็นคู่ชีวิตเรา อายเชื่อว่าเขาต้องรับเราได้ เขาคงรู้ว่าในอนาคตเราจะอยู่ยังไง แล้วถ้าวันนึงอายมีลูกเอง อายให้อิสระกับชีวิตตัวเองนะ อย่าไปพะวงอะไรกับมัน สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นลูกของอาย ทั้งลูกแท้ๆ และลูกไม่แท้ ถ้าเด็กคนนี้เขาอินกับอายเหมือนที่อายอินกับเขา ก็ไม่มีอะไรต้องแคร์ไปมากกว่านี้ค่ะ”
อยากบอกถึงสาวๆ ที่ฝันอยากเจอสามีชาวอาหรับรวยๆ ยังไงบ้าง?
“อายมองว่าทุกคนที่กำลังจะตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศ สิ่งสำคัญคือปลายทางต้องชัดเจน ต้องติดต่อได้ เพราะฉะนั้นการไปผ่านเอเจนต์ต้องสกรีนด้วยนะ ว่าเอเจนต์นั้นหลอกหรือเปล่า เพราะเกิดเราไปถึงที่นู่นมันอาจจะไม่มีงาน หรือไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวังอะไรก็ตามแต่ อายว่าไปแบบถูกต้องดีที่สุด อย่ารีบ ถ้าคิดว่าไปแล้วจะโชคดีเจอผู้ชายรวยๆ แล้วเขารับเลี้ยงเราอย่างเป็นทางการอันนั้นโอเค แต่ถ้าไม่เจอกับแบบนั้นล่ะ นี่ก็เป็นเคสตัวอย่างที่แชร์ได้”
คิดว่าทางครอบครัวเราจะเข้าใจในสิ่งที่เรามาแถลงวันนี้มั้ย?
“ไม่น่าจะเข้าใจทั้งหมดในช่วงแรกแน่นอน เพราะเขาก็ยังเป็นสังคมไทยจ๋าที่คาดหวังการมีครอบครัวและมีลูกอยู่แล้ว แต่ตัวอายครอบครัวอาจจะมองว่าเป็นเด็กดื้อด้วยซ้ำ อาจจะต้องทำให้เขาเห็นว่าเราเอาอยู่ เราจัดการกับมันได้ ถ้าเราทำให้เขาสบายใจในข้อนี้ วันนึงเขาก็ต้องเข้าใจค่ะ เรื่องคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวในประเทศไทยเนี่ย อายเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความพร้อมที่จะเป็น แต่ถ้าเมื่อไหร่ได้เป็นแล้ว ไม่ว่ามันจะเกิดจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม อายขอชื่นชมล่วงหน้าเลยค่ะ ไม่ต้องแคร์หรอกสังคมน่ะ แคร์ตัวเอง และเด็กคนนี้เขาก็จะได้รับทั้งความอบอุ่น ความอ่อนโยนจากคุณ ความเอาใจใส่ และความสตรองของคุณที่คุณเลี้ยงเขา และอย่าไปคาดหวังกับเขามาก เพราะมันจะทำให้คุณทุกข์ และเขาก็ทุกข์
อยากให้เด็กคนนึงได้เติบโตอย่างอิสระที่สุด เพราะจากที่อายเห็นมาหลายๆ ชาติ หลายๆ ศาสนา อายไม่เห็นเลยว่าเด็กที่ถูกบังคับจะโตมาโดยสมบูรณ์แบบ ยิ่งเด็กที่คุณพ่อคุณแม่รวยมากๆ และโดนกดดันว่าจะต้องเป็นนั่นเป็นนี่ จะต้องเก่ง นั่นยิ่งเป็นปัญหา เพราะฉะนั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นทุนในการใช้ชีวิตแล้ว มันขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูสำคัญที่สุด สุดท้ายการที่ผู้หญิงเลี้ยงลูกคนเดียวก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร อายมองว่าสังคมไทยแคร์คนอื่นมากไป
และคนที่คิดว่าการที่จะมีลูกต้องใช้เงิน 20-30 ล้าน อันนี้คุณก็เอาความคิดของสังคมมาใส่คุณเอง จริงๆ แล้วการเลี้ยงลูกคนนึงมันไม่ได้ต้องใช้เงินอะไรขนาดนั้น มันใช้ความรู้สึกล้วนๆ ในการที่อยากจะเป็นแม่ที่ดีให้ใครสักคนนึงเท่านั้นเองค่ะ”