Series Full ReviewThrough The Darknessเหนือชั้น เข้มข้น อึดอัด ดิ่งลึกทางอารมณ์ เมื่อการสืบสวนถูกขุดลึกเข้าไปถึงสาเหตุ ยิ่งขุดยิ่งลึก ยิ่งลึกยิ่งถลำ จนถูกกลืนกิน?viu : 1 Season 12 Episodes (2 Parts)เมื่อครั้งที่ Beyond Evil และ Mouse ออกฉายในเวลาใกล้เคียงกันในปี 2021 ผู้เขียนยังคิดว่าซีรีส์แนวสืบสวนสอบสวนของทางเกาหลีเริ่มจะเล่าเรื่องที่แปลกไป นั่นคือเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น เข้าสู่มุมที่มืดขึ้นหรือดาร์คกว่าปกติ และเริ่มขายอารมณ์ที่กดลงต่ำให้ดำดิ่ง อึดอัดและจมดิ่งไปกับภาพและปมประเด็นของคดี แต่กระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีงานที่แรงทั้งเนื้อหา แรงทั้งการนำเสนอเชิงอารมณ์ตามออกมาให้ได้เห็นอีก ซึ่งอาจเป็นเป็นได้สองกรณีคืองานที่ออกมายังไปไม่ถึงจุดที่สองเรื่องนั้นเป็น หรือไม่ก็ผู้เขียนยังไม่เจอ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับโดยดุษฎีคือทั้งสองเรื่องเป็นความยอดเยี่ยมในการตั้งในมากดอารมณ์ผู้ชมให้ออกมาแนวนั้น จนกระทั่งมีงานที่เสนออารมณ์แบบเดียวกันออกมาแต่เลือกเล่าในอีกมุมมาให้พิสูจน์กันด้วยเหตุที่งานซีรีส์สืบสวนสอบสวนทางเกาหลีบางเรื่องได้สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบ และแน่นอนว่างานระดับนั้นมันต้องผ่านตาผู้ชมจำนวนมากที่ชมชอบงานแนวนี้ ทำให้งานที่จะตามออกมาถ้าไม่เข้าใกล้หรือไปให้ถึงจุดที่งานที่ติดอยู่ในใจผู้ชมก็เป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จ จึงได้เห็นบ่อยๆกับงานสืบสวนที่เป็นงานดีที่ดูสนุกแต่เต็มไปด้วยริ้วรอย จนเมื่อผู้ชมดูจบแล้วก็จบกันไปไม่มีอะไรให้พูดถึงปากต่อปาก และงานชั้นดีที่ผู้ชมต้องการก็เลยกลายเป็นนานๆจะมาให้สัมผัสสักที จนมาเจอเรื่องนี้ที่เลือกเสนอความเข้มข้นผ่านบทสนทนาและการเผชิญหน้ากับปีศาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากร ที่เล่าได้อย่างขึงขังและเลือกกดอารมณ์ผู้ชมเต็มที่ ด้วยการให้ผู้ชมมองเข้าไปในห้วงความคิดของฆาตกรโรคจิต จนทำให้ยิ่งสมองยิ่งเห็นความลึกที่ไร้ที่สิ้นสุด และมันทำให้ดูสดใหม่ในแนวที่คุ้นเคย Through The Darknessเรื่องย่อซงฮายอง (คิมนัมกิล) เจ้าหน้าที่สายสืบที่มีบุคลิกแปลกแยก หน้าตาเหมือนคนแบกโลกไว้ลำพังและไม่เป็นที่พิสมัยของเพื่อนร่วมงานจากความตงฉินของเขาเอง วันหนึ่งมีคดีฆาตกรรมที่ผู้ต้องสงสัยเคยเป็นเพื่อร่วมชั้นเรียนของซงฮายอง แม้หลักฐานจะชี้ชัดไปในทางนั้นแต่เหมือนมีอะไรติดในใจซงฮายอง และซงฮายองก็เลือกที่จะสืบคดีด้วยวิธีที่ต่างไปด้วยการสัมภาษณ์หรือพูดคุยกับนักโทษที่เป็นฆาตกรโรคจิต เพื่อที่จะเข้าใจถึงมูลเหตุของการก่ออาชญากรรม พื้นฐานทางครอบครัวที่จะส่งผลต่อพื้นฐานทางอารมณ์ ผ่านการสนับสนุนของหัวหน้ากุกยองซู (จินซุนคยู) เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ที่หมกมุ่นอยู่กับการให้การวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรมาใช้สืบคดีดังเช่นที่มีในอเมริกาที่เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ที่เรียกเจ้าหน้าที่แบบนี้ว่าโปรไฟเลอร์แต่ที่เกาหลีในยุค 90 ต่อมายัง 2000 การสืบคดีด้วยวิธีแบบนี้นับเป็นเรื่องแปลกจนไม่มีใครยอมรับและมองเป็นเรื่องตลก หากแต่การใช้กำลังบังคับให้ผู้ต้องสงสัยสารภาพเพื่อปิดคดีกลับเป็นเรื่องปกติ แต่ซงฮายองไม่ยอมแพ้แม้คดีของเพื่อนจะถูกปิดและตัดสินไปแล้ว แต่การมองเห็นความเจ็บปวดของผู้สูญเสียที่กลายเป็นเหยื่อไม่ต่างจากการถูกฆาตกรรม ทำให้ซงฮายองต้องสืบด้วยวิธีของเขาต่อไป สุดท้ายเขาก็สามารถทำให้คนร้ายตัวจริงถูกจับและล้างมลทินให้กับเพื่อน และมันพิสูจน์ว่าเบื้องหลังหน้าตาที่ชืดชาต่อโลก ซงฮายองยังเป็นที่คนเห็นความสำคัญของความรู้สึกคนอื่น แต่เมื่อวิธีของเขาพิสูจน์ความจริงได้ผลกระทบจึงไปตกที่ตำรวจที่ใช้กำลังบังคับให้รับสารภาพจนทำให้ซงฮายองกลายเป็นแกะดำหนักเข้าไปอีกและด้วยแรงกดดันจากสื่อรวมถึงประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงอนุมัติให้ก่อตั้งทีมวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรขึ้นมาโดยไม่หวังผล แต่สำหรับหัวหน้ากุกยองซูกับซงฮายองรวมถึงน้องใหม่จุงอูจู (รยออุน) กลับยังมุ่งมั่นทำงานไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ตัวเองแต่เพื่อจับคนร้ายที่เป็นอาชญากรรมรุนแรงมากขึ้น แต่ในยุคสมัยที่เทคโนโลยียังเป็นอนาล็อกการวิเคราะห์พฤติกรรมคือสิ่งที่เป็นนามธรรม และก็ทำให้หัวหน้าทีมสืบสวนยุนแทกู (คิมโซจิน) ที่เหมือนมีอดีตอะไรบางอย่างกับซงฮายองไม่พอใจที่ทีมวิเคราะห์พฤติกรรมเข้ามาวุ่นวาย และด้วยใจที่อคติกับการทำงานที่แปลกไปก็ทำให้การปะทะกันเริ่มมากขึ้น เพียงแต่ซงฮายองยังคงเป็นคนที่ชืดชากับทุกสิ่ง มีเพียงสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้คือการสืบคดีที่ต้องวิเคราะห์หามูลเหตุในความเป็นปีศาจของอาชญากรที่ยากจะรับมือ จนบางครั้งเหมือนกับเขาต้องจำลองความรู้สึกของฆาตกรมาไว้ในตัวเองแน่นอนว่าการไขคดีที่ยากก็คลี่คลายได้ด้วยการวิเคราะห์ของทีม แต่เมื่อการทำงานด้วยการต้องพูดคุยกับอาชญากรที่เป็นฆาตกรโรคจิตมากเข้า และวิธีการกับมูลเหตุในใจอาชญากรรายใหม่ๆที่เข้ามาเริ่มมีความลึกและดิ่ง ซงฮายองที่เป็นคนที่มีปมในใจจึงเหมือนกับนั่งคุยกับปีศาจที่เป็นเหมือนอีกด้านของกระจกที่เมื่อมองเข้าไปก็เห็นปีศาจอยู่ตรงข้าม แต่หากลองพินิจให้ดีก็เห็นเงาตัวเองซ้อนทับอยู่ ความรู้สึกของฆาตกรโรคจิตเริ่มเกาะกุมซงฮายองทีละน้อยจนกระทั่งเขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ หรือซงฮายองจะถูกความรู้สึกของฆาตกรโรคจิตกลืนกิน หรือเขาจะสามารถต้านทานมันได้ กระทั่งเขาจะสามารถอยู่กับมันและนำความรู้สึกนั้นมาใช้ในการไขคดี ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้และเดินเรื่องไปอย่างเร้าใจที่แม้จะไม่ยากต่อการคาดเดา แต่ความรู้สึกก็คือหนักอึ้งเลือกเร้าใจผ่านบทสนทนามากกว่าการสืบหาหลักฐาน ทำให้อึดอัด ดำดิ่ง ระทึก เชือดเฉือน เป็นความสดใหม่ในความเคยชินโดยปกติงานสืบสวนสอบสวนฆาตกรโรคจิตแบบนี้สิ่งที่ผู้ชมคุ้นชินคือการหักเหลี่ยม การเชือดเฉือนกันระหว่างเจ้าหน้าที่และคนร้ายที่ต้องกวนประสาท และทำให้มีความยากในการปิดคดีเพราะการต้องหาหลักฐานมามัดตัว และมันคือความเร้าใจผ่านกระบวนการสืบสวนที่ถ้าบทออกมาแข็งงานจะออกมาเข้มเอง ซึ่งมันก็คือครรลองของแนวนี้ที่ความจริงไม่ได้ใหม่อะไรเลยเป็นแนวที่เล่ามาซ้ำๆจนอาจจะช้ำไปแล้ว เมื่ออะไรเดิมๆเริ่มไม่ได้ผลต่อสมองและอารมณ์ในระยะหลัง รายละเอียดและลูกเล่นจึงสำคัญซึ่งนำมาซึ่งความพลิกผันระหว่างทางหรือการหักมุมกันจนตั้งรับไม่ทัน และรายละเอียดเหล่านั้นคือเส้นแบ่งที่เป็นความต่างระหว่างงานธรรมดากับงานชั้นดี เพราะการเลือกที่จะแหวกในแนวที่คุ้นเคยแบบนี้มันต้องละเอียดพอซึ่งสำหรับเรื่องนี้เลือกที่จะไม่เล่นความพลิกผันหักมุม ไม่เล่นเรื่องของกระบวนการที่จะส่งผลกับสมอง แต่เลือกเล่นกับอารมณ์ผ่านจินตนาการที่ดิ่งลึกในความรู้สึกของตัวละคร ด้วยการเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาเป็นหลักแล้วให้กระบวนการเป็นส่วนเสริม เพราะนี่คือเรื่องของทีมวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรเรื่องจงต้องเน้นบทสนทนาในเชิงวิเคราะห์ ซึ่งการเลือกเล่าแบบนี้มันสุ่มเสี่ยงกับความน่าเบื่อ แต่บทละครเรื่องนี้กลับทำให้ผู้ชมสนุกไปกับเกมการขุดสภาพจิตของฆาตกรโรคจิตเพื่อตามจับคนร้าย และการเชือดเฉือนชิงไหวชิงพริบกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับฆาตกรโรคจิตเพื่อเจาะใจให้สารภาพ แล้วให้กระบวนการหาหลักฐานมามัดตัวเป็นเรื่องรองที่เป็นพื้นฐานสนับสนุนทฤษฎี และบทละเมียดพอที่จะส่งผลต่ออารมณ์ผู้ชมให้รู้สึกลุ้นระทึก อึดอัด กดดัน และเร้าใจได้อย่างคุ้มกับความเสี่ยงหรือความกล้าเล่าผลมันก็สืบเนื่องมาจากการทำงานหนักของทีมเขียนบทที่มาจากนวนิยายกึ่งสารคดีของโปรไฟลเลอร์ตัวจริง ทำให้อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องเชิงเทคนิคหรือรายละเอียดปลีกย่อยไม่มีตกหล่น และที่น่าทึ่งคือไม่ได้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนจะระทมกบาลหรือเข้าใจยาก ซึ่งนอกจากจะเล่าให้เห็นจุดเริ่มต้นและการทำงานของทีมวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรแล้ว บทยังไม่ลืมที่จะลงลึกถึงฐานรากเมื่อจุดเริ่มต้นของฆาตกรโรคจิตล้วนมาจากสภาพสังคมที่ย่ำแย่ในยุคนั้น อันส่งผลต่อพื้นฐานการใช้ชีวิตในวัยเด็ก พื้นฐานทางครอบครัวในสังคมเกาหลีที่แม้จะเป็นประเทศประชาธิปไตยเต็มที่แต่ในบ้านก็ยังคงเป็นเผด็จการด้วยระบบอาวุโสและความคร่ำครึทางสังคมนิยมชาย หากแต่ก็ยังไม่ลืมเปรียบเทียบว่าแท้จริงแล้วจะโทษสังคมหรือโทษชีวิตก็ไม่ถูกนักเมื่อคนอื่นที่ต้องเจอสภาพเดียวกันแต่กลับมีทางเดินชีวิตที่ต่างกันจึงเป็นความแหลมคมที่ยังคงฝากไว้ให้คิดรวมไปถึงพัฒนาการของทัศนคติของเจ้าหน้าที่ในยุคนั้น ที่บางเรื่องที่ไม่ถูกแต่กลับกลายเป็นเรื่อธรรมดาทำให้คนบางคนที่พยายามทำให้ถูกกลายเป็นถูกรังเกียจ ลามไปจนกระทั่งการไม่มองถึงหัวใจหรือความเจ็บปวดของเหยื่อที่ต้องถูกกระทำ กระทั่งการต้องแบกรับแรงกดมหาศาลของญาติผู้สูญเสียซึ่งมันควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานเพื่อเยียวยาผู้สูญเสียมิใช่เพื่อปิดคดีให้พ้นตัวไป รวมไปถึงจรรยาบรรณของสื่อที่ยุคไหนก็ยังเป็นเช่นเดิมที่ทำตัวไม่ต่างจากแร้งที่พร้อมจิกกินของเน่าเหม็น หรือกระทั่งใช้ความตายของเหยื่อหยิบเอาความสูญเสียของญาติมาขยายเพียงเพื่อที่ข่าวจะขายได้ มันจึงเป็นความสะใจที่ซงฮายองตะบันหน้านักข่าวผู้น่ารังเกียจที่ไม่ว่ายุคไหนก็ยังมีไม่ต่างจากยุงแต่กระนั้นแม้เรื่องหลักที่ว่าด้วยเรื่องของการวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรจะออกมาอย่างละเมียดและดูสนุกจนหาริ้วรอยไม่เจอ แต่ก็ยังมีรอยด่างบ้างที่ผู้เขียนไม่มองถึงการจับคนร้ายที่มาจากความบังเอิญบ้างตายน้ำตื่นบ้างเพราะเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ แต่จุดที่ต้องเป็นรอยเลยคือการใส่ตัวละครที่น่าจะจำเป็นให้กลายเป็นส่วนเกิน อย่างเจ้าหน้าที่จุงอูจุและนักข่าวชเวยุนจี (กงซองฮา) ที่ความจริงสามารถเล่าให้เป็นส่วนเสริมที่มีพลังได้ แต่เหมือนกลับใส่เข้าเพื่อเป็นของประกอบฉากแทบไม่มีส่วนอะไรกับเรื่องเลย ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนตัวละครด้านของนักข่าวชเวยุนจีตัดทิ้งไปก็ไม่เสียหาย แต่เมื่อใส่มาแล้วไม่ได้มีมิติใดๆกับเรื่องเลยจึงกลายเป็นรอยด่างของเรื่องที่น่าจะสมบูรณ์แบบไปได้อย่างน่าเสียดายการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ "คิมนัมกิล" ที่เป็นแกนกลางความรู้สึก และส่วนประกอบที่เยี่ยมพอกันทำให้พลังของเรื่องมาจากมิติทางการแสดงสารภาพตามตรงคือผู้เขียนเลือกดูเรื่องนี้เพราะคิมนัมกิล ในยุคที่ซีรีส์เกาหลีหาดูง่ายจุดขายบางอย่างจึงสำคัญ เพราะผู้เขียนดูผลงานของคิมนัมกิลมาแล้วสามเรื่อง หนึ่งคือหนังเรื่อง Pandora (2016) ที่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าคนไหนคือคิมนัมกิล แต่ที่ผู้เขียนจำได้ติดตาเลยคือบทบาทหลวงเลือดระอุ The Fiery Priest (2019) ต่อมาจึงตามมาดูเขาใน Live Up To Your Name (2017) แต่ทั้งสองเรื่องนั้นแม้จะมีมิติตัวละครที่แพรวพราวหลากหลายและเปี่ยมสีสัน แต่ก็ยังเป็นงานดทนเบาๆดูสบายๆที่คิมนัมกิลก็แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานการแสดงที่จัดจ้าน การรับผิดชอบบทที่มีมิติที่ทั้งเบาทั้งหนักกับงานทั้งสองเรื่องนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว จึงเป็นที่มาของการตามดูเรื่องนี้ที่คงต้องบอกว่าเท่าที่ดูมาเรื่องนี้คิมนัมกิลแสดงดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา (ส่วนท่านผู้อ่านจะแนะนำเรื่องไหนก็พร้อมรับคำแนะนำ)เพราะนี่คือคนที่เก็บความรู้สึกไว้ข้างในที่เป็นความอ่อนโยนแต่ถูกบาดแผลกดทับไว้ให้เป็นคนชืดชาต่อทุกสิ่ง เป็นเหมือนคนไร้มนุษยสัมพันธ์เดาทางยากอ่านใจลำบาก แต่กลับกันกลับเป็นคนที่มองคนอื่นทะลุปรุโปร่ง ความอ่อนโยนนั้นส่งผลต่อความรู้สึกและเมื่อต้องใช้ความรู้สึกมาวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากร จึงไม่ต่างจากจ้องมองหุบเหวแล้วถึงที่สุดหุบเหวที่ดำมืดก็จ้องมองกลับมาและพร้อมจะกลืนกินความรู้สึกที่อ่อนไหวอ่อนโยนที่ข้างในนั้นจนจะระเบิด เพราะความที่ตัวละครนี้ต้องเก็บไว้ข้างในเสมอมาทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ทำให้เห็นความนิ่ง ไม่พูดพร่ำเพรื่อ ฉลาด และเจ็บปวด ซึ่งคิมนัมกิลคือคนที่ถ่ายทอดบทที่ลึกล้ำนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ จนมองไม่เห็นเลยว่าใครจะมาเล่นบทนี้แทนเขาได้ และนี่คือบทที่ต้องแสดงอารมณ์ที่ยากเพราะมันอยู่ภายในที่ถูกเคลือบด้วยความนิ่งและเย็นชา คงต้องบอกว่าดีกว่านี้ไม่มีแล้วถ้าบทซงฮายองของคิมนัมกิลคือศูนย์กลาง ปัจจัยที่มากระทบก็คือมิติที่หนักแน่นผ่านนักแสดงสมทบที่จัดจ้านทุกคน ทั้งจินซุนคยูในบทหัวหน้ากุกยองซู หรือคิมโซจินนักแสดงที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าเพราะเครดิตทางจอแก้วไม่ค่อยมีหนักไปทางจอเงินในบทสายสืบยุนแทกู กับบทสมทบที่แม้จะเป็นพลังงานเสริมแต่ก็มีมิติส่วนตัวและยังเล่าได้ทำให้เรื่องเข้มข้นเร้าใจและน่าติดตาม แต่ที่ลืมไม่ได้เลยคือบทบาทฆาตกรโรคจิตมากหน้าที่ว่ากันตรงคือใช้นักแสดงแถวสามแถวสี่ แต่กระนั้นแม้จะไม่ใช่นักแสดงมีชื่อเสียงเบอร์ใหญ่อะไรแต่คุณภาพคับจอทุกคน การแสดงของเหล่านักแสดงสมทบในฝั่งผู้ร้ายก็คือกระจกสะท้อนของพระเอก และคราวนี้มีหลายคนแต่ทุกคนทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกเจตนารมณ์ของบทที่จะทำให้พวกเขามีผลกับอารมณ์ผู้ชมเชิงไหน และนั่นก็ทำให้การแสดงคือพลังที่แรงสูงจนพาเรื่องไปได้อย่างที่บทต้องการประกอบกับงานด้านภาพที่เสนอมุมมืดของเกาหลียุค 90 ต่อมาถึง 2000 ได้อย่างเห็นภาพ แม้จะมีบ้างที่เห็นของใช้บางชนิด ภาพมุมสูงที่มองเห็นเทคโนโลยีที่ยังไม่น่าจะมีในช่วงนั้นแต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเรื่องก็มองผ่านไป เพราะนี่คือเกาหลีในสมัยที่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินยังง่อนแง่น งานด้านภาพเลยเสนอออกมาด้วยความมืดทึม แถมด้วยคุณภาพของภาพจากแอป viu ที่ดูไม่ค่อยคมกริบเท่าไหร่เลยยิ่งเหมือนกับส่งให้ความขุ่นมัวในสมองและอารมณ์ผู้ชมถูกขับเน้น เหมือนกับการนั่งจ้องเข้าไปในความมืดที่ไม่รู้ว่าในความมืดนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ จึงไม่ทราบว่าเป็นความดีงามหรือไม่ที่งานด้านภาพที่ไม่คมหรือมัวนิดหน่อยของแอปกลับกลายเป็นส่งเสริมอารมณ์ได้ จนกระทั่งผู้เขียนคิดไปเองว่าแอป viu น่าจะเหมาะกับงานแนวนี้เพราะถ่ายทอดความมืดหม่นและชื้นแฉะจนอึดอัดตามไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่คืองานที่ดูสนุกและน่าติดตามอย่างที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะถ้านับกันที่นี่คืองานแนวสืบสวนสอบสวนก็จัดว่าเข้มได้ใจ เพียงแต่ความเร้าใจมันมาจากทิศทางที่ต่างไป ไม่ได้พลิกผันหักมุมชี้นำยากต่อการขาดเดา แต่ความเร้าใจมันอยู่ที่อารมณ์ผู้ชมล้วนๆที่ถูกกำหนดโดยความรู้สึกของตัวละคร เพราะนี่คืองานที่เล่าเรื่องของการเจาะเข้าไปในก้นบึ้งของด้านมืดที่มืดมิดไร้แสงสว่าง และเล่าด้วยบทสนทนาที่แต่ละฉากจัดกันมายาวๆ โดยที่ไม่ได้เน้นไปในทางการค้นหาความจริงอย่างที่เคยเห็นกัน เพราะเรื่องนี้บอกความจริงผู้ชมตั้งแต่แรกว่าใครเป็นฆาตกร ไม่ต้องซับซ้อน ไม้ต้องซ่อนเร้น แต่การที่จะจับให้มั่นคั้นให้ตายจนได้คำสารภาพนั้นมันมีชั้นเชิงที่ต้องเรียกว่าเหนือเมฆเพราะทุกครั้งที่ผู้ชมได้เห็นโปรไฟเลอร์สนทนากับฆาตกรโรคจิตด้วยความนิ่งและชิงเหลี่ยมกันก็คือการต่อสู้กันที่มันส์สุดๆ เพียงแต่ไม่ได้ออกแอ็คชั่นปะทะคารมกันแต่ชิงไหวชิงพริบจับลูกล่อลูกชนให้ได้ ส่วนการหาหลักฐานหรือตามหาตัวฆาตกรก็เอาไว้ข้าหลัง แม้แต่การตามล่าฆาตกรยังต้องใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมมาประกอบ ซึ่งงานแบบนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับงานจากทางตะวันตก แต่กับทางตะวันออกก็ไม่ค่อยเห็น และเรื่องนี้นับว่ากล้าทำและแน่วแน่ชัดเจน อดทนที่จะยืนหยัดที่จะเล่าแบบนี้จนสุดทาง ทั้งที่มีช่องมากมายให้หลุดได้โดยที่อาจจะกลายเป็นงานสืบสวนที่เห็นได้ทั่งไป แต่สุดท้ายก็ยึดมั่นกับสิ่งที่เป็นไปจนสุด แล้วมันก็ส่งผลให้เรื่องนี้ดูมีความใหม่ในความเก่าที่เคยชินแต่สิ่งที่เป็นคือความที่เล่นเรื่องอารมณ์หนักๆอาจจะทำให้อึดอัดเกินกว่าจะบันเทิง และเรื่องก็ไม่มีช่วงหย่อนผ่อนอารมณ์เลย เสนอเป็นความตึงตั้งแต่ต้นจนจบคดีต่อคดี บางคดีก็ทับซ้อนกัน ทำให้อารมณ์ที่ถูกกดลงดิ่งของผู้ชมนั้นเขม็งตึง ตึงยาวๆแบบไม่มีหย่อนเลยกระทั่งรอยยิ้มของตัวละครยังน้อยมาก ประกอบกับการแสดงของคิมนัมกิลที่ผู้ชมเทใจให้ทั้งหมดก็ยิ่งทำให้หัวใจผู้ชมผูกติดไปกับตัวละคร และค่อยๆถูกความมืดกลืนกินและสัมผัสความรู้สึกของฆาตกรโรคจิตไปพร้อมๆกันอย่างไม่มีทางเลี่ยง จึงนับเป็นงานชั้นดีที่มีความสนุก เข้มข้น ตื่นเต้นเร้าใจตลอดสิบสองตอน เรียกได้ว่าดูกันยาวๆไปก็ยังได้ เพียงแต่ยังมีจุดเล็กๆให้เป็นรอยด่างทำให้ยังไม่สมบูรณ์แบบอย่างน่าเสียดาย แต่ไม่ว่ายังไงนี่ก็คืองานที่ผู้ชมที่ชอบแนวสืบสวนต้องไม่พลาด#ดูไปบ่นไปviuขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 / ภาพที่ 11 จาก Facebook SBSภาพที่ 12 จาก Facebook Viu Thailand จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !