Short Comment Stranger Things 4: สเตรนเจอร์ ธิงส์ ซีซัน 4 ชุด 1 (2022) ยังมาครบทุกอย่างที่เคยมี ระทึก หลอน เร้าใจ ที่เป็นได้ทั้งการสานต่อและการย้อนสู่จุดเริ่มต้นบทความนี้ไม่มีสปอยล์ถ้าได้ลองติดตามซีรีส์ NETFLIX Oridinal มานานพอคงพอทราบว่าสามารถจิ้มดูได้เลยเพราะจะการันตีคุณภาพระดับน่าพอใจ และเมื่องานออกมามีคุณภาพในระดับหนึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือความบันเทิงที่ตอบโจทย์คนดูได้ และซีรีส์เรื่องหนึ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นเป็นจุดขายหรือเป็นตัวเรียกแขกให้คนดูหันมามองค่าย NETFLIX เพราะเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาใช้บริการ NETFLIX เมื่อประมาณหกปีก่อนเพราะความดังอย่างสุดปังของซีรีส์เรื่องนี้ เพราะเมื่อใครที่ได้ดูจะติดงอมแงมกับความสนุกที่มีให้ทุกอย่างทั้งลุ้นระทึก หลอน หรือกระทั่งอารมณ์ขันที่ใส่มาแบบลงตัวกับเสน่ห์ของนักแสดงเด็กๆ (เมื่อตอนนั้น) จนทำให้ตัวละครเป็นที่รักผ่านความคิดในแบบเด็กๆที่เอาเรื่องเหนือธรรมชาติมาปนกับเกมที่เล่น ประกอบกับการเล่าผ่านยุคสมัยที่ภาพของ Pop Culture ที่ได้ผ่านตามาก็คือเสน่ห์ในอารมณ์ถวิลหาจนทำให้มีมาถึงสามซีซัน Stranger Thingsเหตุการณ์ต่อมาจากซีซันสามที่เรื่องไปสิ้นสุดที่ Eleven หรือ Ele (Millie Bobby Brown) จัดการปิดประตูมิติเรียบร้อยพร้อมสูญเสียพลังวิเศษ Jim Hopper (David Harbour) ต้องไปพลีชีพทิพย์ที่รัสเซีย Ele ที่ต้องอยู่ในการดูแลของ Joyce Byers (Winona Ryder) ต้องย้ายออกจากเมือง Hawkins พร้อมกับ Will Byers (Noah Schnapp) แต่เธอยังติดต่อกับ Mike Wheeler (Finn Wolfhard) ที่ตอนนี้ทั้งสองเป็นแฟนกัน แต่เมื่อมีเหตุการณ์สยดสยองเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆแห่งนี้อีกครั้งสมาชิกที่เหลืออยู่ในเมืองนำโดย Dustin Henderson (Gaten Matarazzo) จึงต้องพยายามค้นหาสาเหตุและแก้ไข ในขณะที่ Mike และ Will กำลังพยายามไปช่วย Ele ที่กลับสู่ห้องทดลองอีกครั้งเพื่อฟื้นพลัง อีกด้าน Joyce ก็กำลังไปช่วย Hopper ที่รัสเซีย และเรื่องราวอดีตที่ถูกเร้นไว้ของ Ele ก็ได้เผยออกมาคู่ไปกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่ยากจะรับมือเพราะคราวนี้ไม่มี Eleถ้าว่ากันที่ไอเดียคงไม่มีอะไรใหม่เพราะนี่คือการเล่าเป็นครั้งที่สี่ทุกอย่างที่พึงมีก็มาครบถ้วน ทั้งบรรยากาศที่หม่นๆทึมๆของเมือง Hawkins อารมณ์ทั้งระทึกทั้งหลอน ความลึกลับน่าค้นหาที่น่าติดตาม ปมปริศนาที่น่าสงสัย การแก้โจทย์ด้วยสติปัญญาของชาวคณะที่คราวนี้เพิ่มจำนวนขึ้น บททำงานได้ดีในการเริ่มต้นอารมณ์ในแบบสบายๆในช่วงแรกของทุกตอนแล้วให้ไปสูงสุดเมื่อตอนท้ายในแต่ละตอน แต่ในภาพรรวมก็มีการค่อยๆปล่อยกุญแจไขปริศนามาทีละดอกผ่านทีละเหตุการณ์และผ่านการคิดแก้ไขทำให้ค่อยๆทวีพลังขึ้นเรื่อยๆจนสูงสุดในตอนท้าย ซึ่งมันลงตัวดีในเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากซีซันที่แล้วแต่อะไรที่ยังไม่กระจ่างก็คงว่าไม่ได้เพราะยังไม่จบ และที่ต้องชมคือการเขียนบทที่อาจใช้ลูกเล่นเดิมๆแต่ได้ผลเพราะคนดูไม่ติดใจอะไรในการรอดชีวิตของ Hopper ส่วนของเหตุการณ์ปัจจุบันจึงดูลงตัวดี แต่เหมือนจะขาดอารมณ์ขันคันๆที่คราวนี้เหมือนยิงไม่โดนเมื่อเรื่องเล่าในส่วนของปัจจุบันคือการสานต่อสิ่งที่มีมาประกอบในซีซันนี้คืออดีตของ Eleven ที่จะว่าไปก็คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เพราะหากได้ตามดูมาทั้งสามซีซันก็จะรู้เท่าที่รู้แต่ลึกๆแล้วไม่แน่ใจว่าทีมงานได้วางโครงเรื่องไว้แบบนี้ก่อนหน้าหรือว่ามาคิดได้ว่าจะเล่าแบบนี้เอาตอนซีซันนี้ แต่ที่เป็นคือการบอกเล่าอดีตที่คาใจคนดู (หรือเปล่า) กับที่มาของ Eleven ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในการพยายามดึงอารมณ์ร่วมของคนดูเพราะบทออกมาให้เธอเป็นผู้ถูกกระทำเพื่อกระตุ้นพลังที่ซ่อนเร้น การเล่าเรื่องส่วนนี้จึงมีอารมณ์อีกทางคือเห็นใจปนสงสัยใคร่รู้ความเป็นมาของ Eleven ที่เห็นภาพความทรงจำที่เป็นแค่ชิ้นส่วนตลอดมาในสามซีซัน และคราวนี้การย้อนกลับไปค้นหาและปะติดปะต่อความทรงจำที่กลายเป็นแผลใจของเธอก็จัดว่าทำได้อย่างน่าทึ่ง เพราะการเล่าไม่เรียงไทม์ไลน์ตัดสลับไปมาแต่สุดท้ายทั้งอดีตและปัจจุบันมาพบกันได้อย่างที่คงไม่มีใครคิดว่าจะเป็นแบบนี้ชุดแรกของซีซันนี้ที่ปล่อยออกมาสามารถเป็นได้ทั้งงานสานต่อและย้อนไปหาจุดเริ่มต้นซึ่งมันคือความดีงาม หรืออาจเรียกได้ว่ามีทั้งงานภาคต่อและภาคก่อนที่เล่าสลับกันได้ลงตัวดีแม้จะตัดสลับไปมาระหว่างเรื่องสี่ส่วนหลักคือส่วนของ Eleven ที่เป็นเรื่องของอดีต และอีกสามส่วนที่เป็นปัจจุบันคือเรื่องของ Mike กับ Will ที่พยายามไปช่วย Eleven เรืองของ Joyce ที่พยายามไปช่วย Hopper และเรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง Hawkins นำโดย Dustin ที่การตัดสลับกันไปมาไม่ได้ทำให้งง กลับกันคือสร้างความเร้าใจและชวนติดตามด้วยเทคนิคพื้นๆคือเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วตัดภาพไปอีกที่ กับส่วนรองลงมาคือการใส่เรื่องของการตามล่าคนที่คิดว่าเป็นฆาตกรของกัปตันทีมบาสเก็ตบอล กระนั้นด้วยความที่เล่าถึงสี่มุมหลักหนึ่งมุมเล็กหลายตัวละครกลับทำให้เหมือนลืมบางคนบางเรื่องไปเป็นระยะ ยิ่งขมวดปมขึ้นตัวละครบางคนก็หายไปสนิทแต่เท่าที่เป็นก็นับว่าจัดการอารมณ์ความรู้สึกของคนดูได้ เพราะคนดูยังรู้สึกเอาใจช่วยและเหมือนมีส่วนร่วมในเหตุการณ์เช่นเดิม แต่นั่นอาจเพราะความผูกพันระหว่างคนดูกับตัวละคร และสิ่งที่ยังทำให้ซีซันนี้ยังคงเป็น Stranger Things ทั้งฉากหน้าและ DNA ก็คืองานเพลงและภาพของ Pop Culture ที่ยังคงมีให้เห็นและเรียกอารมณ์ถวิลหาอดีตยุค 80 ได้ดี ทั้งการอ้างอิงและงานด้านภาพฉากที่เมื่อเห็นหรือเพลงที่ได้ยินก็คิดถึงอดีตได้ทันที แต่ที่น่าเสียดายคืออารมณ์ขันที่เคยทำให้คนดูยิ้มได้หัวเราะเสมอมากลับไม่ได้ผลอาจเพราะตัวละครอยู่ในวัยรุ่นมัธยมปลาย ทำให้เสน่ห์ความน่ารักในแบบซีซันแรกหรือสองหายไปแต่เสน่ห์แบบใหม่ยังมาไม่ทัน ซ้ำร้ายไม่แน่ใจว่าบทตั้งใจหรือไม่ที่จะให้ตัวละครกัปตันทีมบาสเก็ตบอลชอบพูดเรียกขวัญกำลังใจ ที่ไม่แน่ใจคือบทตั้งใจจะปลุกเร้าหรือเอาฮากันแน่เพราะดูทีไรก็อดขำไม่ได้ทุกทีแต่... ถ้ามองที่ถึงจุดนี้ที่ยังไม่จบเพราะยังมีชุดสองที่กั๊กไว้ (เพื่อ) จะตามมาในไม่ช้าเรื่องในส่วนนี้ก็จัดว่ามีบทสรุปที่ลงตัวดี เพราะอะไรที่ปิดไว้จนคนดูไม่คิดว่าจะออกมารูปนั้นก็ทำได้ดีคือเชื่อว่าไม่มีใครคิดได้แบบนี้แน่นอน แต่ก็ไม่ได้หลุดทางเพราะที่แยกกันเล่าก็เชื่อมกันติดอย่างเนียนๆ ถ้าจะมีอะไรให้ติก็ได้เอ่ยมาแล้วคือการลืมตัวละครเมื่อเร่งเครื่องเต็มที่และบางอย่างที่ขาดหายไปทางอารมณ์ แต่โดยรวมแล้วยังเป็นงานที่คุ้มค่ากับการรอคอยที่อยากให้มาก็มา ส่วนเหล่านักแสดงที่ต้องเข้าใจว่าพวกเขาโตขึ้นแต่การแสดงก็ยังมองเห็นว่ามีพัฒนาการตามวัย แม้ว่าจะขาดเสน่ห์ด้านความนารักน่าชังไปแต่ชดเชยด้วยภาพความรุนแรงที่ไม่รู้ว่าดูไปบ่นไปคิดไปเองหรือไม่ที่เหมือนเล่นแรงขึ้น ดังนั้นด้วยความสนุกเร้าใจอย่างที่ต้องการและตอบสนองความคาดหวังได้จึงทำให้ต้องรอคอยบทสรุปสุดท้ายอย่างใจจดจ่อ และเท่าที่เป็นถ้าไม่นับว่าต้องรอต่อไปซีซันนี้ก็คือคุ้มค่าสมการรอคอยสนุกตื่นเต้นเร้าใจคุ้มค่ากับการรอคอยมาสามปีเพื่อดูสองวันดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 9 จาก Facebook Netflixภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram netflixคอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน