Series Full ReviewGo Ahead : ถักทอรักที่ปลายฝัน ชีวิตที่เห็นเป็นภาพสวยงาม อาจยังมีมุมมืด เพียงแต่ มนุษย์เลือกจะยืนอยู่ในที่สว่างหรือไม่ เพื่อก้าวเดินต่อไปในความงดงามแห่งชีวิตNETFLIX , viu , WeTV : 1 Season 40 Episodes (2020) เพราะหนังหรือละคร คือภาพสะท้อนของชีวิตมนุษย์ บางครั้งจึงเห็นภาพของมนุษย์ ถูกสะท้อนออกมาในหลากหลายแง่มุม แน่นอนว่า มีทั้งมุมมืดและมุมสว่าง อันอยู่ที่เจตนาของผู้สร้างและรังสรรค์งานว่า มีเจตนาสื่อแง่มุมใดในชีวิตมนุษย์ ต้องการสื่อสารกับผู้ชมในแง่มุมใดของสังคม เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้ผู้ชม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมบนโลกใบนี้ ให้ได้หันกลับมามองชีวิตที่ได้ผ่านมาว่า มีอะไรเป็นความโหดร้าย หรือเป็นความสวยงามแห่งชีวิตบ้าง อาจบางทีการเสนอให้เห็นด้านมืดบ้าง ก็คือการกระตุกความคิดให้มีการเปลี่ยนแปลง และบางครั้งก็มิอาจปฏิเสธว่า เรื่องราวทางด้านมืดของสังคมนั้น เมื่อสร้างเป็นชิ้นงานออกมา อัตราความเร่งเร้าความเข้มข้น ย่อมมีสูงกว่า แต่ทว่า ชีวิตมนุษย์บางช่วง ก็มีเรื่องราวให้ต้องพบเจอที่หนักหน่วงมากเกินไปเพราะในบางเวลา มนุษย์ต้องดิ้นรนกับการต่อสู้เพื่อมีที่ยืนในสังคม ที่ไม่ได้มีเพื่อคนทุกคนบนโลกนี้ ในสมองและหัวใจก็อาจเหนื่อยล้า พลังงานทางใจถดถอย อันนำมาซึ่งความสูญสิ้นพลังงานทางบวกในการมองโลก จึงไม่ต่างจากการที่โลก ได้ยัดเยียดมุมอับให้กับมนุษย์ เมื่อหัวใจไม่สามารถพบเจอแง่มุมที่ดี สมองไม่สามารถสัมผัสได้ในเรื่องเชิงบวก ที่ตามมาก็คือ อาการวิตกกังวล หรือซึมเศร้า เพราะการมองโลกในแง่มุมที่ไม่เห็นความอภิรมย์ อันส่งผลกระทบให้กับภาวะจิตใจ จนลุกลามไปถึงเป็นอาการป่วยไข้ จึงกลายเป็นหน้าที่ของหนังหรือละคร ที่ต้องทำหน้าที่เยียวยาหัวใจ มอบมุมมองอีกด้านหนึ่งของชีวิตให้มนุษย์ หากแต่บางที สมองและหัวใจมนุษย์ที่หยาบกร้านจากการใช้ชีวิตที่ยากลำบาก ก็แข็งแกร่งเกินไปที่จะเจาะทะลุเข้าไปสู่ใจกลาง หนังหรือละครที่นำเสนอได้ไม่รอบด้านทุกแง่มุม หรือไม่ถึงพร้อมบางประการ ไม่สามารถบอกเล่าให้เห็นว่า สิ่งที่สื่ออกมานั้น มันคือมุมมองที่ชีวิตที่เป็นเรื่องจริง ที่สามารถบอกกับผู้ชมว่า แม้ในความยากลำเค็ญ ยังมีแง่มุมสวยงาม เพียงแค่ว่า มนุษย์จะสามารถประคองหัวใจให้อยู่ในที่สว่าง กล้าเดินออกมาจากที่มืด เพื่อเห็นแสงสว่างและความงดงามของแสงอาทิตย์ยามใกล้สนธยา หรือไม่และแน่นอนว่า บางทีการเสนอในมุมสวยงามเพียงด้านเดียว ก็อาจถูกตราหน้าว่าเป็นงานโลกสวยเกินไป เป็นนิยายเกินไป ไม่สามารถสะท้อนชีวิตที่แท้จริงออกมาได้ จึงต้องมีละครที่เสนอแง่มุมทั้งสองด้าน ที่ว่ากันที่เหตุอันเป็นที่มาของผล เมื่อเหตุอาจเป็นเรื่องในมุมมืด แต่ผลกลับเป็นความสวยงาม ก็ใช่ที่ฟังดูอาจเหมือนย้อนแย้ง เพียงแต่ ปัจจัยที่เป็นตัวแปรคือสิ่งตัดสินว่า แม้เหตุของเรื่องราวทั้งหมด อาจเป็นเรื่องที่ยากจะหลุดพ้น กระทั่งยากที่จะเดินต่อไปเพราะสิ่งที่เกาะกุมหัวใจนั้นแน่นหนา หากแต่ ถ้ามีความรักจากใครสักคนที่จริงใจ และคนคนนั้นแสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างที่ยากเย็นในที่มืด สามารถก้าวผ่านมันมาได้ เพราะในหัวใจจับจ้องแต่แสงสว่างเท่านั้น เฉกเช่นเรื่องราวในซีรีส์จีนเรื่องนี้ Go Ahead ถักทอรักที่ปลายฝันเรื่องย่อสามคน สามหัวใจ หนึ่งความผูกพัน หลี่เจียนเจียน (ถานซงอวิ้น) ที่มีครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ดูแปลก เพราะในครอบครัวนั้นมี หลิงเซียว (ซ่งเหว่ยหลง) เด็กเพื่อนบ้านที่มีปัญหากับครอบครัว พ่อเป็นตำรวจที่ทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลา แม่ทิ้งไปเพราะมีปมในใจยากจะก้าวผ่าน และ เฮ่อจื่อซิว (จางซินเฉิง) เด็กน้อยที่แม่เอามาทิ้งไว้ และทั้งสามก็ถูกเลี้ยงดูมาโดย หลี่ไห่เฉา (ถู่ซงเหยียน) ชายผู้แสนดีที่เปิดร้านบะหมี่ และเป็นพ่อของ หลี่เจียนเจียนด้วยความเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม หลี่ไห่เฉา ก็เลี้ยงดูเด็กทั้งสามร่วมกับ หลิงเหอผิง (จางซีหลิน) ด้วยความรัก และทัศนคติแง่บวกแฝงไว้กับปรัชญาของคนจีน และเด็กทั้งสามก็ใช้ชีวิตร่วมกันมาอย่างดี โดยที่เรียกผู้ใหญ่ทั้งสองว่าพ่อได้อย่างสนิทใจ แต่กระนั้น บุคลิกของคนทั้งสามก็ต่างกันไป เมื่อต่างฝ่ายต่างมีปมในใจเรื่องแม่ แต่ หลี่เจียนเจียน กลับก้าวผ่านมันมาได้ อาจเป็นเพราะทัศนคติในการมองโลกที่ หลี่ไห่เฉา ได้ฝังไว้ในเบื้องลึก ส่วน หลิงเซียว กับ เฮ่อจื่อซิว ยังคงยึดติดกับแม่ และไม่สามารถก้าวออกมาจากมุมมืดนั้นได้แต่ทว่า ความรักที่แท้จริงของ หลี่ไห่เฉา ก็สามารถประคองเด็กชายทั้งสองใ ห้เติบโตมาอย่างดี มีผลการเรียนที่ดี และการใช้ชีวิตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ภาพของคนทั้งสามคือพี่น้องที่สนิทกันมาก จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาของการเติบโต ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เริ่มเข้ามา จนกระทั่ง หลิงเซียว และ เฮ่อจื่อซิว ตัดสินใจออกจากบ้านมา เพราะเหตุผลที่ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง โดยมีคำมั่นสัญญาที่จะกลับมาดูแลซึ่งกันและกันทั้งครอบครัว กระนั้น หากทุกอย่างบนโลกนี้เป็นได้อย่างใจคิด ชีวิตก็อาจราบรื่นเกินไป เมื่อเด็กหนุ่มที่เปรียบดั่งลูกชายทั้งสองเรียนจบ และยังไม่กลับมา ความห่างเหินก็มาเกาะกุม โดยเฉพาะ หลี่เจียนเจียน ที่เป็นศูนย์กลางของทั้งหมดแต่ เมื่อรากยังอยู่ ก็ไม่มีทางที่จะหลีกเร้นไปไหนได้ หลิงเซียว และ เฮ่อจื่อซิว จึงได้หวนกลับมา แต่คราวนี้ สายตาที่มอง หลี่เจียนเจียน ก็แปรเปลี่ยนไป เรื่องราวจึงกลายมาเป็นรักสามเส้า แต่กระนั้น เหตุแห่งความรักของชายทั้งสองก็ยังต่างกัน หลี่เจียนเจียน จึงต้องตัดสินใจด้วยพื้นฐานหัวใจและเหตุผล จนเมื่อตัดสินใจเลือกแล้ว ก็ยังต้องผจญกับความคร่ำครึทางประเพณี จารีตนิยมของคนจีนที่ระบบอาวุโสแข็งแกร่งจนยากจะต้านทาน แต่ เรื่องของหัวใจใช่ว่าใครก็สามารถบังคับได้ แม้หากมีคนเพียงหนึ่งคนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านความคร่ำครึ ก็คงจะมีคนที่รัก หลี่เจียนเจียน ทั้งหมดหัวใจ จนทุกอย่างก้าวผ่านมาได้ ในมุมมองของอีกด้านของโลก มิใช่เรื่องของฟ้าหลังฝัน เพราะเรื่องนี้ ไม่ได้มอบอารมณ์นั้นไปเสียทั้งหมด แต่มอบมุมมองของอีกด้านของเรื่องร้ายที่เข้ามา ให้เห็นว่า ทุกอย่างมันจะผ่านไป ถ้าหัวใจยังตั้งมั่นในความดี และมีมุมมองที่สวยงามในการมองชีวิตละเมียดละมุนละไมดีต่อตาดีต่อใจแฝงอะไรมากมายให้พลันได้คิดหากการเดินทางที่ยาวนานของงานซีรีส์เรื่องนี้ ผ่านงานด้านบทที่ค่อนข้างละเอียด ซึ่งแม้ว่าจะดูเป็นความละเอียดที่ดูเยอะเกินไป เพราะยังมองเห็นเรื่องที่เห็นว่าไม่จำเป็นอีกมากมาย ตัวละครบางตัวตัดออกไปก็ไม่เสียหาย การเลือกเล่าเรื่องราว ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับตัวละครหลักชนิดที่ขาดไม่ได้ แต่กระนั้น ก็ยังมีดีที่ไม่ได้ทำให้เรื่องเสีย ซ้ำยังดูละเมียดละไม นั่นคือ ยังประคองประเด็นที่แตกกระจายออกไปมากมายให้อยู่ในลู่ทาง สิ่งที่ได้คือแม้จะมีจำนวนตอนที่มาก แต่ สิ่งที่ปฏิเสธไม่ลงเลยคือ ตลอดทางที่เดินผ่านไปด้วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่บทใส่เข้ามา ทั้งเรื่องที่เป็นเรื่องหลัก และเรื่องที่ไม่จำเป็นอย่างที่ว่า ก็มีแง่มุมทางสังคม ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณีของคนจีน ที่ยังคงไว้ซึ่งปรัชญาทางความคิด ผ่านการบอกกับผู้ชมให้เห็นทุกเรื่องราวเป็นสองมุม คือมุมที่มีความมืดหม่น และมุมที่สดใสสวยงามนั่นคือ ทุกเรื่องราวที่เป็นดราม่าที่ถูกวางตัวไว้ ล้วนมีความหม่นอยู่ข้างใน แต่ทุกการกระทำ ทุกคมความคิดที่ออกมา จะมอบทางออกในมุมสว่างเสมอ แต่ทว่า แม้จะมีความคมคายแฝงอยู่ทั่วไป ก็ไม่ได้ดูจงใจจนเห็นชัด เพราะทุกความหมายแฝงที่คมคายนั้น ถูกหลอมรวมกับชีวิตที่ดูธรรมดาและเรียบง่าย ผ่านบทสนทนาที่ดูธรรมดาแต่มีความหมาย ซึ่ง มันเป็นการหลอมรวมประเด็นที่มากมาย ทั้งเรื่องของครอบครัว ที่ว่ากันที่ความแท้และไม่แท้ เรื่องของความรัก ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความดีงาม ทั้งยังเหมือนจิกกัดความคร่ำครึของธรรมเนียมจีนกลายๆ เมื่อเลือกเล่าเรื่องของคนสองรุ่น ผ่านตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่จิตใจดีที่มีมุมมองที่ร่วมสมัย และมีความเข้าใจโลก จนทำให้เข้าใจลูก และที่เห็นตลอดทางคือ การปะทะกับความคิดสุดโต่ง ของความเป็นคนจีนหัวเก่าที่ยึดถือจารีต ระบอบอาวุโสที่ไม่มีทางโยกคลอน และความเป็นคนจีนรุ่นใหม่ที่มีชุดความคิดที่ต่างออกไป แต่กระนั้น เรื่องราวของความดีงามและการมองโลกในมุมที่ต่างไปยังคงเข้มแข็ง เมื่อไม่ว่าปัญหาใดจะเข้ามา ทุกทางออกก็จะมาจากการมองโลกในแง่ดีทั้งสิ้น แล้วเมื่อโลกถูกมองในมุมสวยงาม เรื่องที่เล่ามาจึงออกมางดงาม ผ่านความเร้าใจในประเด็นที่ใส่เข้ามาระหว่างทางมากมาย ซึ่ง ทุกประเด็นนั้น ถูกใส่เข้ามาเพื่อให้เห็นแสงสว่าง และมันทำให้ความเร้าใจที่เห็น ดูเป็นจริง เป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้แต่ อาจจะเพราะความที่ผู้เขียนเอง ดูซีรีส์เกาหลีมามากในช่วงหลัง จึงสัมผัสได้ถึงความพยายามขายวัฒนธรรมจีน ที่คล้ายกับเกาหลีผ่านการใช้ชีวิต หรือเล่าถึงชีวิตคนธรรมดา ชนชั้นกลาง ที่เสนอผ่านเรื่องของจานอาหาร สุรา การนั่งกินข้าวที่ดูเป็นธรรมชาติ หรือคุณภาพชีวิตที่เคยเห็นได้ทั่วไปในซีรีส์เกาหลี เช่นฉากบนรถเมล์ ซึ่ง ผู้เขียนคงไม่อาจฟันธงลงไปได้ เพราะนี่คืองานซีรีส์จีนยุคใหม่เรื่องแรกที่ดูได้จนจบ หากแต่ลองมองดูให้ดีก็จะเห็นว่า ถ้าตัดเอาเรื่องที่ไม่จำเป็น ตัดตัวละครบางคน กระชับลงกว่านี้ แล้วลองใส่ภาษาเกาหลีดู นี่ก็ไม่ต่างจากงานซีรีส์เกาหลี ทั้งโทนเรื่องที่อบอุ่นสบายหัวใจที่เคยผ่านตามามากมาย แต่แม้ว่าจะมีเส้นทางที่ยาวนาน กลับไม่รู้สึกน่าเบื่อ หนำซ้ำยังมีความรู้สึกหลังดูจบว่า เมื่อได้ดูเรื่องนี้มาอย่างยาวนานติดต่อกัน แล้วเมื่อเรื่องมันจบ เหมือนชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง เมื่อวันรุ่งขึ้น เรื่องราวที่เคยประทับใจได้ทุกวัน มันจบลงแล้วความรักความอบอุ่นและการมองโลกในแง่ดีสามารถประคองชีวิตที่แตกร้าวให้อยู่ในทางที่ดีได้หากจะเปรียบไป เรื่องนี้ที่มีจำนวนตอนที่มากตามสไตล์ซีรีส์จีน แต่ความรู้สึกดีต่อใจนั้น กลับทำให้เรื่องที่ยาวนี้ ดูละเมียดละไม ดูแล้วหัวใจเปี่ยมสุข เพราะแม้หากเป็นเส้นทางที่ต้องเดินผ่านไป ก็ไม่ต่างจากเส้นทางเดินชมธรรมชาติที่งดงามปานภาพวาด เมื่อการเดินที่นานขึ้น กลับได้สัมผัสกับความอบอุ่นของแสงแดดในยามใกล้สนธนา ผ่านทิวทัศน์ริมทะเลสาป ที่เรียงรายไปด้วยต้นหลิวตามริมฝั่ง ในอุ่นไอแดดนั้น มีสายลมพลิ้วเอื่อยมาลูบไล้เรือนกายให้รู้สึกสบาย เป็นการเดินทอดน่องที่ไม่เร่งร้อนที่จะไปให้ถึง เพราะอยากเสพซึ้งถึงความงดงามของทิวทัศน์ แสงแดดสีทองจับต้องผืนน้ำในทะเลสาบระยิบระยับ เมื่อผิวน้ำถูกสายลมจูบอย่างแผ่วเบา พร้อมกิ่งหลิวไหวเอนไปตามลม นับเป็นภาพที่น่าชมยิ่งเพราะหากจะกล่าวไป เรื่องนี้ยังคงยืนหยัดที่ความงดงามของคุณความดีทีมีในใจ แต่ที่ผู้เขียนสัมผัสได้ จากการที่ได้ผ่านวัยมาแล้วประมาณ หลี่ไห่เฉา จึงจับต้องประเด็นเรื่องของรากฐานที่ หลี่ไห่เฉา เป็นคนจิตใจดี มีมุมมองในการมองโลก มุมในการใช้ชีวิตที่ยืดหยุ่น ต่างจากผู้ใหญ่ในสังคมจีนที่ได้เห็นในเรื่อง ประกอบกับความไว้ใจจาก หลิงเหอผิง ในการดูแลลูกชาย ที่มีแผลในใจจากอดีตผ่านแม่ที่ทิ้งไป การถูกเลี้ยงดูโดยคนที่มีจิตใจงดงามของ หลิงเซียว และ เฮ่อจื่อซิว อาจบางที่คือโชคชะตา แต่อาจบางทีก็มิใช่ เพราะหากไม่ใช่ หลี่ไห่เฉา แล้ว คงไม่มีใครอ้าแขนเพื่อโอบกอดเด็กชายที่น่าสงสารทั้งสอง มันคือความจริงที่ว่า ความรักที่แท้จริงของคนเป็นพ่อแม่ อาจมิใช่มาจากสายเลือด แต่อาจมาจากการเลี้ยงดูด้วยความเข้าใจ และมีมุมมองที่มีลูกเป็นศูนย์กลาง ซึ่ง คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่บทจะมีจุดให้เปรียบเทียบมากมาย ในเรื่องของความเป็นพ่อแม่ ที่ปฏิบัติต่อลูกในสังคมจีน ทั้งเห็นเป็นรูปธรรมและนามธรรม ที่ปากบอกว่าทำเพื่อลูก แต่หากมองในมุมของคนที่เป็นพ่ออย่างผู้เขียน กลับมองว่ามันคือการทำเพื่อความสุขของคนเป็นพ่อแม่เสียเอง ที่เลือกจะโยนทัศนคติของตนไปให้ลูกแบกรับ ซึ่งเด็กชายสองคนที่ได้รับรักแท้จากพ่อไม่แท้ การได้เห็นพ่อที่ไม่แท้ ประคองชีวิตอย่างสุจริตและมีคุณธรรมมาทั้งชีวิต ก็มิใช่เรื่องแปลกที่เด็กชายทั้งสองจะอยู่ในเส้นทางแห่งความดีงามกระทั่งไม่ว่าอะไรจะเข้ามากระทบ ปัจจัยอะไรมากมายที่อาจทำให้ชีวิตต้องเจอ เด็กชายทั้งสองยังมีความรักของครอบครัวที่ไม่แท้นี้คอยหนุนหลัง เมื่อเหงายังมีพี่น้อง เมื่อหิวยังมีข้าวบ้านให้กิน และเรามองถึงจุดนี้ จุดที่ความเป็นคนจิตใจงดงาม ทำให้ หลี่ไห่เฉา มอบความรักที่แนบแน่น เปี่ยมความหวังดีเสมอต่อลูกๆ ทำให้ลูกๆที่อาจไม่สามารถก้าวข้ามรอยแผลในใจ ได้ประคับประคองชีวิตผ่านเรื่องราวดีร้ายที่เข้ามา และยังเป็นลูกที่ดีเสมอมา เพราะความดีมิใช่ส่งผ่านทางสายเลือด หากแต่ส่งผ่านการใช้ชีวิตที่เป็นแบบอย่างเสมอมา ใช่หรือไม่ และเรื่องนี้ คือจุดที่งดงามที่สุดในเส้นทางการเดินร่วมกันของผู้เขียนกับซีรีส์เรื่องนี้ ที่เป็นรากฐานของเรื่องราวทั้งหมด ที่ว่ากันตามจริง เสียดสีแดกดันบริบททางสังคมจีนได้ มิใช่น้อยมิติที่หลากหลายของวัฒนธรรมจารีตที่ถูกสอดแทรกใส่มาผ่านการแสดงที่ผู้ชมเทใจให้แม้ว่าความที่บทออกมาละเอียด มีประเด็นปลีกย่อยรายทางมากมาย มากจนกระทั่งบ้างเรื่องดูเหมือนไม่จำเป็น คือไม่ใส่มาก็ไม่เสียหาย แต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นส่วนเกิน อาจบางทีก็เพราะสังคมจีน เป็นสังคมที่เคร่งครัดทางวัฒนธรรมและจารีต จึงมีเรื่องมากมายที่อยากจะสื่อออกมา เพียงแต่ เมื่อโลกเปลี่ยนไปในทางที่คนรุ่นใหม่ กลายเป็นคนที่มีอิทธิพลในการขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า และมันมาอย่างรวดเร็ว บางครั้งในมุมของผู้ใหญ่ที่ยังคงยึดติดกับจารีตเดิมๆ ก็ไม่สามารถทำใจรับได้ เรื่องนี้จึงมีการประทะกันบ่อยครั้ง ผ่านแกนกลางซึ่งก็คือครอบครัวของ หลี่ไห่เฉา ที่เป็นคนยืดหยุ่น สามารถเข้ากันได้กับโลกใบใหม่และโลกใบเก่าซึ่ง การปะทะกันแบบนี้ สิ่งที่จะทำให้เรื่องที่เล่าออกมามีพลัง การถ่ายทอดออกมาต้องสมบูรณ์ ซึ่งหลายคนอาจมีสายตาจับจ้อง ไปที่สามพี่น้องที่เป็นแกนกลางของเรื่อง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งผู้เขียนก็ยอมรับว่า นักแสดงทั้งสามสามารถถ่ายทอดมุมมอง ของความรักความผูกพันของคนที่โตมาด้วยกัน กินข้าวหม้อเดียวกันเฉกเช่นพี่น้องได้ ซ้ำยังมีมิติทางใจให้เปรียบเทียบกันคือตัวละคร หลี่เจียนเจียน คือคนที่ก้าวผ่านความสูญเสียได้ เพราะคำอธิบายที่อาจเหมือนนิยาย แต่ดีต่อเด็กที่ต้องสูญเสียในวันนั้น ส่วน หลิงเซียว กลับก้าวผ่านรอยแผล ที่แม่ฝากไว้ก่อนจากไม่ได้ และยังเป็นตัวแปรในบั้นปลาย ส่วน เฮ่อจื่อซิว ผู้น่าสงสาร ที่ถูกแม่ทิ้งไว้ แล้วไปมีชีวิตใหม่ แต่เขายังมีคำถามมากมายติดอยู่ในใจเหล่านี้อาจคือความหมายของชื่อเรื่องว่า Go Ahead และทั้งสามคนคือ ถานซงอวิ้น ซ่งเหว่ยหลง และ จางซินเฉิง ก็มอบการแสดงที่ผู้ชมพร้อมเทใจให้ทั้งหมด ผู้ชมรักและเชื่อใจพวกเขาอย่างที่บทตั้งใจให้เป็น อาจเพราะเรื่องเล่าได้ละเอียดตั้งแต่พวกยังเด็ก และได้เห็นพวกเขาเติบโตมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยังไม่ต้องไปนึกถึงการรับบทเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย ได้อย่างน่าเชื่อถือ แต่สำหรับผู้เขียน บทที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเรื่อง ที่เป็นตัวคุมโทนเรื่องให้ออกมาโทนสว่าง อบอุ่น งดงาม เป็นความสวยงามที่เป็นอีกด้านของดราม่า นั่นคือบท หลี่ไห่เฉา ของ ถู่ซงเหยียน ที่ถ้าจะมองให้ลึกจริงๆ คือเป็นบทที่ประคองยาก เพราะผู้ชมเห็นความดีงามผ่านสายตาเขามาตั้งแต่วินาทีแรก และการแสดงเป็นคนธรรมดา ที่อาจไม่โดดเด่นทางกายภาพ หรือบทที่เป็นคนสำคัญ เป็นแค่พ่อครัวธรรมดาที่มีความงดงามอยู่ข้างใน สีหน้าแววตาเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี และสามารถเผื่อแผ่พลังงานแห่งความดีสู่ลูกๆทั้งสามได้ จึงนับได้ว่า ถู่ซงเหยียน คือคนที่เป็นรากฐานของเรื่องทั้งหมดอย่างแท้จริง เพราะตัวละคร หลี่ไห่เฉา คือรากฐานของความสวยงามของเรื่องราว และ ถู่ซงเหยียน ก็รับหน้าที่นั้นได้อย่างไร้ที่ติ และสามารถขโมยซีนได้ด้วยความใจดีของเขาเสมอมา และถ้านั่นยังไม่พอ ตัวละครรายล้อมต่างก็ให้การแสดงที่น่าจดจำ คนที่ต้องเกลียดก็เกลียด คนที่ต้องน่าเห็นใจก็น่าเห็นใจ ซึ่ง มันมาจากการที่รายละเอียดของบท ที่ยิบย่อยจนทำให้มิติถึง แล้วส่งด้วยงานด้านภาพที่เหมือนจะโฆษณากลายๆว่า ประเทศจีนก็มีเมืองที่สวยงามน่าอยู่ และหากจะมีซีรีส์เรื่องใดที่มีงานเพลงที่มีอิทธิพลต่องานด้านภาพและอารมณ์ได้สูงสุด เรื่องนี้ก็คงเป็นเบอร์ต้นๆได้ เพราะเพลงที่มีมาให้นอกจากความไพเราะแล้ว จังหวะจะโคนที่ปล่อยออกมา ก็ทำให้ภาพที่ผู้ชมเห็นตรงหน้า สื่ออารมณ์ได้อย่างที่ต้องการ มันจึงเป็นความลงตัวทุกประการที่งานแนวนี้พึงมี อาจเป็นงานที่มีระยะทางเดินที่ค่อนข้างไกล แต่ก็มีทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดทาง จนกระทั่ง เมื่อถึงตอนจบ กลับเหมือนไม่อยากให้จบ เมื่อตอนที่รู้ตัวว่า ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ก็เหมือนชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง เมื่อจะไม่ได้ดูชีวิตของพวกเขาในเวลาต่อไปอีกแล้ว นั่นคือความรู้สึกไม่อิ่ม อย่างที่เคยดูงานซีรีส์ชั้นยอดหลายๆเรื่องที่ผ่านมา เพราะความรู้สึกยังบอกว่า อยากเห็นพวกเขาในเวลาต่อมาหลังจากนี้ว่า จะใช้ชีวิตกันต่อไปเช่นไรที่น่าประหลาดใจคือ มันมาจากการที่ได้ดูซีรีส์ที่มีความยาวถึงสี่สิบตอน แต่ทว่า ยังเป็นสี่สิบตอนที่ยังรู้สึกว่า ไม่อิ่ม เนื่องเพราะแม้จะมองเห็นว่าเป็นอาหารจีนที่มีกลิ่นกิมจิ แต่ความเป็นจีน ที่มักจะมีเรื่องราวยิบย่อยมากมาย และต้องเล่าอย่างละเอียด มันเลยทำให้มีเวลาเล่าตั้งแต่วันแรกที่เด็กน้อย หลี่เจียนเจียน ได้เจอกับเด็กชายที่ทำหน้าเบื่อโลก หลิงเซียว แล้วเล่ามาถึงวันที่ครอบครัวนี้ ได้อ้าแขนรับเด็กน้อยที่น่าสงสาร และใช้ชีวิตเหมือนติดค้างคนทั้งโลกไว้ เฮ่อจื่อซิว แล้วเล่าผ่านการใช้ชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก ที่ได้ผูกประสานเด็กทั้งสามคนให้เป็นดั่งเช่นพี่น้อง ด้วยการแบ่งเรื่องราวช่วงชีวิตหลักๆออกเป็นสามพาร์ท หนึ่งคือวัยเด็กถึงวัยรุ่น แล้วต่อมาคือวัยผู้ใหญ่ที่เริ่มมีความคิดความรับผิดชอบ แล้วความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยนหลังจากห่างกันไปนาน จนไปถึงจุดเปลี่ยนของหัวใจที่แปรสภาพความรักฉันท์พี่น้องให้เป็นความรักสามเส้า แล้วสุดท้ายก็มาถึงการต่อสู้เพื่อความรักกับอคติ กรอบทางขนบธรรมเนียม ซึ่ง ตลอดสี่สิบตอนกับสามช่วงเวลาแห่งจุดเปลี่ยนชีวิต มันถูกบอกเล่าเหมือนกับผู้ชมคือหนึ่งในเรื่องราว เป็นเหมือนญาติสนิทที่ได้รับรู้ทุกอย่างของพวกเขา มิติของเรื่องจึงได้ใจผู้ชมไปจนหมดสิ้น ผู้ชมรู้สึกผูกพันไปกับพวกเขา เหมือนได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาตลอด ได้ผ่านคืนวันเวลาทั้งสุขและทุกข์ ได้จงชังรังเกียจคนที่ทำไม่ดีกับพวกเขา รู้สึกดีกับคนที่ทำดีกับพวกเขาแม้ว่า อาจบางทีก็ดูเหมือนเป็นงานโลกสวย ที่ไม่ว่าเรื่องราวใดก็ตามที่เข้ามา จะคลี่คลายไปในทางที่สวยงาม แต่บางทีชีวิตก็ต้องการแบบนี้ ต้องการอะไรที่เป็นพลังงานที่ชุ่มชื่นให้กับหัวใจ เพราะชีวิตมนุษย์ในปัจจุบัน การเอาตัวรอดไปในแต่ละวัน ไม่ให้เจอกับเรื่องราวอันไม่พึงประสงค์ ก็นับว่ายากเย็นแสนเข็ญ การได้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในความอบอุ่นที่งดงามในเรื่องนี้ ก็อาจทำให้หัวใจกลับมามีพลังได้ ถึงขนาดที่ว่า ยังอยากติดตามดูชีวิตของพวกเขาหลังจากนี้ว่า พวกเขาจะเป็นเช่นไร และสุดท้าย ถ้ าว่ากันที่สมอง เรื่องนี้ยังมีบางอย่างที่ทำให้เรื่องเยอะโดยใช่เหตุ แต่เมื่อมันไม่ได้ทำให้เรื่องเสียหายก็มองข้ามไป แต่เมื่อมองด้วยหัวใจ เรื่องนี้คืออีกหนึ่งที่ดูแล้วรู้สึกไม่อิ่ม เพราะได้ยกขึ้นไปไว้บนหิ้งของความประทับใจแล้วNETFLIX viu WeTVดูไปบ่นไปของคุณภาพประกอบ ภาพปก จาก Facebook WeTV Thailandภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 / ภาพที่ 11 / ภาพที่ 12 / ภาพที่ 13 จาก Facebook Go Ahead - 以家人之名 2020เกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !